fbpx

“เราไม่เคยสนเลยว่ากระแสหนังจะเป็นแบบไหน ยังไงหนังเราก็หาเงินทำยากเท่าเดิม” ขันขื่นของชีวิตกับ เป็นเอก รัตนเรือง

เครดิตภาพประกอบ : yemenz

กว่าสองทศวรรษเข้าไปแล้วที่ ต้อม-เป็นเอก รัตนเรือง ยืนระยะอยู่ในสังเวียนการทำหนัง

จากคนหนุ่มที่กระโจนข้ามเขตแดนของการทำหนังโฆษณา มาสู่การกำกับหนังยาวเรื่องแรกใน ‘ฝัน บ้า คาราโอเกะ’ (2540) หนังอาชญากรรมขันขื่นกับโปสเตอร์ที่มี เรย์ แมคโดนัลด์ นักแสดงนำของเรื่องนั่งถือปืนบนชักโครก กางเกงชั้นในร่นลงมาถึงหน้าแข้ง แจ้งเกิดเป็นเอกในฐานะคนทำหนังหน้าใหม่

และในวัย 61 ปี เขากระโจนข้ามเส้นความไม่คุ้นเคยอีกครั้ง ด้วยการกำกับ ‘เรื่องตลก 69 เดอะซีรีส์’ (2566) ซีรีส์เรื่องแรกของชีวิตที่ดัดแปลงจาก ‘เรื่องตลก 69’ (2542) หนังเมื่อ 24 ปีก่อน ซึ่งเขาเอานางเอกแห่งยุค หมิว-ลลิตา ปัญโญภาส มาเผชิญหน้าชีวิตที่พระเจ้าเห็นเป็นเรื่องขำขัน กับภาพเธอถือปืนยัดเข้าปากตัวเองหรา ใจความหลักยังจับจ้องไปยังชีวิตของ ตุ้ม หญิงสาวที่เพิ่งจะถูกเลิกจ้างจากพิษเศรษฐกิจ พบว่าวันดีคืนดีมีเงินหนึ่งล้านบาทมากองอยู่หน้าห้องซึ่งเปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาล

ถ้าให้เขาอธิบาย การข้ามสนามคนทำโฆษณามาทำหนังเมื่อ 20 ปีก่อนแบบไม่ประสา ไม่รู้ว่าคนทำหนังทำหนังกันอย่างไร ด้านหนึ่งมันก็มอบน้ำเสียง สำเนียง ไวยากรณ์ภาพยนตร์แปลกใหม่ให้วงการและคนดู และในสมการเดียวกัน การข้ามสนามของคนทำหนังมาสู่การเป็นคนทำซีรีส์แบบไม่ประสา ไม่รู้ว่าคนทำซีรีส์ทำซีรีส์กันอย่างไร มันก็มอบรสชาติใหม่ให้คนดูอีกเช่นกัน และอาจจะเดือดดาลยิ่งกว่าเมื่อเขาออกตัวว่า “เราไม่ใช่สัตว์ซีรีส์” ในความหมายว่าเป็นเอกไม่เคยครอบครองแอคเคาต์สตรีมมิงเจ้าดังอย่างเน็ตฟลิกซ์ และไม่เคยผ่านประสบการณ์อดหลับอดนอนเพื่อดูซีรีส์แปดตอนรวดให้จบในคืนเดียวอย่างหลายๆ คน

แต่ก็อาจจะด้วยความไม่ประสา ความไม่รู้รวมทั้งความไม่แยแสของเป็นเอกนี่เอง ที่ทำให้ ‘เรื่องตลก 69 เดอะซีรีส์’ มีน้ำเสียงแปร่งแปลกต่างไปจากซีรีส์เรื่องอื่นในลักษณะเดียวกับที่เคยเป็นเมื่อแรกเขากระโจนเข้าสู่โลกคนทำหนังเมื่อ 20 ปีก่อน

ได้ยินมาว่าคุณไม่ติดซีรีส์เลย

ไม่ใช่ไม่ติดสิ ไม่เคยดูเลย

อะไรกัน นี่เป็นยุคสมัยของซีรีส์แล้ว

บ้านเราไม่มีโทรทัศน์ เวลาจะดูหนังที่บ้านก็ฉายผ่านโพรเจกเตอร์ หรือถ้าจะดูหนัง เราก็ไปดูในโรงหนัง เวลาอยู่บ้าน เรามีอย่างอื่นต้องทำ ไม่ชอบมานั่งหน้าโทรทัศน์

เคยพยายามดูซีรีส์นะ ตอนไปอยู่บ้านเพื่อนที่เขามีทุกอย่าง ตั้งแต่ เอชบีโอ โก, เน็ตฟลิกซ์, ดิสนีย์พลัส, แอปเปิลทีวี แล้วเราก็นั่งดูอยู่กับเขานี่แหละ แต่เราไม่เคยดูได้เกินสิบนาทีเลย แล้วตอนนั้นดูซีรีส์ตะวันตกที่คนบอกว่ามันดีมาก ต้องดูนะ แต่เราก็ไม่ชอบ มันพูดเยอะ ไดอะล็อกเยอะ มันไม่ใช่จริตเรา ไม่ใช่จังหวะเราจริงๆ

เพราะฉะนั้นกับ ‘เรื่องตลก 69 เดอะซีรีส์’ ตอนแรกเราบอกไฟว์สตาร์ว่าจะเขียนบทให้แต่จะไม่กำกับ เนื่องจากเราไม่ได้ทำกับเน็ตฟลิกซ์ เราทำกับไฟว์สตาร์ แล้วเท่าที่ได้ยินมาคือเวลาทำซีรีส์กับค่ายหนังในไทยจะได้เงินน้อยมาก น้อยจนรู้สึกว่ามึงอย่าไปคิดทำอะไรให้ออกมาดีเลย แค่แก้ปัญหาให้รอดไปวันๆ ของการถ่ายทำก็พอแล้ว และอายุเราขนาดนี้แล้ว เราไม่ต้องการทำสิ่งนั้นเด็ดขาด ถ้าเราจะทำซีรีส์ เราก็อยากถ่ายให้มันออกมาสวยๆ หน่อย ตัดต่อดีๆ ให้นักแสดงมีเวลาได้แสดงดีๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเงินทั้งหมดเลย เราเลยบอกเขาว่า อย่างนั้นเราเขียนบทให้แล้วกันเพราะตอนนั้นเป็นช่วงโควิด-19 เราไม่มีอะไรทำ แล้วจะให้เขาไปหาผู้กำกับ แต่พอเขียนบทไปจนเสร็จเราก็รู้สึกว่า ไอ้เ-ี้ย กูให้บทนี้ไปอยู่ในมือใครไม่ได้แน่ๆ เลยว่ะ เดี๋ยวแม่งทำพัง คือไม่ใช่ว่าตัวเองทำแล้วจะไม่พังหรอกนะ แต่หมายความว่า อย่างน้อยถ้าจะพังก็ขอให้พังด้วยน้ำมือกู เพราะถ้ามันไปพังด้วยน้ำมือคนอื่น เราจะเจ็บใจมากว่ารู้อย่างนี้ กูน่าจะทำเองว่ะ ไอ้ห่าเอ้ย

แล้วพอบทซีรีส์เป็นบทติงต๊อง ไม่มีอะไรเป็นเหตุเป็นผลเลย ทุกอย่างเป็นความบ้าๆ บอๆ ล้วนๆ ซึ่งบทแบบนี้น่ากลัว ถ้ามันไปอยู่ในมือคนที่ไม่เข้าใจ เขาอาจไปทำตลก แล้วเป็นตลกแบบที่เราไม่ได้ชอบ พวกที่ใส่ซาวด์เอฟเฟ็กต์ ‘แหว่วๆ’ แบบนั้น เราไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ในที่สุดเราก็บอกว่ากำกับก็ได้

ลองมาทำสิ่งใหม่ๆ อย่างการกำกับซีรีส์ในวัย 60 เป็นอย่างไรบ้าง

แน่นอนว่ามันเป็นสิ่งใหม่มาก และความตั้งใจของเราคือ เราไม่ได้อยากให้มันออกมาเป็นรีเมค เราไม่กลัวไปดูเวอร์ชันหนัง ไม่กลับเอาบทมาอ่าน ไม่ต้องเลย จำอะไรได้ในหัวก็พ่นออกมาเป็นบท แต่เราก็ไม่เคยเขียนบทซีรีส์น่ะ ซึ่งบทซีรีส์ต้องเขียนเป็นเอพิโซดๆ เปิดหัวแบบไหน ปิดท้ายยังไงให้คนอยากดูเอพิโซดต่อไป มันเป็นสิ่งใหม่สำหรับเราไปหมด

ยากนะ ยากมากเลย เราเขียนอยู่นานเหมือนกัน

กระบวนการทำงานตั้งแต่เขียนบทเหมือนหรือต่างจากตอนเขียนบทหนังยังไง ในเมื่อคุณไม่เคยเขียนบทซีรีส์มาก่อน

เราเดาเอาเลย ต้องเขียนให้จบเป็นเอพิโซด แล้วในหนังเอพิโซดก็ต้องมีความเป็นหนังเล็กๆ อยู่ในตัวของมัน ดูสนุกตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วก็รู้มาว่าถ้าเป็นบทซีรีส์ ทุกเอพิโซดต้องเปิดหัวให้คนแปลกใจเว้ย ต้องเปิดให้คนรู้สึกว่า ‘นี่มันเ-ี้ยอะไรวะ’ แล้วตอนปิดเอพิโซดก็ต้องปิดให้คนกดดูตอนถัดไปด้วย เรารู้แค่นี้เลย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ต้องเคยดูซีรีส์ก็ควรรู้อยู่ดี แต่ว่า วิธีการดำเนินไปของมัน หรือภาพในหัวที่เห็น เราไม่ได้ทำอะไรต่างไปจากเวลาทำหนังเลย

คุณดูซีรีส์แล้วใช่ไหม น่าจะเห็นว่ามันไม่ค่อยเหมือนซีรีส์ คือมีแต่คนด่าว่ามันช้า ทั้งที่เราพยายามทำให้มันเร็วแล้วนะ

เป็นไปได้ไหมที่คนรู้สึกว่าช้าเพราะเขาดูที่บ้าน แวดล้อมด้วยอะไรต่างๆ จะเล่นโทรศัพท์ไปด้วยก็ได้ คุณทำงานกับปัจจัยเหล่านี้ยังไง จากที่เคยต้องทำหนังให้คนได้ดูในโรงเงียบๆ

เราไม่ได้สนใจคนเหล่านั้นเลยว่ะ เราไม่ทำตัวต่างไปจากเวลาที่เราทำหนังเลย ไม่ได้คิดถึงคนที่จะมานั่งเล่นมือถือตอนดูหนังเราไปด้วย หรือคนที่จะรูดไปดูตอนจบก่อน หรือคนที่กดดูด้วยความเร็วสามเท่า เราไม่ไปคิดถึงกลุ่มคนเหล่านั้นเลย เขาก็ไม่ใช่คนจะมาดูซีรีส์เรา แล้วพูดจริงๆ ถ้าชาตินี้เราไม่ได้ทำซีรีส์อีกแล้ว เราก็ไม่เดือดร้อนนะ ถ้ามีคนมาให้ทำอีกโดยที่เรามีเรื่อง มีประเด็นที่เหมาะสำหรับการทำเป็นซีรีส์ เราก็ไม่ปฏิเสธที่จะทำ แต่ถ้าไม่มีโอกาสอีกแล้ว เราก็ไม่เสียใจอะไรทั้งสิ้น เราไม่ได้เป็นสัตว์ซีรีส์อยู่แล้ว เรามีอย่างอื่นให้ทำ

ทั้งนี้ คนที่ชอบก็ชอบจริงๆ แล้วเยอะด้วย ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็จะพูดตรงข้ามกับคนที่ไม่ชอบว่า ‘มันมีซีรีส์ที่จังหวะแบบนี้ด้วย ดีว่ะ’ มันจึงเท่ากับว่า ซีรีส์ของเราผ่ากลาง มีคนที่ชอบและไม่ชอบ ไม่มีคนกลางๆ ไม่ชอบก็เกลียดไปเลย หรือที่ชอบก็จะชื่นชมที่มีซีรีส์ซึ่งทำโดยคนทำซีรีส์ไม่เป็นออกมา คือคุณดูก็รู้ว่ามันเป็นซีรีส์ที่ทำโดยคนที่ทำซีรีส์ไม่เป็นจริงๆ แล้วก็ทำด้วยความไม่ค่อยกังวล ไม่ค่อยแคร์เท่าไหร่ เราไม่รู้ว่าโลกซีรีส์เขาทำอะไรกัน

แต่เราก็ไม่ได้ตามใจตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์นะ ก็พยายามบอกตัวเองว่า ช้าไปแล้ว จังหวต้องเร็วกว่านี้หน่อย เราไม่ได้ลงนั่งทำหนังเป็นเอกไปใส่ในโทรทัศน์ และรู้สึกตัวเหมือนกันว่าตรงนี้ช้าไปและพยายามปรับให้เร็วขึ้น

นายทุนโอเคกับความช้าต่างๆ ใช่ไหม

เขาไม่โอเคสิ เน็ตฟลิกซ์ก็ไม่โอเค แต่เขาก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน แต่ปรากฏว่าซีรีส์เวิร์กมาก ผลลัพธ์ออกมาดี คนดูกันเยอะ และคนดูกันจนจบเยอะมากด้วย ได้ยินมาว่าส่วนมากคนดูซีรีส์มักดูไม่จบ ดูไปสักสามเอพิโซดก็เลิก แต่อันนี้เหมือนเขามีตัววัดผลที่บอกว่า ‘เรื่องตลก 69 เดอะซีรีส์’ เป็นซีรีส์ที่คนดูจนจบเยอะมาก

แต่เราว่าก่อนที่ตัวซีรีส์จะออกฉาย เขาไม่ได้เชื่อมันเลย

ความไม่เชื่อนี่มันกระทบคุณไหม ในฐานะคนทำ

ไม่กระทบเลย เราพูดจริงๆ ไม่ได้พยายามทำตัวหยิ่งหรืออะไรนะ เราแก่เกินกว่าจะมานั่งกังวลกับเรื่องพวกนี้แล้ว อายุขนาดนี้ ไม่ได้เป็น nobody ก็จริงอยู่ว่าเราไม่ได้เป็นซูเปอร์สตาร์ของวงการ (หัวเราะ) แต่เราก็มีผลงาน มีเครดิตประมาณหนึ่ง มีประสบการณ์ชีวิตขนาดนี้ ถ้าเราจะทำอะไรสักอย่างเราก็จะทำในสิ่งที่เราชอบ และถ้าไปทำงานกับเขาหนึ่งทีแล้วไม่ได้ทำอีกก็ไม่ว่ากัน

เรื่องตลก 69 เดอะซีรีส์

ว่ากันว่าซีรีส์มีสูตรการเขียนบทที่จะให้สามเอพิโซดแรกสนุกที่สุดเพื่อทำขายนายทุน ได้คิดแบบนั้นกับเขาไหม

ไม่ได้คิดอะไรเลย ส่วนตัวเราคิดว่ามันสนุกทุกเอพิโซด เรื่องคือได้ยินมาว่าคนวิจารณ์ว่าสามเอพิโซดแรกของเรานี่โคตรอืดเลย ไปสนุกสามเอพิโซดหลัง แสดงให้เห็นเลยว่าเป็นความไม่รู้เรื่องจริงๆ เพราะเรารู้สึกว่ามันสนุกทุกเอพิโซดน่ะ

เสน่ห์ของซีรีส์เรื่องนี้อยู่ตรงที่มันมีความบ้าเลือดบางอย่าง คล้ายๆ ว่าคนทำมันไม่ค่อยสนอะไรเท่าไหร่ เป็นความไม่รู้เรื่อง

พูดได้ไหมว่ามันคือสปิริตแบบเดียวกันกับที่ตอนกำกับ ‘ฝัน บ้า คาราโอเกะ’ คือมาจากผู้กำกับที่ข้ามสายมาจากการทำโฆษณาและไม่รู้ ไม่สนอะไรเกี่ยวกับการทำหนังเหมือนกัน

ใช่ๆ แต่มันเป็นความไม่สนคนละแบบนะ อย่างตอนที่เราทำ ‘ฝัน บ้า คาราโอเกะ’ ความไม่สนนั้นเกิดจากความทำไม่เป็นมากกว่า เกิดจากความไม่รู้ คือทำเป็นแค่โฆษณาแต่ทำหนังไม่เป็น หนังเลยออกมาท่านั้น ดูแปลก

แต่ถ้าถามเรา ส่วนตัวเรามองว่า ‘ฝัน บ้า คาราโอเกะ’ ไม่ค่อยดีนะ แต่ละซีนดีแหละ และตัวหนังก็แปลกมากเพราะเวลานั้นหนังไทยยังไม่มีใครคิดแบบนั้น ไม่มีใครทำหนังท่านั้นมาก่อน จู่ๆ ก็มีคนจากอุตสาหกรรมโฆษณาคนหนึ่งกระโดดมาทำ เลยได้ภาพและหนังและซับเจ็กต์ที่แปลกมาก แต่ทั้งนี้ เราก็ไม่ได้พิจารณาว่ามันเป็นหนังที่ดีเท่าไหร่ เพราะแม้ว่าแต่ละซีนจะดี แต่พอมารวมกัน มันก็ไม่ได้ออกมาเป็นหนังที่ดีขนาดนั้น ดูเป็นก้อนๆ ไม่พลิ้วเลย คือเห็นเลยว่าเป็นมือใหม่หัดทำหนัง แต่บังเอิญว่าไอ้มือใหม่คนนี้มันอาจมีความสามารถบางอย่าง มีความคราฟต์บางอย่างที่หนังไทยไม่มีในเวลานั้น เนื่องจากเราถูกฝึกมาจากวงการโฆษณา

แต่อย่าง ‘เรื่องตลก 69 เดอะซีรีส์’ มันเป็นความไม่สนคนละแบบ และงานมันออกมาดีด้วย ปกติเราเป็นคนถ่อมตัวมากนะ (หัวเราะ) แต่งานนี้เรารู้สึกว่ามันดี คนชอบพูดว่าเวอร์ชันที่เป็นภาพยนตร์ดีกว่าตั้งเยอะ หรือหมิว-ลลิตาแสดงดีมาก แต่ส่วนตัวเรามองว่าเวอร์ชันซีรีส์ดีกว่า ในแง่เทคนิคก็แม่นกว่าเยอะ กำกับก็ดีกว่า บทก็ดีกว่า การแสดงของนักแสดงทุกคนก็ดีกว่า คือเวอร์ชันภาพยนตร์ สมัยก่อน นักแสดงประกอบมักมีปัญหาว่าแสดงแล้วดูเป็นการ์ตูนๆ มีแค่หมิว-ลลิตาคนเดียวที่แสดงได้ไหลลื่น แต่เวอร์ชันซีรีส์เห็นเลยว่านักแสดงทุกคนเฟี้ยวกันหมด หรือถ้ามองในแง่คนที่กระโดดข้ามสายงานมาทำ เทียบกับ ‘ฝัน บ้า คาราโอเกะ’ เราว่าซีรีส์ ‘เรื่องตลก 69 เดอะซีรีส์’ ก็เนี้ยบกว่า

พูดได้ไหมว่าความมีวุฒิภาวะ ความโตขึ้นในสายงานกำกับมันทำงานกับเราตรงนี้ด้วย

ก็ด้วยมั้งครับ และอย่าลืมว่าเราเคยทำเรื่องนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง มันทำให้ง่ายขึ้น อย่างน้อยเรารู้จังหวะมัน ถ้าคุณดูซีรีส์ คุณจะพบว่าคนทำมันมั่นใจมากนะ ดูทำแบบไม่กลัวอะไรเลย ยังไงกูก็เอาอยู่ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะเคยทำมาครั้งหนึ่งแล้ว

จะว่าไป สมัย ‘ฝัน บ้า คาราโอเกะ’ นี่ถูกมองว่าเป็นหัวเรือของหนังไทยยุค 2540 ที่ถือเป็นยุคเฟื่องฟูเลย

เพราะก่อนที่พี่อุ๋ย (นนทรีย์ นิมิบุตร), ก่อนที่ศิษฐ์ (วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง) ก่อนที่ เจ้ย (อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล) และก่อนที่เราจะเข้ามาทำหนัง เป็นยุคที่วงการหนังไทยมีแต่หนังโรแมนติกคอเมดี ‘แบบว่าโลกนี้มีน้ำเต้าหู้และครูระเบียบ’ (2537) หรืออะไรทำนองนั้น ไม่ก็เป็นหนังจากค่ายไท เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ซึ่งยุคนั้นเป็นเหมือนค่าย GDH ยุคนี้นี่แหละ ทำอะไรออกมาก็ฮิต แต่คิดว่ายุค 2540 เป็นยุคที่คนอิ่มตัวกับหนังโรแมนติกคอเมดีด้วย แล้วอีท่าไหนไม่รู้ ก็เป็นผู้กำกับรุ่นเรา 3-4 คนที่เริ่มทำหนังในเวลาไล่ๆ กัน อีกคนหนึ่งคือ ออกไซด์ แปง (Oxide Chun -ผู้กำกับชาวฮ่องกง) ซึ่งใช้ชีวิตในไทย ก็เป็นผู้กำกับที่ทำหนังขึ้นมาพร้อมๆ กันโดยบังเอิญ เพราะเราไม่ได้รู้จักกัน อย่างเราก็ไม่ได้รู้จักกับพี่อุ๋ยมาก่อนนะ มารู้จักกันตอนไปเจอกันที่เทศกาลหนังต่างประเทศ ไปแนะนำตัวกันที่เมืองนอกด้วยซ้ำไป แต่อย่างวิศิษฏ์กับเรารู้จักกันมาก่อนแล้ว เพราะเขาเป็นครีเอทิฟโฆษณา แล้วเรากำกับโฆษณาให้ ส่วนแปงก็เป็นคนแก้สีภาพหนังและเคยแก้สีหนังโฆษณาให้เราเมื่อก่อน

แต่ตอนนั้นคนเหล่านี้ต่างคนก็ต่างทำหนัง ไม่มีใครรู้ด้วยว่าใครทำหนังอยู่บ้าง แล้วบังเอิญออกฉายในปีเดียวกัน และหนังพวกนี้เป็นหนังที่มีภาษาหนังเฟี้ยวฟ้าวมาก ใหม่มาก โปรดักชันก็ดีเพราะมาจากคนทำโฆษณา เนื่องจากคนพวกนี้ทำโปรดักชันเก่ง อย่างหนัง ‘2499 อันธพาลครองเมือง’ (2540) ของพี่อุ๋ย โปรดักชันดีไซน์ชวนอ้าปากค้างมากๆ วงการหนังไทยเลยกลับมาเนื่องจากมันเป็นหนังที่มีน้ำเสียงอีกแบบ และเป็นความฟลุคด้วยที่หนังของคนกลุ่มนี้ออกฉายปีเดียวกันหมด ซึ่งถ้าออกมาแค่เรื่องเดียวก็อาจไม่มีปรากฏการณ์นี้ก็ได้นะ

ฝัน บ้า คาราโอเกะ

ปีนี้พูดกันว่าเป็นการกลับมาของคนทำหนังยุค 2540 ทั้งวิศิษฏ์, นนทรีย์ และคุณเอง มองบรรยากาศนี้ยังไง

(หัวเราะ) แม่งแปลกฉิบหายเลยเนอะ แล้วเหมือนปี 2540 ด้วยเพราะเราไม่ได้นัดกัน อย่างวิศิษฏ์ก็มีโปรเจกต์อยู่เรื่อยๆ อยู่แล้ว แต่อย่างอุ๋ย เราไม่รู้เลยว่ามาทำหนัง และมาตรงกันพอดี

จำได้ว่าวันที่พี่อุ๋ยไปดูรอบสื่อของ ‘เมอร์เด้อเหรอ’ (2566) ของวิศิษฏ์ เราไม่ได้ไปหรอก แต่พี่อุ๋ยไป รุ่งขึ้นเขาไลน์มาบอกเราว่า ต้อม หนังวิศิษฏ์ดีมาก สนุกมาก ฮาทั้งเรื่องเลย วิศิษฏ์รอดแล้ว เหลือมึงกับกูแล้วนะ เราตอบเขากลับไปว่า “ของกูยังไงก็รอด เหลือของมึงน่ะน่าเป็นห่วง” (หัวเราะ) พี่อุ๋ยตอบกลับมาว่า “เอางั้นเลยเนาะ”

พูดถึงปี 2540 ตัวหนัง ‘เรื่องตลก 69’ ถูกมองว่าเป็นหนังที่บันทึกเหตุการณ์ความล้มเหลวของเศรษฐกิจในยุคนั้นด้วย คุณจำอะไรได้บ้าง

จำได้ว่า ส่วนหนึ่งที่เขียนหนังเรื่องนี้เพราะเพื่อน รุ่นน้อง คนรู้จัก ถูกเลิกจ้างเยอะมาก แล้วยุคนั้นมีการฆ่าตัวตายเยอะมาก มันไม่เคยมีการล่มสลายทางเศรษฐกิจขนาดนั้นมาก่อน เขาเรียกว่าฟองสบู่แตกเลย ซึ่งก่อนฟองสบู่จะแตก มันก็ต้องป่องขึ้นเรื่อยๆ แสดงว่าช่วงที่มันถูกตีฟูนี่มันรุนแรงมากๆ คนใช้เงินที่ไม่มีกันเยอะมาก ทั้งบัตรเครดิต เงินในอนาคตหรืออะไรต่อมิอะไร พอฟองสบู่แตก เขาก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงกัน มีหนี้เป็นแสนๆ

ฟากตัวซีรีส์ก็บันทึกประเด็นเรื่องสังคมหลังยุคการระบาดใหญ่ที่ทำให้คนถูกเลิกจ้าง รวมทั้งบรรยากาศของการประท้วงในปี 2563 ตอนได้ข่าวการประท้วง มองเหตุการณ์ต่างๆ อย่างไร

จำได้ว่าช่วงที่มีการประท้วงของม็อบสามนิ้ว เรามีความสุขมากเลย มันไม่เคยมียุคไหนที่ม็อบกล้าหาญขนาดนั้น ทั้งเรื่องที่เขาพูด เรื่องที่เขาเรียกร้อง มันเป็นความสดใหม่ของคนยุคใหม่จริงๆ จำได้ว่าเขาชอบหลอกตำรวจให้ไปโผล่ตรงนั้นตรงนี้แล้วย้ายไปที่อื่น ช่วงนั้นหัวใจพองโตมาก ตื่นเต้นมาก แม้เราจะไม่ได้เห็นด้วยกับทุกอย่างที่เขาว่าก็ตาม แต่เราเข้าใจพวกเขานะ

จำได้เลยว่าคนแก่ๆ บอกว่าไอ้เด็กพวกนี้ก้าวร้าว ไม่มีความเป็นไทย โดนฝรั่งล้างสมอง ไม่มีความสุภาพ โอโหไอ้เ-ี้ย นี่คือกูกำลังจะด่ามึงอยู่ ทำไมกูต้องสุภาพด้วยวะ กูโกรธนี่ จะด่ามึงกูต้องมาขอโทษก่อนเหรอ ดังนั้น ช่วงนั้นเราเลยรู้สึกว่าเราหัวใจพองโตมาก

เรามองปรากฏการณ์ด้วยความหวังอันโชติช่วงเลย ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ก็บอกแล้วว่าอีกสี่ปีข้างหน้าจะเป็นยังไง คนรุ่นนี้เขารอได้ อายุมันยังเท่าไหร่กันเอง ขณะที่อีกฝั่งมีแต่จะแก่ตายไปเรื่อยๆ

กลับมาที่ซีรีส์ เทียบกันกับสองเวอร์ชัน ตุ้มเวอร์ชันซีรีส์ถือว่าออกไปทางอำมหิตหรือยะเยือกประมาณหนึ่ง คุณได้ออกแบบให้มันเป็นแบบนั้นไหม

เราว่าดาวิกา (ดาวิกา โฮร์เน่ -นักแสดงนำของเรื่อง) เป็นคนเอาสิ่งเหล่านี้เข้ามา เราไม่ได้คิดอะไร (คิด) คุณใช้คำว่าอำมหิตก็อาจจะได้นะ เหมือนว่าตุ้มในเรื่องนี้ดูป่วยเท่าตัวละครตัวอื่น เพราะในฉบับภาพยนตร์ ตุ้มปกติ แล้วคนอื่นดูป่วย แต่เวอร์ชันนี้ตัวตุ้มเองก็ดู sick อยู่เหมือนกัน ซึ่งผมว่านี่น่าจะเป็นวิธีการตีความของดาวิกา เขาสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาโดยที่เราก็ให้อิสรภาพเขาเต็มที่ในการที่จะจัดการกับตัวละคร

ต้องเข้าใจว่าตอนที่เราเริ่มทำงานกับเขา ต่างคนต่างก็ไม่มีความมั่นใจในกันและกัน เราก็ไม่ได้มั่นใจในเขา เขาก็ไม่ได้มั่นใจในเรา ไม่เกี่ยวกับเรื่องฝีมือนะ คุณไม่ต้องไปห่วงเรื่องฝีมือของนักแสดงระดับนี้หรอก เพียงแต่อาจเป็นเรื่องโลกทัศน์ มุมมองมากกว่า เพราะเขามาจากหนัง GDH จะดีหรือไม่ดีอย่างไร มันก็มีความชัดเจนว่าหนังจะทำอะไร ตัวละครจะทำอะไร มันตีความชัดเจน ขณะที่โลกของเรา หนังของเรา ไม่มีความชัดเจนสักอย่างเลย หนังเราทุกเรื่องมีความคลุมเครือเสมอ เราเลยไม่แน่ใจว่าเขาจะเข้าใจสิ่งนี้ไหม ขณะเดียวกัน เขาก็พยายามเอาคำตอบจากเราหลายๆ อย่างและเขาก็ไม่ได้คำตอบ เขาอาจสงสัยก็ได้นะว่า ไอ้เ-ี้ย แม่งกำกับหนังเป็นไหมวะ (หัวเราะ) เพราะตอบ-่าอะไรสักอย่างไม่ได้เลย เราเลยเชื่อว่าเขาต้องใช้อาวุธทุกอย่างที่มีในตัวเพื่อรับมือกับคนอย่างเรา หรือเพื่อรับมือกับซีรีส์และตัวละครนี้ เราเลยปล่อยให้เขาทำอย่างที่เขาอยากทำเลย แล้วผลลัพธ์ก็ออกมาดีมาก เขาทำให้ตัวละครมันมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ โดยที่ไม่เหมือนเวอร์ชันหนังด้วย

เราเป็นพวกไม่ค่อยบรีฟ คิดว่าความสำคัญอยู่ที่ตอนแคสติง คุณต้องหาคนที่ถูกมา ถ้าทำได้อย่างนั้น คุณก็ไม่ค่อยต้องไปกำกับเขาหรอก เราจะกำกับต่อเมื่อนักแสดงเริ่มเดินไปในทิศทางที่เราไม่ชอบ ไม่อยากเห็นภาพแบบนี้ แต่ถ้านอกเหนือไปจากนี้เราก็ไม่ค่อยกำกับนะ เราจะปล่อยทุกคนเลย และหลายๆ ครั้ง ถ้าคุณแคสติงคนที่ถูก คือมีความไร้เดียงสา มีเอเนอร์จี มีความฉลาดประมาณหนึ่ง บางทีถ้าคุณไปกำกับเขาเยอะๆ ก็ออกมาเละได้นะ หรือถ้าไม่เละ คุณก็อาจไม่ได้สิ่งที่ดีที่สุดจากเขา

อย่าง เฟย (ภัทร เอกแสงกุล) ที่แสดงเป็นแร็ปเปอร์ ทัด ไททานิค มาถึงกองถ่ายแบบที่เราแทบไม่ต้องทำอะไรกับเขาเลย เขาเข้าใจทุกอย่างหมด แสดงให้ดูได้เลย แล้วสมัยนี้ คนทั่วไปที่ไม่เคยแสดงอะไรมาก่อนหลายๆ คนก็เล่นหนังได้เลยนะ เหมือนว่าคนสมัยนี้คุ้นเคยกับการออกสื่อด้วยมั้ง ทุกคนมีเฟซบุ๊ก มีอินสตาแกรมของตัวเอง ไปไหนมาไหนก็ถ่าย ทั้งหมดนี้ทำให้เราทำงานง่ายขึ้น หรืออย่าง มาย (ธนภรณ์ รัตนศศิวิมล) ที่รับบทเป็น จิ๋ม ก็ไม่เคยเล่นหนังนะ แต่ดูเขาในหนังสิ เฟี้ยวมากเลย วันไหนที่เขากับไอ้เฟยมากองถ่าย ทุกคนได้กลับบ้านเร็ว มาถึงเล่นไปสองเทค อยู่หมัด พูดไดอะล็อกห้าหน้าโดยไม่ต้องดูเลย

เมื่อกี้เห็นบอกว่าการแคสติ้งนักแสดงสำคัญมาก แต่ก็ได้ยินมาอีกเหมือนกันว่าคุณไม่ได้แคสต์ดาวิกามา

ใช่ ไม่ได้แคสต์มา เราก็ค่อยๆ ทำงานกันไป ซึ่งเราโชคดีนะ เพราะแม้ช่วงแรกที่ทำงานด้วยกัน ต่างคนต่างยังไม่รู้จะเอายังไงกัน ปรากฏว่าพอแสดงไปสามคิวเราก็เห็นชัดแล้วว่ากูรอดแล้ว การตัดสินใจอะไรต่างๆ ของดาวิกาดีมาก เป็นนักแสดงที่เราไม่ได้แคสต์มาแล้วเราทำงานด้วยอย่างมีความสุขโคตรๆ รู้สึกว่ากูโชคดีฉิบหายเลย

ความที่เขาเองก็ไม่ค่อยชัวร์กับเราเท่าไหร่ ยังไม่ลงล็อกกัน เขาก็ระวังตัวเพื่อต้องหาทางรับมือกับเรา และทำให้เขาไวมาก เราเชื่อว่าถ้ามันเป็นหนังโรแมนติก-คอเมดีที่เขาคุ้นเคย เขาก็อาจไม่ต้องใช้พลังโฟกัสมากขนาดนี้ก็ได้ แต่ตัวละครตุ้มก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาคุ้นเคย ไหนจะวิธีกำกับของเขาที่เขาก็ไม่คุ้นเหมือนกัน เขาเลยต้องโฟกัสมากๆ และเราว่านี่ก็มีส่วนที่ทำให้การแสดงออกมาแบบนี้

หนังคุณเกือบทุกเรื่องมักพูดเรื่องความตายอยู่เสมอ คุณมองเรื่องความตายยังไง เปลี่ยนไปหรือเหมือนเดิมจากสมัยหนุ่มๆ ไหม

ไม่รู้นะว่ามองต่างไปจากเดิมไหม เราคิดว่าตอนเราหนุ่มๆ เราคิดเรื่องความตายเยอะกว่านี้ แต่เวลาเราบอกว่าเราคิดถึงความตายก็ไม่ได้แปลว่าเราอยากตายหรืออะไรนะ แต่คิดถึงความตายในลักษณะว่า มันคืออะไรวะ แล้วทำไมกูกลัวตาย เราคิดเรื่องพวกนี้เยอะ แต่สมัยหนุ่มๆ ก็มีความคิดหลายๆ เรื่องเยอะแหละ แล้วพออายุ 60 มันเหมือนว่าไม่ค่อยคิดอะไรเยอะ ไม่ค่อยไปขุดคุ้ยอะไรมาก ภาษาชาวบ้านคือ อยู่ไปวันๆ แหละมั้ง (หัวเราะ) เราว่าดีนะ ไม่ได้แปลว่าเราใช้ชีวิตโดยไร้ความหมายหรอก มันแค่ว่าเราเอ็นจอยชีวิตมากกว่าช่วงวัยรุ่น และไม่ค่อยมีอะไรที่ทำให้รู้สึกว่า นี่เป็นสิ่งคอขาดบาดตาย เท่าเมื่อก่อนแล้ว

เมื่อก่อนนี่เรื่องคอขาดบาดตายมีอะไรบ้าง

เกือบทุกเรื่องในชีวิต โดยเฉพาะเรื่องงาน งานสำคัญกับเรา เราชอบทำงาน เราได้ทำสิ่งที่เราชอบ มันเลยมีความร้อนระอุ คอขาดบาดตายว่า ถ้าไม่ได้แบบนี้ กูไม่ทำนะเว้ย พร็อบนี้ถ้าไม่ได้แบบนี้กูไม่ถ่ายนะมึง ความคอขาดบาดตายมันเยอะ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเป็นแล้ว คงเพราะเราว่าเราเหลือไม่กี่เรื่องในชีวิตที่เราต้องจัดการ ทุกอย่างมันลงตัวแล้ว หรืออาจจะพูดได้ว่าชีวิตและข้างในตัวมีความมั่นคงมากขึ้น พอมั่นคงมากขึ้นก็ไม่ค่อยเห็นอะไรเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย มึงจะเอาพร็อบมาผิดไปจากที่กูคิดไว้นิดหน่อย ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูจัดการได้ แล้วมันก็ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะต้อง represent ตัวเราไปหมด ซึ่งสมัยที่เราอายุน้อยเราเป็นแบบนั้น ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องไปหมดเลย พร็อบแบบนี้คนดูหนังจะหาว่าเรารสนิยมไม่ดีหรือเปล่า แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยรู้สึกแบบนั้นแล้ว ถ้ามันไม่หลุดไปชนิดคนละโยชน์เลย มันก็ไม่มีปัญหาอะไร

แต่เราโชคดีตรงที่ว่า เราเป็นคนที่ค่อนข้างจะน้อยๆ อยู่แล้ว ชอบทำอะไรน้อยๆ เป็นคนไม่ชอบกินบุฟเฟต์เพราะมันเยอะไปหมด ลายตา ไม่ชอบ ไม่มีเน็ตฟลิกซ์เพราะมันเยอะไป มีหนังเป็นร้อยๆ เรื่อง เพราะอย่างนี้มั้ง มันเลยง่ายที่จะทิ้งโน่นทิ้งนี่ไปเรื่อยๆ ยิ่งทิ้งก็ยิ่งเบาน่ะ แล้วพออายุมากเราว่ามันต้องการความเบาแบบนี้ พลังงานเราก็ไม่ได้เยอะแล้ว อายุ 60 พลังงานก็ไม่เท่า 30 แล้วไง

ได้ยินมาว่าคุณยังออกกองดึกได้อยู่นะ

แน่นอนเลย ซึ่งอันนี้ก็เป็นเพราะเราออกกำลังเยอะนะ งานที่ทำมันใช้แรงมาก มันต้องฟิต ขณะเดียวกันเราก็พยายามออกแบบตัวหนังหรือชิ้นงานให้ไม่ต้องหักโหมมาก เช่น ตอนเด็กๆ อาจจะมีซีนหนึ่งที่ต้องถ่ายประมาณ 20 คัต เดี๋ยวนี้เหลือสามคัต ตอนหนุ่มๆ เวลาออกกองถ่าย เหมือนไปรบ ไปทำสงคราม อุตลุดไปหมด แต่เดี๋ยวนี้ไปกองถ่ายเรานี่เหมือนไปทำงานออฟฟิศ ถ่ายเสร็จกลับบ้าน

เราก็รักษาตัวให้แข็งแรง ออกกำลัง กินให้ดี พร้อมกันนี้ก็ออกแบบชิ้นงานให้เหมาะสำหรับคนแก่ด้วย

วันก่อนเพิ่งไปดู Wildtype (โปรเจกต์ฉายภาพยนตร์สั้น) มีโปรแกรมหนึ่งว่าด้วยหนังสั้นจากนักศึกษาภาพยนตร์ แล้วเกือบทุกเรื่องก็พูดเรื่องความทดท้อของการเรียน การหางานหรือการใช้ชีวิตของคนสายนี้หมดเลย คุณเคยรู้สึกแบบนั้นไหมสมัยยังรุ่นๆ

ตอนเราเข้ามาทำหนังไทยเรื่องแรกในชีวิต อุตสาหกรรมหนังไทยก็ถูกมองว่า dead แล้วนะ เราไม่ได้สิ้นหวังกับอะไรเลย เพราะเราไม่ได้สนใจโลกภายนอก เราสนใจแค่เรื่องในหัวตัวเอง หมกมุ่นอยู่แต่กับเรื่องในหัว ไม่ได้หมกมุ่นกับเรื่องข้างนอก บรรยากาศจะแย่ก็ไม่ได้มีผลอะไรกับเรา เป็นคนที่หมกมุ่นกับสิ่งที่ตัวเองอยากทำมากเสียจนไม่ได้สนใจเรื่องอื่น อุตสาหกรรมมันจะดี จะเ-ี้ยอะไรไม่รู้เลย ชีวิตเราในฐานะคนทำหนัง ช่วงที่อุตสาหกรรมหนังดีเลิศกับช่วงที่เ-ี้ยสุดๆ ก็เหมือนเดิมสำหรับเราเลย รายได้เท่าเดิม จิตใจเหมือนเดิม หาเงินทำหนังยากเท่าเดิม แต่ก็ยังมีคนให้ทำ

เราไม่เห็นสนใจเลย ไม่สนเรื่องอุตสาหกรรมจะดีหรือแย่ เราลำบากใจมากเลยเวลาถูกให้ไปพูดที่ไหน แล้วความที่คนเห็นเราอยู่มานาน ก็จะมีคำถามคลาสสิกคำถามหนึ่งว่า “พี่มองอุตสาหกรรมหนังไทยในปีหน้า ในห้าปีหน้าอย่างไร” เราบอกว่า อันนี้ต้องไปถามผู้บริหารสตูดิโอ ถามเราไม่ได้ เพราะผู้บริหารจะรู้กระแส เราไม่ได้สนใจเลยว่ากระแสจะเป็นแบบไหน เพราะอย่างไร กูก็หาเงินทำหนังยากเท่าเดิมน่ะ

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

4 Aug 2020

การสืบราชสันตติวงศ์โดยราชสกุล “มหิดล”

กษิดิศ อนันทนาธร เขียนถึงเรื่องราวการขึ้นครองราชสมบัติของกษัตริย์ราชสกุล “มหิดล” ซึ่งมีบทบาทในฐานะผู้สืบราชสันตติวงศ์ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร 2475

กษิดิศ อนันทนาธร

4 Aug 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save