fbpx

ความยุติธรรมจากมุมมองพัฒนาการเด็ก

เป็นที่วิจารณ์กันว่าระบบยุติธรรมวันนี้กำลังมีปัญหา

คำว่า ยุติธรรม (justice) เป็นคำศัพท์เชิงนามธรรม โดยทฤษฎีพัฒนาการ เด็กๆ ไม่ควรเข้าใจคำนี้ได้ดีนักจนกว่าจะอายุ 12-13 ปี นั่นคือวัยรุ่นตอนต้น 

ดังนั้นหากเราต้องการให้คนรุ่นใหม่เข้าใจคำนี้ดีกว่าผู้ใหญ่วันนี้ เราควรสร้างระบบที่เอื้อต่อพัฒนาการเด็กและวัยรุ่นให้เหมาะสมกว่าที่เคยเป็นและเป็นอยู่

กล่าวคือสร้างคนรุ่นใหม่ที่ดีกว่า

คำว่ายุติธรรมมักใช้ในบริบทของกฎหมาย แต่เราใช้คำนี้ได้ในบริบทอื่นๆด้วย เช่น “คุณพ่อไม่ยุติธรรม” ยังมีอีกคำหนึ่งที่ให้ความหมายใกล้เคียงกันและหลายครั้งที่เราใช้คำสลับไปมา นั่นคือคำว่า ความเท่าเทียม (equity) เช่น คุณแม่แบ่งขนมไม่เท่าเทียม ไปจนถึง คุณย่าแบ่งสมบัติไม่เท่ากัน เป็นต้น

คำว่าเท่าเทียมหรือไม่เท่าเทียมเป็นคำศัพท์เชิงนามธรรมเช่นกัน นอกเหนือจากคำว่ายุติธรรม เท่าเทียม ไม่เท่าเทียม ยังมีคำอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกัน ได้แก่ ความเหลื่อมล้ำ คุณค่า อุดมคติ จริยธรรม จิตสาธารณะ เป็นต้น 

คำเหล่านี้พัฒนามาพร้อมๆ กัน และกว่าจะพอรู้เรื่องบ้างคือที่อายุประมาณ 12-13 ปีเช่นเดียวกัน นั่นคือประถมปลายต่อมัธยมต้น ดังนั้นเรามาทบทวนพัฒนาการเด็กอย่างสั้นและดูว่าเราควรสร้างระบบอย่างไรเพื่อให้เด็กไทยรุ่นต่อไปพัฒนาความคิดในเรื่องเหล่านี้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้

มีความอยุติธรรมในทุกประเทศ มีความฉ้อฉลในการเมืองทั่วโลก มีการผูกขาดและทุจริตในรัฐบาลประชาธิปไตยไม่เว้นประเทศพัฒนาแล้ว จะเห็นว่าไม่มีประเทศใดที่เป็นอุดมคติ อย่างไรก็ตามระบบที่ดีกว่าป้องกันเรื่องเหล่านี้ได้ดีกว่า มีตัวชี้วัดด้านความเท่าเทียมหรือความยุติธรรมที่มากกว่า มีความเหลื่อมล้ำน้อยกว่า ไปจนถึงความผิดพลาดในระบบยุติธรรมที่น้อยกว่า 

หรือแม้แต่ตัวชี้วัดเองก็มิได้มีตัวชี้วัดที่เรียกว่าสมบูรณ์แบบไร้ข้อบกพร่อง แต่ก็เป็นตัวชี้วัดที่ดีที่สุดเท่าที่ระบบจะสร้างขึ้นมาได้

พัฒนาการเด็กมิใช่เพื่อให้ได้เด็กดีสมบูรณ์แบบ แต่เพื่อให้เด็กพัฒนาได้ดีเท่าที่จะดีได้

เพื่อให้เข้าใจง่าย เราแบ่งพัฒนาการเด็กที่เกี่ยวข้องกับเรื่องความยุติธรรม ความเท่าเทียม ความเหลื่อมล้ำ คุณค่า อุดมคติ จริยธรรม และจิตสาธารณะ เหล่านี้ออกเป็น 3 ช่วง


ช่วงที่ 1 เมื่อเด็กอายุ 0-7 ปี

เด็กควรลดความเป็นศูนย์กลางของจักรวาล (egocentrism) ลงได้มากพอสมควร เห็นมนุษย์คนอื่นมากขึ้นตามเวลา และมีความฉลาดด้านมิติสัมพันธ์ สามารถจัดความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งรอบตัวได้ดีพอสมควร (spatial relation intelligence)

จะเป็นเช่นนี้ได้เมื่อพ่อแม่มีเวลาเลี้ยงลูกด้วยตนเองมากพอทั้งปริมาณและคุณภาพ ดังนั้นจึงควรสร้างระบบสวัสดิการแม่-ลูกที่ดีกว่าที่เป็นอยู่วันนี้

นอกจากนี้เด็กควรมีการเตรียมความพร้อมพัฒนาการด้านการคิด (cognitive development) ที่ดีพอ ซึ่งทำได้ด้วยการเล่นและการทำงานในช่วงอายุ 3-7 ปีที่มากพอ ดังนั้นเราควรรื้อระบบการศึกษาอนุบาลแบบเร่งเรียนออก แล้วเปลี่ยนเป็นระบบการศึกษาแบบเตรียมความพร้อมหรือบูรณาการ


ช่วงที่ 2 เมื่อเด็กอายุ 7-12 ปี

ช่วงนี้คือวัยประถม เด็กควรมีความสามารถทำงานเป็นทีม (industry &collaboration) ทำได้ด้วยการรื้อระบบการศึกษาแบบท่อง จำ ติว สอบ และแพ้คัดออก เปลี่ยนเป็นการศึกษาโดยใช้โจทย์ปัญหาเป็นฐาน (PBL) เพื่อแก้ปัญหาในศตวรรษที่ 21 ด้วยทักษะศตวรรษที่ 21 (21st Century Skills)


ช่วงที่ 3 เมื่อวัยรุ่นอายุ 13-18 ปี

ช่วงนี้คือวัยมัธยม วัยรุ่นควรมีความสามารถมองเห็นคุณค่าของตนเอง (self-value) ซึ่งจะนำไปสู่การมองเห็นคุณค่าของผู้อื่น มีจิตสาธารณะ (public mind) อันจะเป็นรากฐานของพัฒนาการเรื่องความเท่าเทียม ความยุติธรรม จริยธรรม (ethics&moral) และอุดมคติ (ideality) ทำได้ด้วยการปฏิรูปกระบวนการการศึกษามัธยมทั้งระบบ รวมทั้งสร้างระบบอาสาสมัคร (volunteer) ที่เป็นจริงและเข้าถึงได้จริง

มิได้ว่าระบบยุติธรรมต้องเลิศและสมบูรณ์แบบ  แต่ควรดีกว่านี้และดีที่สุดเท่าที่จะดีได้  เพราะแท้จริงแล้วแม้แต่เรื่องความยุติธรรมก็เป็นจิตใต้สำนึก ซึ่งคนเราสามารถเล่นตลกกับมันได้เสมอ นั่นแปลว่าความยุติธรรมอยู่ใต้ร่มโครงสร้างของจิตใจคือ อิด อีโก้ ซูเปอร์อีโก้ (id, ego, superego) ด้วยเช่นกัน

ซิกมันด์ ฟรอยด์เขียนว่าสำหรับจิตใต้สำนึกแล้ว ความยุติธรรมหมายถึง “ถ้าเราไม่ได้รับอนุญาตให้ทำ คนอื่นไม่ควรได้รับอนุญาตด้วยเช่นกัน” [1]

ฟรอยด์เขียนต่อไปว่าความยุติธรรมสัมพันธ์กับคำว่าสมมาตรด้วย “ถ้าอะไรเกิดกับมือขวาก็จะต้องเกิดกับมือซ้ายด้วย หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเด็กก็ควรเกิดขึ้นกับพี่น้องด้วยเช่นกัน” [2]


                                      

อ้างอิง

Otto Fenichel.The Psychoanalytic Theory of Neurosis,1946.

References
1 According to Freud the unconscious basis of the concept of justice is the idea: ”What I am not permitted to do, no one else should be permitted, either”
2 There is a relationship between justice and symmetry. “It is fair that what happened to the right must happen to the left.” “Symmetry is achieved if what happened to a child happens to the other brothers and sisters as well.”

MOST READ

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

21 Nov 2018

เมื่อโรคซึมเศร้าทำให้อยากจากไป

เรื่องราวการรับมือกับความคิด ‘อยากตาย’ ผ่านประสบการณ์ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า คนเคียงข้าง และบทความจากจิตแพทย์

ศุภาวรรณ คงสุวรรณ์

21 Nov 2018

Social Issues

22 Oct 2018

มิตรภาพยืนยาว แค้นคิดสั้น

จากชาวแก๊งค์สู่คู่อาฆาต ก่อนความแค้นมลายหายกลายเป็นมิตรภาพ คนหนุ่มเลือดร้อนผ่านอดีตระทมมาแบบไหน ‘บ้านกาญจนาฯ’ เปลี่ยนประตูที่เข้าใกล้ความตายให้เป็นประตูสู่ชีวิตที่ดีกว่าได้อย่างไร

ธิติ มีแต้ม

22 Oct 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save