จันจิรา สมบัติพูนศิริ เรื่อง
กฤตพร โทจันทร์ ภาพประกอบ
การปิดเมืองหรือล็อกดาวน์เพื่อยับยั้งโรคระบาดกลายเป็นโจทย์ใหญ่สำหรับขบวนการภาคประชาชนว่าจะดำเนินกิจกรรมทางการเมืองอย่างไรเมื่อไม่สามารถลงถนนได้ ความท้าทายนี้ยังเชื่อมโยงกับความกังวลว่าการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในหลายประเทศอาจยิ่งบั่นทอนอนาคตประชาธิปไตย และเอื้อให้ผู้นำอำนาจนิยมฉวยใช้อำนาจเพื่อปราบปรามผู้เห็นต่างได้มากขึ้น โลกหลังโควิดดูเหมือนจะไม่เป็นมิตรกับขบวนการประท้วงภาคประชาชนมากนัก
กระนั้นก็ดี ไม่แน่เสมอไปว่าพื้นที่ประชาธิปไตยที่หดแคบลงจะลดปริมาณการประท้วงของประชาชน
รายงานของสถาบันวิจัยด้านประชาธิปไตยจากประเทศเดนมาร์ก V-Dem ชี้ว่าเมื่อปีที่แล้วกระแสอำนาจนิยมรุกคืบ (autocratisation) ทั่วโลกเกิดขึ้นควบคู่กับจำนวนการประท้วงที่เพิ่มขึ้น กล่าวคือในปี 2562 ประเทศที่ปกครองด้วยระบอบกึ่งอำนาจนิยม/ระบอบผสม (คืออาจมีการเลือกตั้ง แต่ไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม มีการแทรกแซงสถาบันอิสระ รวมถึงจำกัดการแสดงความเห็นของประชาชนและสื่อ) อำนาจนิยม และเผด็จการ เพิ่มขึ้นเป็น 92 ประเทศ คำนวณได้ว่าประชากรโลกราว 54 เปอร์เซ็นต์อยู่กับระบอบที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย
ถือเป็นครั้งแรกนับจากปี 2544 ที่ประชาธิปไตยไม่ใช่ระบอบการเมืองหลักของโลกอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นประเทศซึ่งเคยเป็นเสาหลักของประชาธิปไตย อย่างสหรัฐฯ บราซิล และอินเดียก็เผชิญภาวะถดถอยอย่างน่าใจหาย
แนวโน้มเช่นนี้ส่งผลต่อพื้นที่ภาคประชาสังคม เช่นใน 31 ประเทศที่ V-Dem เก็บข้อมูล เสรีภาพในการแสดงความเห็นและเสรีภาพสื่อลดลงอย่างมาก และใน 37 ประเทศ ขบวนการภาคประชาชนถูกปราบปรามอย่างหนัก นอกจากนี้เสรีภาพในการชุมนุมและเสรีภาพทางวิชาการทั่วโลกยังลดลงถึง 14 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับเมื่อสิบปีที่แล้ว กระแสเช่นนี้สะท้อนการหดตัวลงของพื้นที่ภาคประชาสังคม (shrinking civic space) ซึ่งดำเนินต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2553
อย่างไรก็ดี รายงานของ V-Dem ชี้ว่าแม้พื้นที่ภาคประชาสังคมจะแคบลง แต่การประท้วงกลับเพิ่มขึ้นทั้งในประเทศประชาธิปไตย (29 ประเทศ) และที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย (34 ประเทศ) ในจำนวนนี้ บางประเทศสามารถต้านกระแสอำนาจนิยมรุกคืบได้ หรือกระทั่งล้มผู้นำเผด็จการได้ เช่นซูดานและอัลจีเรีย กราฟด้านล่างระบุสัดส่วนระบอบประชาธิปไตยลดลง อันสวนทางกับการประท้วงในระบอบที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยเพิ่มขึ้น โดยเทียบปี 2552 กับปี 2562

ท่ามกลางวิกฤตโควิด ประชาชนในหลายประเทศยังยืนกรานจะประท้วงต่อไป เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อนโยบายอันไร้ประสิทธิภาพของรัฐ การฉ้อฉล หรือการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ทว่าเปลี่ยนรูปแบบและพื้นที่การประท้วงให้สร้างสรรค์และสอดคล้องกับสถานการณ์มากขึ้น เช่นในบราซิล ประชาชนออกมาตีหม้อที่นอกชานเพื่อคัดค้านมาตรการอันหย่อนยานของรัฐบาลตน ชาวรัสเซียใช้แอปพลิเคชันจราจรเป็นพื้นที่ประท้วงและวิจารณ์รัฐบาล หรือในอิสราเอล ประชาชนออกมาประท้วงประธานาธิบดีเบนจามิน เนทันยาฮู โดยยืนห่างกันสองเมตรตามกฎ physical distancing ส่วนในสหรัฐฯ นักกิจกรรมเพื่อสิทธิผู้อพยพ ‘เดินขบวน’ ด้วยการขับรถส่วนตัวและติดป้ายชุมนุมที่รถ นอกจากจะประท้วงผู้มีอำนาจแล้ว กลุ่มประชาสังคมยังระดมกำลังช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการปิดเมือง ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุ คนไร้บ้าน ชาวชุมชนแออัด รวมถึง sex worker เป็นต้น
เมื่อพิจารณาแนวโน้มอำนาจนิยมรุกคืบ อันสวนทางกับการประท้วงที่เพิ่มขึ้นก่อนและระหว่างวิกฤตโควิด ประกอบกับบทบาทของรัฐในการรับมือวิกฤต เส้นทางขบวนการประท้วงในโลกหลังโรคระบาดคลี่คลายอาจเป็นไปได้สี่ทิศทาง
1. ประเทศที่อำนาจนิยมรุกคืบ และรัฐบาลรับมือกับวิกฤตได้ดี (หรืออย่างน้อยก็สร้างภาพได้ดี) เช่น ฮังการี อินเดีย:
ภายหลังวิกฤต ผู้นำ strongman อย่าง วิคเตอร์ ออร์บัน หรือนาเรนดา โมดี อาจได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น การประท้วงต่อต้านรัฐบาลจะยากขึ้น การปราบปรามจะได้รับความชอบธรรมมากขึ้น ภาคประชาชนจะต้านนโยบายซึ่งกัดกร่อนคุณภาพประชาธิปไตยได้มีประสิทธิภาพน้อยลง
2. ประเทศที่อำนาจนิยมรุกคืบ แต่รัฐบาลรับมือได้แย่ เกิดเสียงวิจารณ์ต่อความไร้ประสิทธิภาพ ไร้ทิศทาง เช่น บราซิล ฟิลิปปินส์ ตุรกี:
ภายหลังวิกฤต กระแสสนับสนุนรัฐบาลอาจผ่อนลง คนที่เดือดร้อนไม่พอใจจะประท้วงหนักขึ้น รัฐบาลจะโต้กลับด้วยการปราบปราม หรือใช้มวลชนของตนข่มขู่ ทว่ามาตรการเหล่านี้อาจไม่ได้ผลเหมือนช่วงก่อนวิกฤต เพราะความชอบธรรมของรัฐบาลหดหาย เป็นไปได้ว่าการต่อสู้ของประชาชนจะต้านการรุกคืบของอำนาจนิยมในประเทศเหล่านี้ได้
3. ในประเทศเสาหลักของประชาธิปไตยอย่างสหรัฐฯ และอังกฤษ ขีดจำกัดในการรับมือกับโรคระบาด รวมถึงผลข้างเคียงทางเศรษฐกิจ อาจยิ่งตอกย้ำความไม่เชื่อมั่นของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม:
ภายหลังวิกฤต ขบวนการภาคประชาชนต้านประชาธิปไตยอาจขยายตัว ยิ่งทำให้สังคมแบ่งเป็นสองฝักฝ่ายมากขึ้น (polarisation) ภาวะเช่นนี้อาจกลายเป็นต้นทุนให้ผู้นำขวาประชานิยมได้รับการเลือกตั้งอีกครั้ง
4. ประเทศประชาธิปไตยขนาดกลางถึงเล็ก เช่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน เยอรมนี และเดนมาร์ก ซึ่งรับมือกับวิกฤตได้มีประสิทธิภาพ:
หลังวิกฤต รัฐบาลและระบอบประชาธิปไตยจะได้รับความเชื่อมั่นมากขึ้น การประท้วงจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของพลวัตประชาธิปไตย ซึ่งช่วยสนับสนุนค้ำจุนระบอบ เป็นไปได้ว่ารัฐบาลเหล่านี้จะใส่ใจและตอบรับกับข้อเสนอภาคประชาสังคมเกี่ยวกับนโยบายสวัสดิการ การสร้างความเป็นธรรม และลดความเหลื่อมล้ำในสังคมมากขึ้น
กล่าวโดยสรุป สองในสี่เส้นทางนี้ส่งเสริมกระแสรุกคืบของอำนาจนิยม ขณะที่อีกสองเส้นทางที่เหลือช่วยต้านกระแสนี้ โดยมีภาคประชาสังคมเป็นกำลังหลัก
สำหรับประเทศไทย ยังไม่แน่ว่าฉากทัศน์ที่หนึ่งหรือสองจะปรากฏหลังวิกฤตคลี่คลาย หากรัฐบาลยังคงแสดงความไร้ประสิทธิภาพในการรับมือกับผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อไป เป็นไปได้ว่าไทยจะเดินไปในเส้นทางที่สอง แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับพลังภาคประชาสังคมด้วยว่าจะระดมสรรพกำลังได้มากน้อยเพียงใด และจะก้าวข้ามภาวะสังคมสองเสี่ยงได้หรือไม่