นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เรื่อง
Shin Egkantrong ภาพประกอบ
ตอนที่ข้ามฟากไปเรียนที่ศิริราช เวลานั้นอุดมการณ์แพทย์ชนบทเริ่มขึ้นแล้ว ศิริราชมีสโมสรนักศึกษาที่ได้ชื่อว่าเป็นที่ชุมนุมของนักศึกษาหัวก้าวหน้า มีนักคิด นักเขียน และนักพูดหลายคน มีคำพูดสวยๆ ฟังแล้วเคลิ้มจำนวนมาก มีมรดกทางความคิดที่ตกทอดมาจากนักศึกษาแพทย์รุ่นก่อนๆ ที่เพิ่งผ่านพ้นเหตุการณ์ตุลาคม 2516 และ 2519 มาไม่นาน
แต่ละท่านเอ่ยชื่อวันนี้ก็จะเห็นจริงถึงสิ่งที่เรียกว่าอุดมการณ์
อุดมการณ์มากับวัยหนุ่มสาว เป็นการพุ่งขึ้นของความคิดเชิงนามธรรมไปสู่ระดับสูงสุดถึงอุดมคติ เป็นหมอต้องออกไปช่วยคนจนในชนบท จะขี่รถมอเตอร์ไซค์ต้องตีโค้งด้วยความเร็วสูงสุดอย่างสง่างามโดยไม่ล้ม ทั้งสองประการไม่ต่างกัน นั่นคืออุดมการณ์
เมื่อเวลาผ่านมาหลายปี เราจึงได้เห็นการกลับทิศของนักศึกษาหัวก้าวหน้าที่ว่าจำนวนมากในวันนี้ เมื่ออุดมการณ์เป็นได้แค่ความสง่างาม
การพูดถึงคนตายแล้วจะปลอดภัยกว่ามาก
ศาสตราจารย์นายแพทย์อารี วัลยเสวี ท่านยังอยู่แต่ชราภาพมากแล้ว และยังพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ท่านเขียนคำนำให้แก่หนังสือ ปูมประวัติศาสตร์มหิดลเพื่อประชาธิปไตย ภาคที่ 2 14 ตุลาคม 2516- 6 ตุลาคม 2519 เมื่อ ตุลาคม 2547 ความว่า
“…จึงทำให้นักศึกษาเหล่านี้ถูกเรียกเป็นฝ่ายซ้าย โดยอีกกลุ่มที่อยู่ขวาก็มองอีกพวกหนึ่งเป็นซ้าย ผมก็พูดอย่างเป็นกลางว่าทุกคนก็พยายามจะให้มีความยุติธรรมในสังคม ทั้งนี้เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ดี…นักศึกษาหัวก้าวหน้าเหล่านี้ ส่วนใหญ่เมื่อเขาสำเร็จไปจากมหาวิทยาลัย มักจะเป็นผู้ที่สนใจกับปัญหาสุขภาพและปัจจัยที่เกี่ยวกับสังคม”
นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ บรรณาธิการหนังสือ เขียนคำนำ ดังนี้
“น้องรักก้าวเถิด ก้าวมา
ศึกษาทุกสิ่งที่นี่
ก้าวกลับพร้อมด้วยจิตพลี
เพื่อพี่เพื่อน้องผองไทย”
นักศึกษาหัวก้าวหน้าเวลานั้นก็ประมาณนี้ล่ะครับ เขียนภาษาไทยดีๆ ไม่ค่อยเป็น ต้องเว้นวรรคแปลกๆ ขาดเป็นช่วงๆ เสมอ
“บทกลอนในลักษณะนี้มีปรากฏออกมาตลอดระยะเวลาในช่วงปี พ.ศ.2516-2519 อันเป็นช่วงที่ประชาธิปไตยเริ่มผลิบาน หลังจากต้องอยู่ใต้ระบอบเผด็จการมายาวนาน ทั้งในมหาวิทยาลัยมหิดลและในอีกหลายๆ มหาวิทยาลัย เพื่อต้อนรับน้องใหม่ที่เพิ่งเดินเข้ามา”
หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เพียงเดือนเศษ มีการสัมมนา ‘โครงการพัฒนามหาวิทยาลัยมหิดล’ ที่ อ.สูงเนิน นครราชสีมา ระหว่างวันที่ 8-10 ธันวาคม 2516 ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในเวลาต่อมาว่า ‘สัมมนาสูงเนิน’
เป็นครั้งแรกที่นักศึกษาขอมีส่วนแสดงความคิดเห็นต่อการผลิตแพทย์ และขอมีส่วนร่วมกับมหาวิทยาลัยในการผลักดันแนวทางสาธารณสุขเพื่อประชาชน โดยเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยมหิดลปรับปรุงหลักสูตรเพื่อสนองตอบประชาชนผู้ด้อยโอกาสในสังคมมากขึ้น เรียกร้องให้สร้างจิตสำนึกรับใช้สังคม รวมทั้งปรับทิศและโครงสร้างกิจกรรมนักศึกษาให้มีบทบาทเพื่อสังคมมากขึ้น
14 ตุลาฯ นำความเปลี่ยนแปลงมาสู่มหิดลด้วยสัมมนาสูงเนินครั้งนี้
งานสัมมนาที่สูงเนินเป็นเวทีที่ได้ชื่อว่านักศึกษามีโอกาสพูดมากที่สุดครั้งหนึ่ง ข้อเรียกร้องมีตั้งแต่การปรับปรุงหลักสูตรไปจนถึงการเปลี่ยนวัตรปฏิบัติของอาจารย์แพทย์เวลานั้น ซึ่งก็น่าจะทำนายได้ว่าสร้างความไม่พอใจแก่ผู้หลักผู้ใหญ่จำนวนมาก ในขณะเดียวกันนักศึกษาก็มีวาจาก้าวร้าว จนกระทั่งทำให้อาจารย์แพทย์เสียใจเสียน้ำตาเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การที่เราได้เห็นนักศึกษากล้าแสดงออก กล้าแตะต้องขนบที่ล้าหลัง และกล้าพูดถึงสังคมในอุดมคติเพื่อคนยากจนและด้อยโอกาส เหล่านี้เป็นเรื่องดีในตัวของมันเอง
ผู้ใหญ่จะฟังได้หรือไม่ได้ ไว้ค่อยๆ คุยกัน ก็เหมือนที่นักศึกษาบางคนเวลานี้ตั้งคำถามถึงพิธีกรรมหมอบคลานที่มีมานาน ลองพูดขึ้นเมื่อไรก็วงแตกเมื่อนั้น
บทบาทนักศึกษาในทางสังคมสูงมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนั้น มีบันทึกว่าสหพันธ์นักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดลในยุคที่นายแพทย์สงวนดำรงตำแหน่งประธานสหพันธ์ ถูกติดตามจับตามองโดยฝ่ายความมั่นคงตลอดมา เริ่มมีการกล่าวหาว่านักศึกษาตกอยู่ใต้อิทธิพลของคอมมิวนิสต์เวียดนาม และมีญวนเข้าแทรกซึม
รายงานข่าวจากกรมประมวลข่าวกลางแจ้งว่า “ขณะนี้ชาวญวนได้เข้ามามีบทบาททางการแพทย์แล้ว”
หลังจากนั้นมีการตายไม่ทราบสาเหตุของนักศึกษา ที่เป็นข่าวมากคือกรณี อมเรศ ไชยสะอาด นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อุปนายกสหพันธ์นักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดลและเป็นกรรมการศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ถูกยิงเสียชีวิตระหว่างการฝึกภาคสนามก่อนจบการศึกษาที่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2519
แล้วเหตุการณ์ 6 ตุลาคม ก็เกิดขึ้นตามมาในปีเดียวกันดังที่ทราบกันแล้ว หรือว่าไม่ทราบ?
การล้อมปราบนักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์วันนั้น เป็นการกำจัดศัตรูของชาติคือนักศึกษาที่หนักแผ่นดิน แต่ควรรู้ว่าพวกหนักแผ่นดินที่ว่านั้น เรียกร้องความยุติธรรมและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้แก่ชาวบ้านเสมอมา ที่น่าชื่นชมมากคือพวกเขาเป็นนักศึกษา และเป็นธรรมชาติของคนที่อายุเท่านั้นจะขบถต่อพ่อแม่ และผู้ใหญ่ รวมทั้งหลายครั้งก็อาจจะข้ามเส้น ไม่มีสัมมาคารวะ
เห็นวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่วันนี้สนใจการเลือกตั้งมากกว่าที่คาด เป็นเรื่องที่เราสมควรยินดีมากกว่าปรามาส นานมากแล้วที่เราไม่ได้เห็นนักศึกษาสนอกสนใจบ้านเมืองมากมายเท่านี้ ได้แต่ภาวนาว่าความน่ารักของเขาวันนี้ จะเอาชนะใจผู้หลักผู้ใหญ่ได้มากกว่านักศึกษาเมื่อ 40 กว่าปีก่อน
งานสาธารณสุขและการศึกษาของประเทศวันนี้อยู่ในภาวะย่ำแย่มากถึงมากที่สุด และไม่มีทางเลยที่คนสูงอายุในกระทรวงสาธารณสุขหรือกระทรวงศึกษาธิการจะทำอะไรได้
โลกใหม่ต้องการสมองใหม่ๆ ความข้อนี้น่าจะเข้าใจได้ไม่ยาก