New Deal - New Debt : นโยบายการคลังหลัง COVID-19 กับ อธิภัทร มุทิตาเจริญ

New Deal – New Debt : นโยบายการคลังหลัง COVID-19 กับ อธิภัทร มุทิตาเจริญ

ปกป้อง จันวิทย์ สัมภาษณ์

พันธิตรา ภูผาพันกานต์ เรียบเรียง

เมื่อเผชิญหน้าปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ เครื่องมือสำคัญในการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจก็คือ “นโยบายการคลัง” โดยเฉพาะการใช้จ่ายของรัฐบาล และมาตรการทางภาษีต่างๆ

นโยบายการคลังสู้วิกฤตเศรษฐกิจรอบนี้มีอะไรต่างจากที่แล้วมา เราต้อง ‘คิดใหม่’ เรื่องหนี้สาธารณะ การใช้จ่ายของรัฐบาล ภาษี และวินัยการคลังอย่างไร ประเด็นน่าห่วงในระยะสั้นและระยะยาวของการบริหารการคลังคืออะไร และต้องทำอย่างไรให้หมดห่วง

101 สนทนากับ ผศ.ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีตนักเศรษฐศาสตร์ประจำ Congressional Budget Office (CBO) สหรัฐอเมริกา

อธิภัทร มุทิตาเจริญ

คิดใหม่ ระดับหนี้สาธารณะที่เหมาะสม

สถานการณ์โควิดสร้าง ‘แผลเป็น’ เรื่องนโยบายการคลังและหนี้สาธารณะ โดยระดับหนี้สาธารณะ การบริหารจัดการหนี้สาธารณะ และพื้นที่การคลัง (Fiscal space) กำลังเป็นโจทย์สำคัญที่แทบทุกประเทศต้องเผชิญ สำหรับประเทศไทย เดิมหนี้สาธารณะอยู่ที่ระดับ 40% ต่อ GDP นั่นหมายความว่า เรามีพื้นที่การคลังเหลือ 20% ต่อ GDP โดยปกติแล้วระดับหนี้สาธารณะที่เหมาะสมซึ่งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund – IMF) แนะนำต่อประเทศกำลังพัฒนาจะอยู่ที่ไม่เกิน 60 % ต่อ GDP อย่างไรก็ดีตัวเลขนี้อาจไม่ได้เหมาะกับบริบทปัจจุบันมากเท่าไหร่

ประเด็นว่าด้วย ‘ระดับหนี้สาธารณะที่เหมาะสม’ เป็นที่ถกเถียงในหมู่นักเศรษฐศาสตร์การคลังมาตลอด โดยแนวความคิดแบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลัก กลุ่มแรกเชื่อว่า ถ้าประเทศมีหนี้สาธารณะมากเกินระดับหนึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตช้า IMF ได้กำหนดเป็นคำแนะนำเกี่ยวกับระดับหนี้สาธารณะที่รัฐบาลพึงระวังอยู่ที่ระดับ 60% ต่อ GDP สำหรับประเทศกำลังพัฒนา และ 90% ต่อ GDP สำหรับประเทศพัฒนาแล้ว

อย่างไรก็ดี งานวิจัยในอีกกลุ่มหนึ่งมุ่งศึกษาผลกระทบระยะยาวของหนี้สาธารณะ และไม่พบระดับหนี้ที่จะสามารถใช้เป็นเพดานได้ว่าถ้าเกินระดับนั้นแล้ว การเติบโตเศรษฐกิจจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ งานวิจัยกลุ่มนี้ยังชี้ด้วยว่าความสัมพันธ์ระหว่างเพดานหนี้กับการเติบโตระยะสั้นที่กลุ่มแรกพบนั้นเป็นผลมาจากปัญหาความสัมพันธ์แบบสองทาง (reverse causality) กล่าวคือ เมื่อมีการสร้างหนี้เพิ่ม เศรษฐกิจจะเติบโตช้า และในขณะเดียวกันการที่เศรษฐกิจเติบโตช้า ก็ส่งผลให้ต้องสร้างหนี้เพิ่มขึ้นไปอีก

ข้อค้นพบที่น่าสนใจอีกอันหนึ่งของงานวิจัยกลุ่มนี้คือ การบริหารจัดการ ‘แนวโน้มของหนี้’ (debt trajectory) มีผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจระยะยาวอย่างชัดเจน ถ้ารัฐบาลสามารถบริหารจัดการแนวโน้มของหนี้ได้ไม่ให้โตแบบไม่มีที่สิ้นสุด แม้ว่าตัวเลขจะสูงมากก็ไม่ได้เป็นปัญหา ดังนั้นรัฐจึงไม่สามารถกำหนดเกณฑ์หนี้สาธารณะที่ชัดเจนของแต่ละประเทศว่า เท่าไหร่คือแย่ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย

คิดใหม่ ความยั่งยืนทางการคลัง

ความยั่งยืนทางการคลังหมายถึง 1. ระดับหนี้สาธารณะที่ไม่คุกคามการเติบโตของเศรษฐกิจ และ 2. ไม่ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติต่อพันธบัตรรัฐบาลลดลง ภายใต้กรอบนี้ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อความยั่งยืนทางการคลัง ประกอบไปด้วย 1. ข้อมูลการชำระหนี้ (debt profile) กล่าวคือ ใครเป็นคนถือหนี้ หนี้หมดอายุเมื่อไหร่ และภาระของหนี้เป็นเท่าไหร่ และ 2. แนวโน้มของหนี้ (debt trajectory) คือ ทิศทางการเปลี่ยนแปลงของหนี้ ซึ่งขึ้นอยู่กับต้นทุน (cost) ในการชำระหนี้  และความจำเป็นที่จะต้องกู้เพิ่มในอนาคต

ที่ผ่านมาสำนักงานบริหารงานหนี้สาธารณะ (สบน.) สามารถบริหารโปรไฟล์หนี้ของไทยได้เป็นอย่างดี หนี้สาธารณะของไทย 90% เป็นหนี้ระยะยาว มีระยะกำหนดไถ่ถอนเฉลี่ย (debt maturity) อย่างน้อย 10 ปี และเกินกว่า 95% อยู่ในสกุลเงินบาท แปลว่าเราไม่มีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนในอนาคต

ตัวเลขที่ต้องให้ความสำคัญคือ สัดส่วนการถือพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ (Foreign resident share) หากต่างชาติเป็นเจ้าของพันธบัตรมากเกินไปอาจส่งผลต่อเสถียรภาพของหนี้สาธารณะได้ ปัจจุบันต่างชาติถือพันธบัตรไทยประมาณ 16% ของพันธบัตรทั้งหมด (รูปที่ 1) ซึ่งค่อนข้างดีเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในภูมิภาคเดียวกันอย่างญี่ปุ่น (12%) มาเลเซีย (20%) และอินโดนีเซีย (40%) ที่ผ่านมารัฐบาลไทยมักกู้เงินจากองค์กรระหว่างประเทศ เช่น ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank – ADB) ซึ่งคิดดอกเบี้ยค่อนข้างต่ำ นอกจากนั้น ยังมีการขายพันธบัตรให้คนไทยด้วยกัน ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงโดยเปรียบเทียบ เพื่อเพิ่มสัดส่วนการถือพันธบัตรไทยของนักลงทุนไทย

รูปที่ 1: สัดส่วนหนี้สาธารณะของไทยตามสกุลเงินและสถานะเจ้าหนี้

รูปที่ 1: สัดส่วนหนี้สาธารณะของไทยตามสกุลเงินและสถานะเจ้าหนี้

เรื่องที่น่าเป็นห่วงจึงเป็นเรื่องของทิศทางของหนี้ ซึ่งประกอบไปด้วยสองส่วนคือ 1. ต้นทุนการชำระหนี้ (cost of service) และ 2. ความจำเป็นในการกู้เพิ่ม

ต้นทุนการชำระหนี้คืออัตราดอกเบี้ย สิ่งสำคัญคือการพิจารณาส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายกับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ (interest-rate-growth differential) ถ้าอัตราดอกเบี้ยต่ำและเศรษฐกิจเติบโตดี เมื่อระยะเวลาผ่านไประดับหนี้ต่อ GDP จะลดลงไปเอง ในสถานการณ์ที่สภาพคล่องล้นตลาดการเงินทั่วโลกและดอกเบี้ยต่ำแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ยุทธศาสตร์ที่ดีที่สุดคือการกู้ตอนนี้ และกู้แบบยืดระยะเวลาชำระให้นานที่สุด จนถึงตอนนี้ interest-rate-growth differential ของไทยยังติดลบอยู่ (รูปที่ 2) ดังนั้น เรื่องต้นทุนการชำระหนี้จึงยังไม่น่าเป็นห่วงมาก

รูปที่ 2: ส่วนต่างดอกเบี้ยและการเติบโตของเศรษฐกิจ (เฉลี่ย 2010-19)

รูปที่ 2: ส่วนต่างดอกเบี้ยและการเติบโตของเศรษฐกิจ (เฉลี่ย 2010-19)

ในส่วนของการกู้เพิ่ม เดิมถ้าไม่มีโควิด-19 ประเทศไทยขาดดุลการคลังติดต่อกัน 2-3% ต่อ GDP มาเป็นระยะเวลากว่า 10 ปีแล้ว ถือว่าสูงพอสมควร งานศึกษาของ รศ. ดร.ศาสตรา สุดสวาสดิ์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์) และ ผศ. ดร.ภาวิน ศิริประภานุกูล (คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) ชี้ว่า หากรัฐบาลไทยยังเลือกที่จะใช้แผนการคลังแบบเดิม ในช่วงเวลาที่เราต้องเผชิญกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากโควิดแบบนี้ ในอีก 10-20 ปีข้างหน้าหนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้นจนทะลุตัวเลข 80% GDP ได้

ที่ผ่านมา ภาคการเงินไทยเป็นกลไกสำคัญในการขยายตัวของเศรษฐกิจมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการขยายตัวของหนี้สินครัวเรือน การแข่งขันให้สินเชื่อของสถาบันทางการเงิน แต่บริบทปัจจุบันนโยบายการเงินมีประสิทธิภาพน้อยลงเรื่อยๆ ผนวกกับความเป็นได้ของการผิดนัดชำระหนี้ต่างๆ ตัวเลือกของเครื่องมือทางเศรษฐกิจของประเทศจึงจำกัดอยู่ที่นโยบายการคลัง ดังนั้นการบริหารหนี้สาธารณะไทยจึงเป็นโจทย์สำคัญของประเทศ

โจทย์การคลังของไทยไม่ควรพิจารณาแค่หนี้สาธารณะในระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากการก่อหนี้บางครั้งก็เป็นเรื่องที่จำเป็น เช่น การกระตุ้นเศรษฐกิจในภาวะวิกฤต โจทย์การคลังของไทยจึงเป็นเรื่องการบริหารหนี้สาธารณะในระยาว โดยต้องเปรียบเทียบปัจจัยสำคัญสองอย่าง คือ ต้นทุนและผลประโยชน์จากการก่อหนี้ หรือการเปลี่ยนหนี้ให้เป็นเงินลงทุนในประเทศ ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ดอกเบี้ยโลกอยู่ในระดับต่ำ ต้นทุนหนี้ไม่สูงมากเท่าไหร่ หัวใจจึงอยู่ที่ความสามารถในการบริหารจัดการของรัฐบาลในการใช้หนี้สาธารณะให้เกิดประโยชน์สูงสุด ว่าจะออกแบบนโยบายการคลังอย่างไรให้คุ้มค่าและมีประสิทธิภาพมากที่สุด

คิดใหม่ วินัยการคลัง

พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เคยเป็นความหวังของโครงสร้างทางการคลังไทย เพราะโดยหลักการทำไว้ดีมาก แต่ปัญหาสำคัญที่เราเจอคือเรื่องความผิดชอบทางการคลัง ซึ่งหากเราพิจารณาในตัวกฎหมายจะพบว่าเน้นหัวใจสำคัญอยู่สามเรื่อง ได้แก่ ความยั่งยืนทางการคลัง เสถียรภาพของเศรษฐกิจ และ ความคุ้มค่าเรื่องต้นทุนและผลประโยชน์

เรื่องความคุ้มค่าและต้นทุนเป็นเรื่องที่ต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ ที่ผ่านมารัฐบาลเริ่มให้ความสำคัญกับการประเมินประสิทธิผลของโครงการใช้จ่ายภาครัฐมากขึ้น มีการออกแบบวัตถุประสงค์โครงการที่วัดผลได้ ติดอยู่ตรงที่ว่าเรายังไม่มีการสนับสนุนหน่วยงานที่จะจัดการเรื่องนี้มากเท่าที่ควร ที่ผ่านมาการประเมินมักดำเนินการโดยหน่วยงานรัฐด้วยกันเอง หลายครั้งก็เป็นเจ้าของโครงการเองเสียด้วยซ้ำ ในทางหลักการ ควรต้องมีหน่วยงานภายนอกที่แยกออกมารับผิดชอบเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ ไม่อย่างนั้นก็จะส่งผลต่อประสิทธิภาพการประเมินได้

ในต่างประเทศจะมีหน่วยงานอิสระที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เช่น Congressional Budget Office (CBO) ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งจัดตั้งโดยรัฐสภา ทำหน้าที่ช่วยเหลือทางวิชาการต่อรัฐสภาในการวิเคราะห์ความคุ้มค่าในการใช้มาตรการทางการคลังต่างๆ แม้ประเทศไทยจะมี ซึ่งเป็นองค์กรลักษณะคล้ายกัน แต่ยังไม่ได้รับการจัดสรรทรัพยากรอย่างเพียงพอทำให้ดำเนินงานได้อย่างจำกัด อีกทั้งยังไม่มีโครงสร้างที่เอื้อต่อการทำงานอย่างเป็นอิสระมากเท่าที่ควร

อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญต่อการคลังในระยะยาวคือการติดตามความเสี่ยงทางการคลัง ซึ่งควรจะมีหน่วยงานรับผิดชอบนอกเหนือจากหน่วยงานรัฐด้วย

คิดใหม่ นโยบายการคลัง

ในการรับมือกับโควิด รัฐบาลเน้นไปที่การฟื้นฟูสภาพคล่องเป็นหลัก พยายามสนับสนุนให้เกิดการไหลเวียนของเงินในประเทศ แต่ในระยะต่อไปเราน่าจะเห็นการกระตุ้นการซื้อสินค้าคงทนและการส่งเสริมการลงทุนมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลเองเคยทำอยู่แล้ว เช่น บีโอไอที่รับผิดชอบเรื่องการอำนวยสิทธิประโยชน์ทางภาษี สิ่งที่นโยบายยังขาดอยู่จึงเป็นเรื่องของการประเมินผลและเรื่องการเปิดเผยต้นทุนการใช้จ่าย ก่อนหน้านี้ ประเด็นนี้อาจจะไม่ได้สำคัญมากเพราะพื้นที่ทางการคลังเหลือมาก แต่ปัจจุบันไม่ใช่แล้ว การนำเงินไปใช้อย่างเกิดประสิทธิภาพจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก

ในส่วนของนโยบายรายจ่าย โจทย์หลักคือแรงกดดันด้านสวัสดิการต่างของผู้คน ซึ่งจำเป็นต้องทำ แต่ต้องมีการออกแบบนโยบายให้ถูกต้อง โดยพิจารณาสองเรื่อง คือเรื่องงบที่ใช้และแรงจูงใจของคน เช่น ข้อถกเถียงหนึ่งที่มีการพูดถึงกันมากคือ ‘นโยบายรายได้พื้นฐานถ้วนหน้า’ (Universal Basic Income – UBI) ในด้านหนึ่ง นโยบายนี้จะทำให้ประชาชนมีความมั่นคงทางการเงินที่ดีขึ้น แต่ในอีกด้านหนึ่งก็มีข้อกังวลว่า ประเทศไทยยังเป็นประเทศกำลังพัฒนาอยู่ ฐานภาษียังแคบ คนที่จ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มีแค่ 3-4 ล้านคนต่อปี นี่เป็นโจทย์ใหญ่ของไทยที่ต่างจากประเทศพัฒนาแล้ว ในแง่นี้ต้องดูว่าจะออกแบบนโยบายอย่างไร เพื่อตอบโจทย์ทั้งเรื่องคุณภาพชีวิตของคนและระบบภาษี

ในส่วนของนโยบายภาษี แม้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น กรมสรรพากร แต่ยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยและบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งแบ่งได้เป็นสองเรื่องใหญ่คือ เรื่องเศรษฐกิจการเมือง ในรอบหลายปีที่ผ่านมานวัตกรรมทางการคลังใหม่ๆ นำมาซึ่งต้นทุนซ่อนเร้น (Implicit cost) มากขึ้นเรื่อยๆ กล่าวคือ ไม่ได้เป็นรายจ่ายตรงๆ แต่ไปซ่อนอยู่ในมาตรการกึ่งการคลัง เช่น การให้เงินกู้พิเศษผ่านธนาคารออมสิน หรือการประกันราคาสินค้าการเกษตรต่างๆ ผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นต้น ต้นทุนซ่อนเร้นที่สำคัญอีกอย่างที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงหลังคือ รายจ่ายภาษี (tax expenditure) หรือการที่รัฐไม่สามารถเก็บภาษีได้ เนื่องจากมีการให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น นโยบายช็อปช่วยชาติ หรือการส่งเสริมการลงทุนด้วยการลดภาษีผ่านบีโอไอ

เศรษฐกิจดิจิทัลเป็นอีกโจทย์สำคัญของการจัดเก็บภาษี กระบวนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล (digitalization) กำลังเปลี่ยนโฉมโมเดลการทำธุรกิจไปในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งรัฐบาลต้องปรับวิธีการเก็บภาษีตามให้ทัน เช่น การเก็บ e-service tax หรือภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เมื่อซื้อบริการดิจิทัล ซึ่งถือเป็นก้าวแรกของประเทศไทย ที่สำคัญกว่านั้นคือภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax) ภายใต้กฎหมายปัจจุบัน เราสามารถเก็บภาษีบริษัทอย่างกูเกิล เฟซบุ๊กได้ก็ต่อเมื่อสามารถพิสูจน์ได้ว่าเขามีสถานประกอบการในไทย แต่อย่างที่เห็นว่าในเศรษฐกิจดิจิทัลเขาไม่จำเป็นต้องมีสถานประกอบการในไทยเลย แต่มีการใช้ประโยชน์จากข้อมูลผู้ใช้ในไทย ที่ผ่านมาสรรพากรต้องคอยพิสูจน์ว่าบริษัทเหล่านี้เข้ามาทำธุรกิจอะไรในไทยซึ่งยากมาก คำถามที่น่าคิดคือ ประเทศต่างๆ จะรอการตกลงกันผ่าน OECD เพื่อเรื่องวิธีการจัดเก็บภาษี Digital นี้ได้นานแค่ไหน ในอนาคตมีแนวโน้มที่เราจะเห็นการเปลี่ยนผ่านจาก Trade war (สงครามการค้า) สู่ Tax war (สงครามภาษี) มากขึ้นเรื่อยๆ ประเทศต่างๆ อาจรอ OECD ไม่ไหว และเลือกตามรอยประเทศอย่างฝรั่งเศสที่ประกาศจะเก็บภาษีจากบริษัท Digital ต่างๆ บนฐานรายได้โดยตรงเลย ประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทยจะเลือกทางเดินอย่างไร

คิดใหม่ เศรษฐศาสตร์การคลัง

มีการตั้งคำถามมากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องนวัตกรรมของมาตรการการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ (Fiscal stimulus) จากเดิมที่เคยพูดกันแค่เรื่องของตัวคูณ (multiplier) เปรียบเทียบระหว่างการประยุกต์ใช้นโยบายรายรับ-รายจ่ายของรัฐ นวัตกรรมใหม่ๆ ที่เห็นคือการกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านแพลตฟอร์ม อย่างประเทศไทยเองก็มีโครงการชิมช็อปใช้ เริ่มมีการถกเถียงกันมากขึ้นว่า การกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านเครื่องมือใหม่ๆ จะส่งผลกระทบอย่างไร

อีกโจทย์วิจัยที่ผมสนใจเป็นพิเศษคือเรื่องภาษีและผลกระทบต่อพฤติกรรมของคนและธุรกิจ งานวิจัยหนึ่งคือเรื่องการออกแบบการลดหย่อนภาษี เช่น RMF และ SSF ทำอย่างไรให้เม็ดเงินที่รัฐใช้ส่งเสริมตรงนี้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดในการกระตุ้นการออมของคนไทย อีกงานหนึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับภาษีการบริโภคหรือภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในประเทศกำลังพัฒนา ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีก่อน IMF เสนอให้เก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเนื่องจากลักษณะการเก็บภาษีแบบเป็นขั้นๆ ทำให้แต่ละคนนำส่งแค่มูลค่าเพิ่ม ซึ่งช่วยสร้างแรงจูงใจในการเสียภาษี อย่างไรก็ดี งานวิจัยในประเทศกำลังพัฒนาช่วงหลังชี้ว่า กลไกการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มมีส่วนช่วยในการเก็บภาษีได้มากจริง เพียงแต่ว่าในบริบทของประเทศกำลังพัฒนา คนมักจะมีเทคนิคการหลีกเลี่ยงภาษีที่ IMF ในสมัยนั้นอาจจะมองข้ามไป เช่น ปัญหาเรื่อง ‘ผู้ซื้อคนสุดท้าย’ (last mile problem) ของภาษีมูลค่าเพิ่ม แม้กลไกรัฐจะออกแบบมาดีแค่ไหน แต่ถ้าผู้บริโภคคนสุดท้าย (final consumer) ไม่มีแรงจูงใจในการขอใบเสร็จรับเงิน เช่น ไปเติมน้ำมันรถแล้วขี้เกียจรอใบเสร็จ ฯลฯ ก็มักนำไปสู่การซื้อขายใบเสร็จกันเพื่อนำมาหักค่าใช้จ่าย เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีโจทย์เกี่ยวกับ Digital platform ที่มีผลต่อชีวิตประจำวันของคนไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ทำอย่างไรที่จะทำให้รัฐบาลสามารถใช้โอกาสจาก Platform ต่างๆ นี้มาเอาชนะเศรษฐกิจนอกระบบ (Informality) ที่เป็นความท้าทายของประเทศมาเรามานาน และเพิ่ม Tax compliance ของคนไทยซึ่งจะช่วยความยั่งยืนทางการคลังของไทยในโลกหลังโควิด

อธิภัทร มุทิตาเจริญ

MOST READ

Economy

15 Mar 2018

การท่องเที่ยวกับเศรษฐกิจไทย

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ตั้งคำถาม ใครได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวบูม และเราจะบริหารจัดการผลประโยชน์และสร้างความยั่งยืนให้กับรายได้จากการท่องเที่ยวได้อย่างไร

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย

15 Mar 2018

Economy

29 Nov 2023

ถอดบัญญัติธรรมนูญ ‘จิราธิวัฒน์’ ไม่มีวิกฤตใดที่ฝ่าไปไม่ได้ : ทศ จิราธิวัฒน์

สำรวจธรรมนูญ ‘จิราธิวัฒน์’ 76 ปีของอาณาจักรเซ็นทรัลในฐานะหลอดเลือดใหญ่ของภาคธุรกิจไทย 101 สนทนากับ ทศ จิราธิวัฒน์ ทายาทรุ่นที่สามของตระกูล ผู้มุ่งหมายอยากพาเซ็นทรัลและประเทศไทยไปเฉิดฉายบนเวทีโลก

กองบรรณาธิการ

29 Nov 2023

Economy

31 Jul 2023

เปิดเหลี่ยมมุม ‘service charge’ และ ‘ราคาบวกๆ’ เมื่อผู้บริโภคต้องจ่ายค่าบริการที่ไม่ได้บริการ(?)

ราคาบวกๆ มีผลต่อการเลือกซื้อสินค้าและบริการอย่างไร ในความเป็นจริงนั้นเรามีสิทธิไม่จ่ายค่า service charge หรือไม่ หาคำตอบได้ในบทความนี้

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

31 Jul 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save