รื้อระบบคุ้มครองเด็ก ไม่ให้ใครต้องถูกทำร้ายซ้ำสอง

ในปัจจุบันมีเด็กที่ถูกทำร้ายร่างกาย ทอดทิ้ง และทารุณกรรมจำนวนมาก รัฐจึงต้องเข้าช่วยเหลือโดยการจัด ‘ระบบคุ้มครองเด็ก’ ทั้งระบบภายใต้กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และการคุ้มครองเด็กที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

อย่างไรก็ตาม ระบบเหล่านั้นกลับไม่ได้คุ้มครองเด็กได้อย่างเต็มที่ เด็กบางส่วนยังคงถูกทำร้ายซ้ำๆ ด้วยระบบที่เรียกตนเองว่า ‘ระบบคุ้มครองเด็ก’ อยู่

คิด for คิดส์ โดยความร่วมมือระหว่าง 101 PUB กับ สสส. ชวนสำรวจระบบคุ้มครองเด็กในประเทศไทย ว่าอะไรยังมีอะไรที่ขาดหายไปจนทำให้การคุ้มครองเด็กไม่เป็นไปอย่างราบรื่น อะไรที่ตกหล่นจนทำให้ระบบคุ้มครองเด็กไม่ได้คุ้มครองเด็กสมชื่อ และอะไรที่ต้องเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับเด็กที่อยู่ในระบบคุ้มครองเด็ก

เด็กถูกทำร้ายจำนวนมาก แต่ยังเข้าสู่กระบวนการคุ้มครองเด็กและกระบวนการยุติธรรมน้อย

แต่ละปีมีเด็กจำนวนมากที่ต้องเข้าโรงพยาบาลจากการโดนทำร้ายร่างกาย[1] จากสถิติของกองป้องกันการบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค ปี 2017–2021 พบว่ามีเด็กเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพราะถูกทำร้ายร่างกายเฉลี่ยถึงปีละ 18,296 คน[2]

เมื่อมีเด็กถูกทำร้ายร่างกายหรือถูกกระทำละเมิดรูปแบบอื่นๆ ตามที่พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 กำหนด ก็ควรจะรีบแจงตำรวจเพื่อดำเนินการทางกฎหมาย อย่างไรก็ดี การแจ้งตำรวจเนื่องจากความผิดตาม พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ก็ยังถือว่ามีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนเด็กที่ถูกทำร้ายร่างกายและเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล โดยจากสถิติฐานความผิดคดีอาญาคดี 4 กลุ่มตั้งแต่ปี 2018–2022 พบว่ามีการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่กระทำความผิดตาม พ.ร.บ. คุ้มครองเด็กเฉลี่ยเพียงปีละ 1,533 คดีเท่านั้น นอกจากนี้ จากข้อมูลของศูนย์ปฏิบัติการกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (ศปก.สค.) รายงานว่า ตั้งแต่ปี 2016 จนถึงเดือนสิงหาคม 2021 มีการดำเนินคดีในเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัวเพียง 1 ใน 4 ของเหตุการณ์ทั้งหมดที่ศูนย์ปฏิบัติการฯ ได้รับรายงาน[3]

ยิ่งไปกว่านั้น เด็กที่ถูกทำร้ายร่างกายก็ควรที่จะเข้าสู่กระบวนการคุ้มครองเด็ก ซึ่งในกรณีประเทศไทยคือการเข้าสู่บ้านพักเด็ก แต่ข้อมูลจากกรมกิจการเด็กและเยาวชนพบว่า ในระหว่างปี 2016 จนถึงเดือนพฤษภาคม 2020 มีเด็กที่เข้าสู่บ้านพักเด็กเนื่องจากถูกทารุณกรรมและทำร้ายร่างกายในครอบครัวเฉลี่ยเพียงปีละ 440 คนเท่านั้น[4]

กระบวนการยุติธรรมทำร้ายเด็กซ้ำ

กระบวนการสืบสวนสอบสวนเด็กที่ถูกทำร้ายย่อมต้องมีความละเอียดอ่อนกว่ากระบวนการสืบสวนสอบสวนทั่วไป โดยหลักการสำคัญของวิธีการสอบสวนและสืบพยานเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีได้ถูกบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 133 ทวิ วรรคแรก ดังนี้

“…การถามปากคำผู้เสียหายหรือพยานที่เป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปี ให้พนักงานสอบสวนแยกกระทำเป็นส่วนสัดในสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับเด็ก และให้มีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ บุคคลที่เด็กร้องขอ และพนักงานอัยการร่วมอยู่ด้วยในการถามปากคำเด็กนั้น และในกรณีที่นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์เห็นว่าการถามปากคำเด็กคนใดหรือคำถามใด อาจจะมีผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจเด็กอย่างรุนแรง ให้พนักงานสอบสวนถามผ่านนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์เป็นการเฉพาะตามประเด็นคำถามของพนักงานสอบสวน โดยมิให้เด็กได้ยินคำถามของพนักงานสอบสวนและห้ามมิให้ถามเด็กซ้ำซ้อนหลายครั้งโดยไม่มีเหตุอันสมควร”

อย่างไรก็ดี การสอบปากคำเด็กที่เป็นผู้เสียหายหรือพยานนั้น ในทางปฏิบัติมักไม่เป็นไปตามที่กฎหมายได้บัญญัติไว้ ทั้งรูปแบบวิธีการและสถานที่

การสอบปากคำเด็กกระทำด้วยวิธีที่ทำให้เด็กรู้สึกไม่ปลอดภัย

จากรายงานของ UNICEF พบกรณีที่เด็กเป็นผู้เสียหายถูกแสวงหาประโยชน์หรือล่วงละเมิดทางเพศออนไลน์ถูกสอบปากคำซ้ำหลายครั้ง เด็กบางคนต้องตอบคำถามเดิมถึง 5 ครั้งจากการสอบถามของเจ้าหน้าที่ต่างคนในต่างสถานการณ์กัน นอกจากนี้ยังพบว่าผู้เสียหายบางคนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรต่อเด็ก ส่งผลให้เด็กเกิดความกลัวมากยิ่งขึ้น[5]

ไม่เพียงแค่วิธีการสอบสวนของตำรวจเท่านั้นที่ทำร้ายเด็กซ้ำ แต่ยังพบว่านักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ ซึ่งเป็นบุคคลที่มีหน้าที่เป็นคนกลางระหว่างตำรวจและเด็กนั้น มีจำนวนไม่เพียงพอที่จะเข้าร่วมการสอบสวนเด็กที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ และยังมีการร้องขอให้นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์มาเข้าร่วมการสอบสวนช้าเกินไป ในบางครั้งการร้องขอนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์เกิดขึ้นในเช้าของวันสอบสวน ส่งผลให้ไม่มีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์มาเข้าร่วม นอกจากนี้ ยังพบปัญหาการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ล่าช้า จากระบบการเบิกเงินของราชการ ส่งผลให้นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ขาดแรงจูงใจในการเข้ามาช่วยเหลือการสอบสวนเด็ก[6]

การสอบปากคำไม่ได้ทำในที่ที่เหมาะสมกับเด็ก

การสอบปากคำเด็กที่เป็นผู้เสียหายหรือพยานนั้น ส่วนมากมักเกิดขึ้นในโรงพักหรือศาลที่จะทำการไต่สวน แน่นอนว่าโรงพักหรือศาลไม่ได้มีพื้นที่สำหรับเด็กโดยเฉพาะ จึงเป็นเหตุให้เด็กมีโอกาสเจอกับผู้ที่ทำร้ายนอกห้องสอบสวน อาทิ ในลานจอดรถ หรือในห้องอาหารที่เป็นสถานที่สาธารณะ

นอกจากนี้ยังพบว่า ห้องสอบสวนเด็กในโรงพักบางแห่งถูกนำไปใช้ในวัตถุประสงค์อื่น เช่น ห้องประชุม และห้องทำงาน [7] ยิ่งไปกว่านั้น เด็กบางคนยังถูกสอบสวนหรือทำคำให้ที่โต๊ะรับแจ้งความของตำรวจ โดยที่มีผู้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้องอยู่ในบริเวณนั้น และไม่มีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์อยู่ด้วย[8]

และเมื่อพิจารณาถึงองค์ประกอบในห้องสอบสวนเด็กแล้วก็พบว่า ห้องสอบสวนเด็กที่พบในประเทศไทยเองก็ยังไม่เหมาะสมกับเด็ก ดังภาพ

ที่มา: สำนักงาน พิศิษฐ์ ศรีสังข์ ทนายความ

จากภาพจะเห็นว่า

  • การจัดตำแหน่งที่นั่งของเด็กให้ความรู้สึกว่าเด็กนั่งอยู่ในวงล้อมของเจ้าหน้าที่อื่นๆ ซึ่งอาจทำให้เด็กกลัว และไม่กล้าเล่าเรื่องที่เผชิญมา แม้ว่าจะมีบุคคลที่เด็กไว้วางใจนั่งอยู่ด้วยก็ตาม
  • เก้าอี้ที่จัดให้เด็กนั่งในห้องสอบสวน หากเป็นเก้าอี้ที่แข็งหรือมีที่พักเท้าด้านล่าง อาจทำให้เด็กหลุดประเด็นที่กำลังคุยกันเร็วกว่าเก้าอี้ที่มีขนาดใหญ่หรือทำให้เด็กรู้สึกสบาย[9]
  • การบันทึกวิดีโอการสอบสวนเด็ก ในสถานีตำรวจบางครั้งยังใช้กล้องมือถือของตำรวจ ซึ่งอาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดระหว่างการบันทึกได้ง่าย เช่น ทำให้วิดีโอที่บันทึกคำให้การของเด็กขาดช่วงหรือมีปัญหา และส่งผลถึงการนำไปใช้เป็นหลักฐานในชั้นศาลต่อไปด้วย ดังนั้นการบันทึกวิดีโอควรมีกล้องที่ใช้เฉพาะการนี้ และหากเป็นไปได้ ก็ควรมีมากกว่า 2 ตัว เพื่อบันทึกบรรยากาศการสอบสวนในห้องและพฤติกรรมของเด็กขณะถูกสอบสวนไปพร้อมๆ กัน และเพื่อเป็นกล้องสำรองในกรณีที่มีปัญหาในระหว่างอัดวิดีโอด้วย
  • ห้องสอบสวนเด็กไม่มีของเล่นหรือสิ่งที่ช่วยให้เด็กผ่อนคลายอยู่เลย ซึ่งห้องสอบสวนเด็กนั้นควรจะมีของเล่นหรือสิ่งที่ช่วยให้เด็กผ่อนคลายอยู่ด้วย อาทิ เกม ของเล่น หรือหนังสือภาพ เป็นต้น[10]

เด็กไปไม่ถึงกระบวนการคุ้มครองเด็ก เพราะขาดการประสานงาน

เด็กที่ถูกทำร้ายร่างกาย ทอดทิ้ง หรือทารุณกรรม ควรเข้าสู่ ‘ระบบคุ้มครองเด็ก’ ที่จะทำให้เด็กได้รับความช่วยเหลือจากรัฐและเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่คุ้มครองเด็กได้อย่างเต็มรูปแบบ แต่เด็กหลายคนยังเข้าไม่สามารถเข้าถึงได้ เนื่องจากไม่กล้ารายงานต่อหน่วยงานที่มีหน้าที่ช่วยเหลือ

จากการสำรวจความรุนแรงในครอบครัวช่วงการระบาดของโควิด-19 โดยมูลนิธิชายหญิงก้าวไกล ในช่วงวันที่ 17–23 ต.ค. 2021 ซึ่งมีกลุ่มตัวอย่างอายุ 20 ปีขึ้นไป จำนวน 1,692 คน ในกรุงเทพและปริมณฑล พบว่า 87.4% ของผู้ถูกกระทำรุนแรงในครอบครัว ไม่กล้าร้องเรียน เนื่องจากต้องการเก็บเป็นความลับ[11] ซ้ำร้ายเมื่อเด็กเข้าสู่โรงพยาบาลหรือกระบวนการยุติธรรมก่อน จากการไปรักษาตัวหรือแจ้งความ หลายกรณีไม่ถูกส่งต่อเรื่องให้ พม. ดำเนินการตามอำนาจและมาตรการใน พ.ร.บ. คุ้มครองเด็กที่สามารถกระทำได้ทันที ทำให้เด็กเหล่านั้นไม่มีโอกาสที่จะมีตัวตนในสายตาหน่วยงานที่ทำหน้าที่คุ้มครองเด็ก จึงไม่ได้รับการคุ้มครองอย่างทันท่วงทีไปโดยปริยาย

การดำเนินการของ พม. ในประเทศไทยถือว่ายังบกพร่องอย่างมากในเรื่องการเชื่อมต่อกับหน่วยงานอื่น โดยเฉพาะกับตำรวจ โดยไม่พบว่าในทางปฏิบัติ เมื่อมีการแจ้งความว่าเด็กถูกทำร้ายร่างกาย ทารุณกรรม หรือทอดทิ้งแล้ว ตำรวจได้มีการแจ้งให้เจ้าหน้าที่ พม. ในพื้นที่นั้นๆ เพื่อให้เข้ามาคุ้มครองเด็กมากน้อยเพียงใด ที่เห็นเด่นชัดมีเพียงการติดต่อนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ที่ต้องประสานงานผ่านเจ้าหน้าที่ พม. ประจำจังหวัด เพื่อให้มาร่วมสอบสวนเด็กที่เป็นผู้เสียหายหรือพยานไปจนถึงการสืบพยานในชั้นศาล แต่ไม่พบว่ามีการมอบอำนาจหน้าที่ให้คุ้มครองเด็กที่เป็นผู้เสียหายอย่างไรหลังจากสิ้นสุดกระบวนการยุติธรรมแล้ว

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ที่จะมาช่วยดำเนินการประสานรอยต่อระหว่างหน่วยงานเพื่อคุ้มครองเด็กยังมีไม่เพียงพอ โดยพบว่าในปี 2021 มีพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ทั้งสิ้น 1,113 คน แต่ปฏิบัติงานจริง 720 คน[12] เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนเด็กที่ต้องเข้าสู่สถานรองรับในปี 2021[13] ทั้งหมด 35,955 คน[14] พบว่าเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานจริง 1 คนต้องดูแลเด็กมากถึง 50 คน การคุ้มครองเด็ก รวมถึงการติดต่อประสานงานระหว่างหน่วยงานเพื่อให้การคุ้มครองเด็กเกิดประสิทธิผลสูงสุดก็ย่อมเป็นไปได้ยาก

เด็กถูกส่งกลับบ้านแม้จะประเมินแล้วว่าเสี่ยงโดนทำร้ายซ้ำ

เด็กที่เข้าสู่กระบวนการคุ้มครองเด็กย่อมหมายความว่าเด็กต้องการการดูแลและความช่วยเหลือจากภาครัฐ แต่แนวทางหนึ่งในการคุ้มครองเด็กคือการส่งเด็กกลับบ้านทั้งที่เด็กมีความเสี่ยงที่จะโดนทำร้ายซ้ำ และกำหนดวิธีการเฉพาะหน้าเพื่อให้เด็กยังได้อยู่กับครอบครัวที่เด็กอาจคุ้นเคยมากกว่า

    

การประเมินส่งคืนยังมีปัญหา

แนวทางการประเมินของกรมกิจการเด็กและเยาวชนที่ทำร่วมกับ UNICEF ได้กำหนดวิธีการประเมินเด็ก ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม อาทิ อาการบาดเจ็บทางร่างกาย พฤติกรรมของเด็ก รวมไปถึงสภาพแวดล้อมทั้งในและนอกบ้าน หากเด็กมีความเสี่ยงว่าจะไม่ปลอดภัยแล้ว ก็จะมีการกำหนดวิธีการเฉพาะหน้า เพื่อเป็นข้อกำหนดให้ผู้ปกครองที่รับเด็กกลับไปต้องปฏิบัติตาม เช่น การห้ามบุคคลที่ทำร้ายเด็กเข้าใกล้เด็กในระยะที่เจ้าหน้าที่กำหนด และการไม่ปล่อยให้เด็กอยู่ตามลำพัง เป็นต้น[15]

การส่งเด็กกลับสู่ครอบครัวอาจทำให้เด็กไม่ต้องปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ อย่างไรก็ดี ในปี 2021 จากการสำรวจความรุนแรงในครอบครัวช่วงโควิด-19 โดยมูลนิธิชายหญิงก้าวไกล ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล พบว่าความรุนแรงในครอบครัวเกิดขึ้นซ้ำมากถึง 75%[16] จากอัตราการทำร้ายร่างกายซ้ำที่สูง ดังนั้นการส่งเด็กกลับคืนครอบครัวและกำหนดวิธีการเฉพาะหน้าก็อาจกลายเป็นการส่งเด็กกลับสู่ความรุนแรง

เพื่อลดการถูกกระทำรุนแรงซ้ำของเด็ก การจะกำหนดมาตรการใดๆ ให้เด็กที่ต้องการความช่วยเหลือต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจในระบบคุ้มครองเด็ก ลักษณะพื้นเพของครอบครัว สภาพแวดล้อม และตัวเด็กที่ถูกกระทำ ซึ่งหน้าที่นั้นเป็นของผู้จัดการรายกรณี หรือ case manager ที่ศึกษารายละเอียดมากที่สุด อย่างไรก็ดี case manager ในประเทศไทยยังมีปัญหาโดยเฉพาะในเรื่องจำนวนที่ไม่เพียงพอ ส่งผลให้ไม่สามารถดูแลเด็กได้อย่างเต็มที่ ซึ่งทำให้การกำหนดวิธีการเฉพาะหน้าที่จะใช้กับเด็กเพื่อส่งเด็กคืนครอบครัวไม่ได้เหมาะสมกับเด็กเท่าที่ควร 

การแยกเด็กจากครอบครัวเป็นทางเลือกสุดท้ายที่ พม. เลือกจะทำ เพื่อลดความเครียดของเด็กจากการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมกะทันหัน โดยเด็กที่ถูกทำร้ายหรือทารุณกรรมจะถูกแยกจากครอบครัวก็ต่อเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่เห็นว่าผู้ปกครองไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดที่เจ้าหน้าที่กำหนดไว้เพื่อให้เด็กปลอดภัย หรือเด็กถูกกระทำรุนแรงซ้ำอีก และวิถีทางที่สะดวกและรวดเร็วที่สุดในการแยกเด็กจากครอบครัวคือการส่งเด็กไปยัง ‘สถานรองรับ’

สถานรองรับระยะยาวไม่ใช่คำตอบ

การส่งเด็กไปยังสถานรองรับไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดในการคุ้มครองและเยียวยาเด็ก จากรายงานของ UNICEF พบว่า เด็กที่ต้องอยู่ในสถานรองรับนานๆ อาจส่งผลให้พัฒนาการล่าช้าบกพร่อง โดยเฉพาะเด็กที่ต้องอยู่ในสถานรองรับตั้งแต่เด็ก ทั้งยังส่งผลถึงพัฒนาการทางอารมณ์ของเด็ก เนื่องจากในสถานรองรับมีจำนวนผู้ดูแลที่ไม่เพียงพอ และสุดท้ายคือส่งผลถึงสุขภาพจิตของเด็ก โดยพบว่าเด็กที่อยู่ในสถานรองรับมีความเสี่ยงที่จะมีปัญหาด้านสุขภาพจิต และการมีความผิดปกติด้านความผูกพัน (Attachment Disorder)[17]

นอกจากนี้ เด็กยังมีความเสี่ยงที่จะโดนทำร้ายซ้ำในสถานรองรับ อาทิ ในคดีมูลนิธิเด็ก อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ซึ่งมูลนิธิเส้นด้ายยืนยันว่าเด็กในมูลนิธิถูกทำร้ายร่างกาย มีการใช้ถ้อยคำรุนแรงกับเด็ก และถูกนำไปแรงงาน รวมถึงสถานที่ในมูลนิธิเด็กยังไม่ถูกสุขอนามัย[18] หรือในกรณีสถานสงเคราะห์เด็กหญิงจังหวัดสระบุรี ที่มีการรายงานว่าพี่เลี้ยงในสถานสงเคราะห์ทารุณกรรมเด็กที่อาศัยอยู่ โดยการมัดมือเด็กที่อยู่ในสถานสงเคราะห์ 2 คนไว้ด้วยกัน ซึ่งพี่เลี้ยงอ้างว่าเกิดจากการที่เด็กทะเลาะกันจึงต้องการลงโทษ หรือการลงโทษโดยให้เด็กนอนในห้องน้ำเนื่องจากปัสสาวะรดที่นอน เป็นต้น [19] 

‘ครอบครัวอุปถัมภ์’ กลไกคุ้มครองเด็กสำคัญที่ไทยยังไม่ได้พัฒนาให้เป็นระบบ

เห็นได้ว่าการส่งเด็กไปยังสถานรองรับอาจทำให้เกิดผลเสียทั้งต่อร่างกาย จิตใจ และพัฒนาการต่างๆ การมีครอบครัวอุปถัมภ์จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้ โดยครอบครัวอุปถัมภ์เป็นเสมือนครอบครัวชั่วคราวจนกว่าจะสิ้นสุดกระบวนการคุ้มครองเด็ก ซึ่งทำให้เด็กได้อยู่กับบุคคลต่างวัยและได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด ต่างกับการเข้าไปอยู่ในสถานรองรับที่เด็กจะได้อยู่กับกลุ่มวัยเดียวกันหรือไล่เลี่ยกันเป็นส่วนมาก และอาจได้รับการดูแลจากเจ้าหน้าที่อย่างไม่ทั่วถึง

ครอบครัวอุปถัมภ์ในประเทศไทยมีจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับเด็กที่ต้องเติบโตในสถานรองรับ จากรายงานของ UNICEF พบว่าเด็กไทยกว่า 1.2 แสนคนต้องเติบโตในสถานรองรับ ไม่ว่าจะเป็นสถานสงเคราะห์ มูลนิธิ ไปจนถึงโรงเรียนประจำ และโรงเรียนสอนศาสนา[20] แต่จากรายงานของกรมกิจการเด็กและเยาวชน ปี 2022 เด็กที่ได้รับการดูแลโดยครอบครัวอุปถัมภ์มีเพียง 5,632 คน คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 25 เท่านั้น

ปัญหาหนึ่งที่ทำให้จำนวนครอบครัวอุปถัมภ์น้อยคือระบบการจัดการครอบครัวอุปถัมภ์ในไทย ซึ่งยังขาดตั้งแต่ต้นทาง โดยพบว่าระบบการรับครอบครัวอุปถัมภ์ในปัจจุบันไม่สามารถดำเนินการผ่านระบบออนไลน์ได้ แต่ต้องไปยื่นเรื่องที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัด สถานรองรับที่ พม. กำหนด หรือกลุ่มงานครอบครัวอุปถัมภ์ส่วนกลาง[21] ซึ่งทำให้ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงได้โดยง่าย และยังขาดการประชาสัมพันธ์ให้ลงทะเบียนเป็นครอบครัวอุปถัมภ์ด้วย  

นอกจากปัญหาในเรื่องระบบการจัดการแล้ว ปัญหาในเรื่องเงินช่วยเหลือก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง เนื่องจากเงินช่วยเหลือครอบครัวอุปถัมภ์ไม่ใช่สวัสดิการ แต่ต้องมีการร้องขอจาก พม. และต้องเป็นครอบครัวอุปถัมภ์ยากจน นอกจากนี้ยังพบว่าเงินช่วยเหลือที่ได้รับนั้นไม่มีการปรับขึ้นตามค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูเด็กดังที่ปรากฎในตารางที่ 1

ตารางที่ 1: ตารางเปรียบเทียบการให้เงินช่วยเหลือครอบครัวอุปถัมภ์ในประเทศไทย
ที่มา: ประกาศกรมประชาสงเคราะห์[22] ประกาศกรมกิจการเด็กและเยาวชน[23]

จากตารางจะเห็นได้ว่า เงินช่วยเหลือครอบครัวอุปถัมภ์ในประเทศไทยปรับขึ้นเพียง 2 เท่าในระยะเวลา 14 ปี และเงินช่วยเหลือที่ได้รับยังไม่ถึงครึ่งของค่าครองชีพในประเทศไทย โดยจากการคำนวณจากค่าจ้างเพื่อชีวิต[24] ในการเลี้ยงดูครอบครัวที่มีบุตร 1 คน พบว่าเด็ก 1 คนต้องใช้เงิน 3,304.6 บาท/เดือน[25] ซึ่งจะเห็นว่าเงินช่วยเหลือค่าเลี้ยงดูเด็กที่ครอบครัวอุปถัมภ์ได้รับนั้นน้อยกว่าจำนวนเงินที่ต้องใช้ในการเลี้ยงดูเด็กหนึ่งคนถึง 3 เท่า นอกจากนี้การให้เงินช่วยเหลือยังไม่มีการกำหนดหลักเกณฑ์อื่นๆ อาทิ อายุของเด็กที่อยู่ในครอบครัวอุปถัมภ์ หรือพื้นที่ที่ครอบครัวอุปถัมภ์อาศัยอยู่ เพื่อให้การกำหนดเงินช่วยเหลือนั้นมีความเหมาะสมทั้งต่อเด็กและครอบครัวอุปถัมภ์

เมื่อเปรียบเทียบกับการให้เงินช่วยเหลือสนับสนุนในต่างประเทศ เช่น อังกฤษ​ หรือออสเตรเลีย พบว่าทั้งสองประเทศมีการกำหนดหลักเกณฑ์การให้เงินช่วยเหลือที่ละเอียดและยึดโยงกับเด็กมากกว่า

หลักเกณฑ์การให้เงินช่วยเหลือในประเทศอังกฤษ มีการให้เป็นรายอาทิตย์ โดยต่ำสุดอยู่ที่ 154 ปอนด์/อาทิตย์ และสูงสุดอยู่ที่ 270 ปอนด์/อาทิตย์ โดยมีการกำหนดเงินที่จะช่วยเหลือตามอายุของเด็ก ที่สะท้อนค่าครองชีพในการเลี้ยงดูเด็กที่แตกต่างไปในแต่ละช่วงวัย ความต้องการพิเศษของเด็ก ลักษณะและทักษะประสบการณ์ของครอบครัวอุปถัมภ์ที่เด็กอยู่ นอกจากนี้ยังมีการกำหนดเงินช่วยเหลือตามพื้นที่ที่เด็กอยู่อาศัย เพื่อปรับเงินช่วยเหลือให้สอดคล้องกับค่าครองชีพในพื้นที่นั้นๆ ด้วย[26] ดังภาพ

ที่มา:  gov.uk

และเมื่อเทียบกับค่าครองชีพของสหราชอาณาจักรพบว่า มูลค่าสูงสุดของเงินช่วยเหลือครอบครัวอุปถัมภ์นั้นใกล้เคียงกับค่าครองชีพเฉลี่ยต่อเดือน โดยเงินช่วยเหลือครอบครัวอุปถัมภ์สูงสุดอยู่ที่ 270 ปอนด์/สัปดาห์ หรือเท่ากับ 1,080 ปอนด์/เดือน ในขณะที่ค่าครองชีพเฉลี่ยจากรายงานของ Siam Real Estate อยู่ที่ 1,661 ปอนด์/เดือน[27]

ในรัฐ Western Australia ประเทศออสเตรเลีย ก็มีการจ่ายเงินสนับสนุนผู้อุปถัมภ์เด็กโดยแบ่งตามอายุ

  • อายุ 0-6 ปี ได้รับเงิน 409.20 ดอลลาร์ออสเตรเลีย/ 2 สัปดาห์
  • อายุ 7-12 ได้รับเงิน 481.83 ดอลลาร์ออสเตรเลีย/ 2 สัปดาห์
  • อายุ 13–18 ปี ได้รับเงิน 554.45 ดอลลาร์ออสเตรเลีย/ 2 สัปดาห์

จำนวนเงินที่ให้นี้ครอบคลุมทั้งค่าอาหาร ค่าที่พักอาศัย ค่าอุปโภคต่างๆ รวมถึงค่าของใช้ส่วนตัวและค่าเดินทางโดยขนส่งสาธารณะ ซึ่งเงินสนับสนุนในส่วนนี้ก็อาจเพิ่มขึ้น 10-20% ก็ได้ ตามพื้นที่ที่เด็กอยู่อาศัย

นอกจากนี้ หากเด็กไม่ได้อยู่ในครอบครัวอุปถัมภ์ถึงกำหนดที่จะจ่ายเงินได้ ก็มีการให้เงินช่วยเหลือเป็นรายวัน (short-break support) ด้วย โดยเด็กอายุ 0-6 ปี ได้รับ 35.61 ดอลลาร์ออสเตรเลีย/วัน เด็กอายุ 7-12 ปีได้รับ 42.45 ดอลลาร์ออสเตรเลีย/วัน และสุดท้าย เด็กอายุ 13 – 17 ปี ได้รับ 42.29 ดอลลาร์ออสเตรเลีย/วัน โดยเงินจำนวนนี้อาจเพิ่มขึ้นได้ 10-20% ตามพื้นที่ที่เด็กอาศัยอยู่[28]

อย่างไรก็ดี การจะจัดสรรเงินช่วยเหลือครอบครัวอุปถัมภ์ให้เหมาะสมกับเด็ก ก็ต้องยังคงต้องอาศัย case manager ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ และอยู่กับเด็กที่เสียหายมาตั้งแต่กระบวนการแรกๆ ในการคุ้มครองเด็ก แต่เนื่องจาก case manager ในประเทศไทยยังมีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือ ทำให้เงินช่วยเหลือครอบครัวอุปถัมภ์ไทยยังไม่กลายเป็นสวัสดิการ และยังเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ขาดแรงจูงใจในการเป็นครอบครัวอุปถัมภ์ สุดท้ายจึงส่งผลให้ครอบครัวอุปถัมภ์ในประเทศไทยยังมีจำนวนน้อย

3 ข้อเสนอพัฒนากระบวนการคุ้มครองเด็กไทย

กระบวนการคุ้มครองเด็กไทยยังมีปัญหาในหลายเรื่อง ทั้งกระบวนการยุติธรรมที่ไม่ละเอียดอ่อนต่อเด็กที่เป็นผู้เสียหาย การประสานงานที่ยังขาดทั้งระบบและผู้ประสานงาน ไปจนถึงการพึ่งพิงสถานรองรับที่มากเกินไปซึ่งอาจทำให้เด็กมีปัญหาทางด้านพัฒนาการ สุขภาพจิต และมีความเสี่ยงที่จะโดนทำร้ายซ้ำ และการที่มีครอบครัวอุปถัมภ์น้อยซึ่งก็ทำให้ต้องกลับไปพึ่งพิงสถานรองรับมากขึ้น การพัฒนากระบวนการคุ้มครองเด็กจึงเป็นเรื่องจำเป็น โดยควรพัฒนาใน 3 ด้านหลักดังต่อไปนี้

1. ปรับกระบวนการยุติธรรมให้ละเอียดอ่อนต่อเด็ก

  • การสอบปากคำและสืบพยานหลักฐานจากเด็กไม่ควรมีเกิน 2 ครั้ง

การสอบปากคำหรือสืบพยานไม่ควรทำหลายครั้งจนเกินกว่าความจำเป็น กฎหมายได้วางหลักการไว้เช่นนั้นก็เพื่อลดขั้นตอนกระบวนการและเพื่อไม่ให้เด็กต้องตอบคำถามซึ่งเป็นการทำร้ายเด็กซ้ำอีก แต่ในทางปฏิบัติ เด็กก็ยังคงต้องตอบคำถามซ้ำเดิมหลายครั้ง เป็นการตอกย้ำบาดแผลในจิตใจเด็ก จึงควรกำหนดจำนวนครั้งที่แน่นอน เพื่อไม่ให้เกิดสถานการณ์ที่เด็กต้องตอบคำถามซ้ำเดิมหลายรอบอีก

  • ปรับปรุงห้องสอบสวนเด็กให้เหมาะสม หรือจัดหาสถานที่โดยร่วมมือกับเอกชนและภาคประชาสังคม

ห้องสอบสวนเด็กในต่างประเทศไม่จำเป็นต้องอยู่ที่โรงพักหรือศาล และยังมีอุปกรณ์ที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดให้เด็ก อาทิ ของเล่น หรือเฟอร์นิเจอร์ที่ให้ความรู้สึกสบาย หรืออย่างน้อยที่สุดคือการมีห้องอัดวิดีโอที่แยกต่างหากจากห้องสอบสวนเด็ก เพื่อให้เด็กได้คุยกับเจ้าหน้าที่ได้อย่างสบายใจ ดังภาพด้านล่าง

ตัวอย่างห้องสอบสวนเด็กที่ดีในต่างประเทศ

ที่มา: Clare Regional Child Advocacy Center, Northern Michigan Alliance for Children, USA

ที่มา: Chicago Children’s Advocacy center

ตัวอย่างห้องสอบสวนเด็กที่ดีของเอกชนในประเทศไทย

ศูนย์ช่วยเหลือเด็ก จ.เชียงใหม่
ที่มา: มีชัย สีเจริญ และคณะ 2020
  • เพิ่มจำนวนและค่าตอบแทนนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์

การเพิ่มค่าตอบแทนให้แก่นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์เพื่อเป็นการจูงใจให้มาช่วยเหลือในการสอบสวนเด็กให้มากขึ้น และค่าตอบแทนนั้นไม่ควรใช้ระบบเบิกจ่ายของราชการ เนื่องจากมีความล่าช้า ไม่เหมาะสมต่อการทำงานของนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ที่ทำเป็นรายกรณี ทั้งนี้จำนวนนักจิตวิทยาและนักสังคมสงเคราะห์ก็ต้องเพียงพอต่อปริมาณงานด้วย  

2. เพิ่มการประสานงานระหว่างหน่วยงาน

  • เพิ่ม case manager เชื่อมโยงระบบคุ้มครองเด็กทั้งจากส่วนกลางและท้องถิ่น

case manager ที่เข้าใจทั้งเด็กและระบบคุ้มครองเด็กจะเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดขั้นตอนวิธีการในกระบวนการคุ้มครองเด็กทั้งในเรื่องของการประเมินความเสี่ยงในการส่งเด็กกลับสู่ครอบครัวในขั้นตอนแรกๆ ไปจนถึงการคัดเลือกและให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ครอบครัวอุปถัมภ์ของเด็ก นอกจากนี้ยังเป็นตัวละครสำคัญในการเชื่อมโยงกระบวนการคุ้มครองเด็กของหน่วยงานต่างๆ ไว้ด้วยกัน ทั้งระบบโรงพยาบาลและกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้เด็กที่ถูกทำร้ายร่างกาย ทารุณกรรม หรือทอดทิ้งได้เข้าสู่กระบวนการคุ้มครองเด็ก และรับความช่วยเหลือจากรัฐต่อไป

  • บูรณาการระบบการคุ้มครองเด็กทั้งจากตำรวจ โรงพยาบาล และ พม. ให้เชื่อมโยงกัน

นอกจาก case manager ที่เป็นตัวละครที่เชื่อมโยงระบบต่างๆ เข้าด้วยกันแล้ว ทั้งตำรวจ โรงพยาบาล และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) และ พม. เองก็ควรที่จะมีระบบรับส่งข้อมูลที่เชื่อมโยงกันในการคุ้มครองเด็ก อาทิ การให้โรงพยาบาลหรือตำรวจติดต่อไปยัง พม. หรือ พมจ. เมื่อได้รับแจ้งว่ามีเด็กถูกทำร้ายร่างกาย เพื่อให้เจ้าหน้าที่พม. สามารถดำเนินกระบวนการคุ้มครองเด็กได้อย่างรวดเร็ว

  • เพิ่มความรู้ความเข้าใจให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน

ระบบที่เชื่อมโยงกันและตัวละครที่เชื่อมโยงระบบเข้าด้วยกันจะไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้ หากเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม โรงพยาบาล หรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เองยังขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการคุ้มครองเด็ก ดังนั้นจึงควรเพิ่มความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการคุ้มครองเด็กให้แก่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมากขึ้น เพื่อให้ระบบการเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานเป็นไปได้จริง

3. ลดการพึ่งพิงสถานรองรับและเพิ่มความสำคัญของครอบครัวอุปถัมภ์

การพึ่งพิงสถานรองรับที่มากเกินไปและจำนวนครอบครัวอุปถัมภ์ที่ไม่เพียงพอเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้เด็กที่ต้องการความช่วยเหลือมีแหล่งพักพิงชั่วคราวจนกว่ากระบวนการคุ้มครองเด็กจะสิ้นสุดลง

  • ลดการพึ่งพิงสถานรองรับ

– สร้างความเข้าใจต่อข้อจำกัดของสถานรองรับ

การรับเด็กที่จำกัดและผลเสียที่อาจเกิดขึ้นต่อเด็กที่ถูกส่งต่อไปยังสถานรองรับ เป็นอย่างแรกที่ควรให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการคุ้มครองเด็กตระหนักถึง เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันว่าสถานรองรับไม่ควรเป็นพื้นที่ในการคุ้มครองเด็กในระยะยาว และยังเป็นการเพิ่มความเข้าใจในในเรื่องของความจำเป็นของครอบครัวอุปถัมภ์ด้วย

คงสถานรองรับเฉพาะพื้นที่ที่จำเป็น

การปิดสถานรองรับทั้งหมดคงไม่ใช่สิ่งที่ดีในการคุ้มครองเด็ก เนื่องจากเด็กส่วนหนึ่งที่ไม่มีครอบครัวอุปถัมภ์ก็ยังต้องการสถานที่พักพิง แต่สถานรองรับก็ควรจะมีเท่าที่จำเป็น หรือเฉพาะในพื้นที่ที่มีโอกาสเกิดความรุนแรงต่อเด็กสูง เพื่อลดโอกาสที่เด็กจะเข้าไปอยู่ในสถานรองรับเป็นเวลานาน

ส่งต่อเด็กไปยังครอบครัวอุปถัมภ์ให้เร็วที่สุด

การส่งเด็กไปยังครอบครัวอุปถัมภ์อย่างรวดเร็วเป็นการลดระยะเวลาในการอยู่ในสถานรองรับ และยังเป็นการลดความเสี่ยงด้านพัฒนาการและด้านสุขภาพจิตที่อาจเกิดขึ้นในเด็กที่อยู่ในสถานรองรับอีกด้วย

  • เพิ่มความสำคัญของครอบครัวอุปถัมภ์

– จัดทำระบบข้อมูลครอบครัวอุปถัมภ์ให้เข้าถึงง่าย

การรับสมัครครอบครัวอุปถัมภ์ยังต้องไปดำเนินการในสถานที่ที่กรมกิจการเด็กและเยาวชนกำหนดไว้ เพื่อเป็นการเพิ่มจำนวนครอบครัวอุปถัมภ์ จึงควรที่จะจัดทำระบบให้เข้าถึงง่ายขึ้น อาทิ การเพิ่มการรับสมัครแบบออนไลน์

– ประชาสัมพันธ์การเป็นครอบครัวอุปถัมภ์ และประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับเด็ก

นอกจากการรับสมัครแบบออนไลน์แล้ว การประชาสัมพันธ์ถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นต่อเด็ก และสิทธิประโยชน์ที่ครอบครัวอุปถัมภ์จะได้รับก็เป็นเรื่องจำเป็น เพื่อสร้างแรงจูงใจในการสมัครเป็นครอบครัวอุปถัมภ์มากขึ้น

– ให้เงินช่วยเหลือครอบครัวอุปถัมภ์แบบสวัสดิการ

หากเงินช่วยเหลือครอบครัวอุปถัมภ์ยังจำกัดเฉพาะครอบครัวอุปถัมภ์ที่มีฐานะยากจน ความต้องการในการรับอุปถัมภ์เด็กก็อาจจะไม่เพิ่มขึ้น เนื่องจากไม่เห็นความช่วยเหลือจากรัฐที่เข้ามาสนับสนุนครอบครัวที่รับอุปถัมภ์เด็ก การให้เงินช่วยเหลือจึงควรเป็นสวัสดิการที่ได้ทุกครอบครัวแต่จะมากน้อยอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับความจำเป็นของครอบครัวอุปถัมภ์นั้นๆ


[1] ทำร้ายร่างกายในที่นี้นับรวมการทำร้ายกันเองของเด็กด้วย

[2] สถิติฐานความผิดคดีอาญา(คดี 4 กลุ่ม) ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ.

[3] Supakarn Phadungjai, ““ความในอย่านำออก” : เมื่อกระบวนการยุติธรรมเข้าไม่ถึงความรุนแรงในครอบครัว”, นิสิตนักศึกษา, 25 พฤศจิกายน 2020, https://nisitjournal.press/2020/11/25/sexual_and_domestic_violence/ (เข้าถึงเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2023).

[4] กองพัฒนานโยบายและนวัตกรรมทางสังคม, “ข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อเด็ก”, ฐานข้อมูลเปิดภาครัฐเพื่อสนับสนุนการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติ, 30 ตุลาคม 2020, https://opendata.nesdc.go.th/dataset/d05128e8-481f-4dbc-b908-ab2b2ff19678/resource/359cf10e-5c0a-44b3-a436-738104633cd1/download/1.-..pdf (เข้าถึงเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2023).

[5] “Disrupting Harm in Thailand – Evidence on online child sexual exploitation and abuse”, UNICEF, February 21, 2022.

[6] มีชัย สีเจริญ และคณะ, การวิจัยและพัฒนารูปแบบห้องสอบสวนเด็กและเยาวชนที่เหมาะสมในประเทศไทย (2020)

[7] อ้างแล้ว เชิงอรรถ 6.

[8] อ้างแล้ว เชิงอรรถ 4.

[9] Amy Russell, “Forensic Interview Room Set-up”, 2004, (accessed May 28, 2023).

[10] อ้างแล้ว เชิงอรรถ 6.

[11] “เด็ก-ผู้หญิงถูกทำร้ายในครอบครัวมากกว่า 1 ครั้ง สูงถึง 75%”, Thai PBS, 25 พฤศจิกายน 2021, https://www.thaipbs.or.th/news/content/310060 (เข้าถึงเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2023).

[12] “พม. รวมพลังพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 บูรณาการกับภาคีเครือข่ายคุ้มครองเด็กอย่างทันท่วงที”, สำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี, 29 สิงหาคม 2564, https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45278 (เข้าถึงเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2023).

[13] ปีงบประมาณ

[14] รายงานประจำปี 2564, กรมกิจการเด็กและเยาวชน, 27 เมษายน 2565, https://www.dcy.go.th/public/mainWeb/file_download/1651050634696-210270084.pdf (เข้าถึงเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2023).

[15] “คู่มือปฏิบัติและข้อตกลงร่วมกัน เรื่อง การคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กในภาวะเสี่ยง และเป็นผู้เสียหายจากการละเมิด ละเลยทอดทิ้ง แสวงประโยชน์ และความรุนแรง”, กรมกิจการเด็กและเยาวชน.

[16] อ้างแล้ว เชิงอรรถ 11.

[17] Ladaphongphatthana, K., Lillicrap, A., & Thanapanyaworakun, W. (2022).Counting every child, identifying over 120,000 children in residential care in Thailand.

[18] “เด็กทยอยออกจากมูลนิธิฯ สมุทรสงคราม หลังปมทำร้าย-ใช้แรงงาน”, Thai PBS, 2 พฤศจิกายน 2023, https://www.thaipbs.or.th/news/content/321112 (เข้าถึงเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2023).

[19] “ส่งดำเนินคดี “ครูพี่เลี้ยง” ทำร้ายร่างกายเด็กใน “สถานสงเคราะห์” จ.สระบุรี”, ไทยรัฐ, 30 พฤษภาคม 2023″ https://www.thairath.co.th/news/society/2697915 (เข้าถึงเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2023).

[20] อ้างแล้ว เชิงอรรถ 17.

[21]“ครอบครัวอุปถัมภ์” ศูนย์อำนวยการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม“, กรมกิจการเด็กและเยาวชน,

[22] ประกาศกรมประชาสงเคราะห์ เรื่อง อัตราและหลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยค่าเลี้ยงดูเด็กแก่ครอบครัวอุปถัมภ์ และ/หรือ ช่วยเหลือเครื่องอุปโภคบริโภคแก่เด็กตามความจำเป็น

[23] ประกาศกรมกิจการเด็กและเยาวชนที่ 298/2558 เรื่องกำหนดอัตราและหลักเกณฑ์อัตราและหลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยค่าเลี้ยงดูเด็กแก่ครอบครัวอุปถัมภ์ และหรือ ช่วยเหลือเครื่องอุปโภคบริโภคแก่เด็กตามความจำเป็น

[24] กษิดิ์เดช คำพุช, “ยกระดับค่าจ้างขั้นต่ำไทย ให้ไปถึงค่าจ้างเพื่อชีวิต,” 101 Public Policy Think Tank, 29 กันยายน 2022, https://101pub.org/minimum-wage-to-living-wage/ (เข้าถึงเมื่อ 4 กรกฎาคม 2022)

[25] คำนวณโดยนำค่าเพื่อชีวิตในครอบครัวที่มีบุตร 1 คน 1 วัน คูณกับตัวคูณสมาชิกในครัวเรือนทั้งหมด (2.3) /ตัวคูณสมาชิกที่เป็นเด็ก 1 คน(0.5)

[26] “Cost Of Living In Thailand – a Guide by Siam Real Estate” , Bangkok Post, November 3, 2022, https://www.bangkokpost.com/thailand/pr/2427414/cost-of-living-in-thailand-%E2%80%93-a-guide-by-siam-real-estate (accessed July 5, 2023)

[27] อ้างแล้ว เชิงอรรถ 23.

[28] “Fostering.It’s not just the child life that changed”. Government of western Australia, Department of Communities, September 2021, https://www.wa.gov.au/system/files/2021-08/Foster-Care-Financial-Support-Information.pdf (accessed June 25, 2023)   


 

MOST READ

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

5 Jan 2023

คู่มือ ‘ขายวิญญาณ’ เพื่อตำแหน่งวิชาการในมหาวิทยาลัย

สมชาย ปรีชาศิลปกุล เขียนถึง 4 ประเด็นที่พึงตระหนักของผู้ขอตำแหน่งวิชาการ จากประสบการณ์มากกว่าทศวรรษในกระบวนการขอตำแหน่งทางวิชาการในสถาบันการศึกษา

สมชาย ปรีชาศิลปกุล

5 Jan 2023

Social Issues

4 Apr 2023

เปลี่ยน ‘ผี’ ให้เป็น ‘คน’ : เหตุผลที่คนเลือกเป็น ‘ผีน้อย’ และปัญหาเชิงระบบของการส่งแรงงานไปเกาหลี

รีนา ต๊ะดี เขียนถึงปัญหาในระบบการส่งแรงงานไปทำงานที่เกาหลีใต้อย่างถูกกฎหมาย เปิดเหตุผลว่าทำไมแรงงานไทยยังเลือกไปแบบ ‘ผีน้อย’

รีนา ต๊ะดี

4 Apr 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save