“เจ็ดปีแล้วนะไอ้สัส”
Hashtag นี้กลายเป็น hashtag ยอดนิยมทั้งบน Facebook และ Twitter เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา เป็นการระลึกถึงการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ด้วยน้ำเสียงที่ออกจะดุเดือด เป็นที่แน่ชัดว่าการระลึกถึงนั้น คงไม่ได้ระลึกด้วยความอาลัยอาวรณ์
ในฐานะนักกฎหมายรัฐธรรมนูญ ถ้าจะระลึกอะไรถึงรัฐประหาร คสช. คงเป็นการระลึกถึงวันที่ความใฝ่ฝันและอุดมการณ์แบบรัฐธรรมนูญ 2540 ตายลง
อันที่จริง ความใฝ่ฝันและอุดมการณ์แบบรัฐธรรมนูญ 2540 นั้นตกอยู่ในวิกฤตมาตั้งแต่การรัฐประหาร 2549 แล้ว แต่เรายังคงพอกล่าวได้ว่าทุกฝ่ายพยายามประคับประคองความฝันที่จะปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยที่จะมีหลักประกันสิทธิเสรีภาพ มากันอย่างทุลักทุเล อย่างน้อยที่สุดก็ในรัฐธรรมนูญ 2550 ที่ประกาศชัดว่าเป็นการแก้ไขปรับปรุงข้อบกพร่องของรัฐธรรมนูญ 2540 การรัฐประหาร 2549 ก็เป็นการรัฐประหารเสียของ เพราะรีบยึดและคืนอำนาจให้นักการเมืองก่อนที่จะมีโอกาสรื้อถอนโครงสร้างหลักที่รัฐธรรมนูญ 2540 วางไว้ การจำกัดสิทธิเสรีภาพเป็นไปอย่างระมัดระวังที่สุดเท่าที่เผด็จการผู้มีอำนาจเต็มจะจำกัดตัวเองได้
แต่เป้าประสงค์ของผู้ทำรัฐประหาร 2557 นั้นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ นับแต่วันยึดอำนาจว่า ต้องการปลูกฝังระบอบใหม่ ค่านิยมใหม่ อุดมการณ์ใหม่ และที่สำคัญคือจะไม่คืนอำนาจให้ประชาชนจนกว่าภารกิจนั้นจะสำเร็จ แต่ถ้าสำเร็จแล้วก็อาจไม่จำเป็นต้องคืนอำนาจเลยก็ได้
หนึ่งในความใฝ่ฝันของรัฐธรรมนูญ 2540 ที่ตายลงคือความใฝ่ฝันที่จะมีนักการเมืองคุณภาพดี
ผู้ร่างรัฐธรรมนูญ 2540 ระบุปัญหาประการหนึ่งของการเมืองไทยคือ นักการเมืองที่ไร้คุณภาพหรือคุณภาพต่ำทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาในประชาธิปไตยแบบตัวแทน การเมืองกลายเป็นเรื่องสกปรกของคนเห็นแก่ตัวแก่งแย่งอำนาจกันเพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตัว เมื่อภาพลักษณ์ของนักการเมืองเลือกตั้งเป็นเช่นนี้เสียแล้ว รัฐประหารจึงเป็นเรื่องยอมรับได้ไม่ยาก
การยกระดับคุณภาพนักการเมืองเป็นเหตุผลประการหนึ่งที่ทำให้ผู้ร่างรัฐธรรมนูญนำระบบเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อมาใช้ เพื่อคานกับการเลือกตั้งในระบบแบ่งเขตที่ถูกมองว่าถูกครอบงำโดยบรรดาเจ้าพ่อและผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น แต่ระบบบัญชีรายชื่อที่ไม่ต้องลงพื้นที่หาเสียงและเน้นชูนโยบายจะทำให้ได้คนเก่งคนดี คนชั้นกลาง และมืออาชีพทั้งหลายที่ไม่มีฐานเสียงในพื้นที่ สามารถเข้ามาสู่สนามการเมืองได้บ้าง
อีกกลไกหนึ่งคือการบังคับให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจบการศึกษาระดับปริญญาตรี นอกจากจะเป็นการเปิดทางให้คนดีคนเก่งแล้ว ยังเป็นการพยายามสกัดนักการเมืองรุ่นเก่า ซึ่งมักมีภาพว่าการศึกษาไม่สูงนัก ไม่ให้เข้ามาในการเมืองได้อีก ซึ่งกลไกนี้ได้รับเสียงวิจารณ์มากว่าเป็นเผด็จการชนิดไม่มีกฎหมายประเทศไหนตราไว้
แน่นอนว่าความฝันนี้ไม่ได้เป็นจริง อันที่จริงนักการเมืองแบบผู้รับเหมาหรือเจ้าพ่อบ่อนนั้น สามารถหลบหลีกความพยายามของรัฐธรรมนูญ 2540 ที่จะสกัดพวกเขาได้ อย่างน้อยที่สุดหลายคนสามารถสำเร็จปริญญาตรี หรือแม้แต่ปริญญาเอก จากหลักสูตรพิเศษต่างๆ ของบางมหาวิทยาลัยจนได้ และไม่ว่าอย่างไร กฎหมายข้อนี้ก็ถูกยกเลิกไปเมื่อรัฐประหาร 2549
รัฐประหาร 2549 เองก็เป็นหลักฐานว่านักการเมืองฝ่ายรัฐบาลนั้นไม่น่าจะได้คุณภาพนัก ไม่เช่นนั้นคงไม่เกิดการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
แต่นี่คือความใฝ่ฝัน ความปรารถนาของชาวไทย อย่างน้อยก็ในช่วงขณะหนึ่ง ที่จะปฏิรูปการเมืองให้ประชาธิปไตยลงหลักปักฐานผ่านผู้แทนราษฎรที่มีคุณภาพน่าเชื่อถือ และสำหรับบางคนเมื่อนักการเมืองไม่ได้ดั่งใจก็มีปฏิกิริยาต่อต้านรุนแรงเสียจนยอมล้มระบบทั้งหมด น่าเสียดาย
รัฐประหาร 2557 ทำให้การเมืองไทยดีขึ้นไหม สมใจบรรดาชนผู้เรียกร้อง ‘ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง’ หรือไม่
ทุกวันนี้ ถ้าพูดกันอย่างตรงไปตรงมา สำหรับคนรุ่นใหม่คงเป็นสภาพที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นมาก่อน สำหรับนักการเมืองค้าแป้ง รุกป่า หรือแสดงกิริยาถ่อยเถื่อน ส่วนที่ไม่ถ่อยก็เป็นจำอวด น่าหัวร่อปนรังเกียจ จนไม่น่าเชื่อว่านี่คือกลไกสูงสุดในการบริหารบ้านเมือง หลายคนเรียกได้ว่าเจ้าพ่ออย่างเต็มปาก อีกหลายคนคือตัวตลก
ยุทธวิธีสำคัญในการเตรียมตัวเข้าสู่สนามเลือกตั้งของ คสช. ในปี 2562 นั้นคือการดูด ดูดนักการเมืองพื้นที่ที่มีฐานเสียงเข้าสู่ร่มธงพลังประชารัฐโดยไม่เลือกอุดมการณ์หรือคุณภาพ การดูดนั้นแลกกับเงื่อนไขสิทธิประโยชน์นานาประการ ทั้งแลกกับการไม่ดำเนินคดี หรือผลประโยชน์ทางธุรกิจใดๆ ที่อาจพึงมีได้
ที่ตลกร้ายที่สุดคือ หลายคนที่ถูกดูดเข้าพรรคพลังประชารัฐนั้น เคยอยู่ใต้ร่มธงทักษิณ ชินวัตรมาก่อน เคยเป็นเป้าหมายของ คสช. ในการกำจัด และเคยเป็นที่รังเกียจ ดูถูกดูหมิ่น จากมวลชน กปปส. เสียด้วยซ้ำ จนไม่น่าเชื่อว่าปัจจุบันจะเป็นเนื้อนาเดียวกันได้กับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้มีภาพลักษณ์รังเกียจนักการเมืองเลือกตั้ง
เหตุการณ์สำคัญที่น่าสนใจคือการแตกหักระหว่างกลุ่มสี่กุมารกับกลุ่มสามมิตรในรอบปีที่ผ่านมา ส่งผลให้พลเอกประวิตร วงศ์สุวรรณขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคแทนอุตตม สาวนายน เป็นสัญญาณปิดฉาก เชิญกลุ่มเทคโนแครตผู้มากความสามารถลงจากเวทีและการเรืองอำนาจเด็ดขาดของบรรดานักการเมืองแบบเก่าที่รัฐธรรมนูญ 2540 พยายามหนักหนาที่จะกันออกจากการเมือง
ที่เหลือเชื่อคือมวลชนที่ยังสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ หลายคนสงสารและแก้ตัวให้ ‘ลุงตู่’ ผู้ถูกบีบให้จัดการเลือกตั้งทั้งที่ยังปฏิรูปไม่เรียบร้อย ทำให้ต้องจับมือตั้งรัฐบาลกับ ‘นักการเมืองอาชีพ’ ที่ทำให้ผู้นำที่ทรงคุณธรรมอย่างลุงต้องด่างพร้อย ถ้าพลเอกประยุทธ์ยังเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ภายใต้ระบอบ คสช. ก็คงไม่เละเทะปานนี้ พร้อมกันนั้นก็ยิ่งตอกย้ำความเชื่อที่ว่า การเมืองเลือกตั้งคือเรื่องสกปรก การเมืองสะอาดคือการเมืองแต่งตั้ง โดยไม่ใส่ใจเลยว่าคนสะอาดจะนั่งอยู่ท่ามกลางคนสกปรกได้อย่างไร
ต้องย้ำว่า หลายคนที่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์นั้นสมาทานความฝันเรื่องนักการเมืองคุณภาพ การเมืองสะอาดจากปี 2540 แต่ยอมรับได้กับสภาพการเมืองสกปรก นักการเมืองด้อยคุณภาพ ซึ่งถ้าจะว่าไป คือการเมืองก่อน 2540 เสียอีก สภาพความรับรู้ไม่ลงรอย (cognitive dissonance) ตรงนี้ที่หล่อเลี้ยงรัฐบาล พปชร. ไว้ได้ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอื้อฉาวอีกเท่าไหร่ก็ตาม มวลชนบางกลุ่มก็ยังพร้อมเสมอที่จะรักและแก้ตัวให้
ทางออกเดียวจากสภาวะอิลักอิเหลื่อของการเมืองไทยเช่นนี้คือผู้รักประชาธิปไตยต้องไม่ทิ้งความใฝ่ฝันเรื่องการเมืองสะอาด นักการเมืองคุณภาพดีว่าเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น อย่างน้อยที่สุดก็ดังที่ฝ่ายค้านได้พยายามแสดงให้เห็นในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่เน้นข้อมูล ขันแข็งในการเปิดโปงความผิดปกติของรัฐบาล นั่นไม่ใช่ความใฝ่ฝันที่จะสร้างการเมืองที่ดีหรอกหรือ น่าเสียดายที่ระบบกฎหมายของไทยเข่นฆ่าผู้มีความสามารถ
แต่ถึงจะยากเท่าไหร่ ความใฝ่ฝันถึงการเมืองสะอาด ความเชื่อว่าการเมืองสะอาดเป็นไปได้ จำเป็นต้องมีอยู่ในใจเสมอ เพราะยอดปรารถนาของเผด็จการคือเมื่อปวงชนล้วนสูญเสียศรัทธาในประชาธิปไตย และเชื่อว่าการเมืองที่ดีกว่าที่เป็นอยู่นี้เป็นไปไม่ได้ ทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่ย่อมเป็นระบบเผด็จการตลอดกาล