fbpx

(สิทธิเสรีภาพของ) ประชาชนอยู่ตรงไหนในการกำกับดูแลสื่อ

เมื่อมีรายงานข่าวว่าคณะรัฐมนตรีเห็นชอบต่อร่าง พรบ. ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. … เมื่อวันที่ 11 มกราคมที่ผ่านมา การถกเถียงเรื่องการใช้กฎหมาย ‘กำกับดูแล’ สื่อก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลางสภาวะที่ผู้แสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์รัฐยังถูกปิดกั้นและคุกคามอย่างต่อเนื่อง

หากพิจารณาจากเหตุผลที่ว่ากันว่ากฎหมายจะช่วยทำให้การกำกับดูแลตนเอง (self-regulation) ของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนเข้มแข็งมากขึ้นแล้ว โดยหลักการ การมีกฎหมายรับรองก็น่าจะช่วยให้โครงสร้างของกลไกการกำกับดูแลตนเองมีความชัดเจนและมีประสิทธิภาพกว่าที่เป็นอยู่

แต่เนื่องจากการทำงานของสื่อมวลชนเกี่ยวข้องกับการใช้และการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยตรง หากจะพิจารณา ‘เครื่องมือ’ ที่จะนำมาใช้เพียงอย่างเดียวก็ไม่น่าจะสามารถประเมินผลที่จะเกิดขึ้นต่อสังคมได้อย่างครอบคลุม ผู้เขียนจึงอยากชวนพิจารณาบริบทและเงื่อนไขที่เครื่องมือนี้จะถูกนำมาใช้ ‘กำกับดูแล’ ด้วยว่ามีแนวโน้มจะช่วยป้องกันการแทรกแซงจากรัฐ รักษาความเป็นอิสระของสื่อ และปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้มากขึ้น หรือจะกลายเป็นอำนาจรัฐจำแลงที่ยิ่งปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและแสดงความคิดเห็นของประชาชนเข้าไปอีก จากที่มีอุปสรรคทุกขั้นตอนอยู่แล้ว

‘มาตรฐาน’ แบบไหน? และ ‘จริยธรรม’ ของใคร?

แนวทางกำกับดูแลของสื่อเป็นผลผลิตของระบบสื่อ (media system) ที่ถูกกำหนดโดยระบอบการเมืองและคุณค่าที่สังคมนั้นๆ ยึดถือ หลายประเทศนำทฤษฎี ‘ความรับผิดชอบต่อสังคม’ มาเป็นฐานคิดในการดำเนินงานสื่อสารมวลชน และกำหนดแนวทางกำกับดูแลตนเอง แต่การตีความ ‘ความรับผิดชอบ (responsibility)’ และ ‘การแสดงความรับผิดรับชอบ (accountability)’ ก็แตกต่างกันไปตามลักษณะของการเมืองและสังคม

แม้ในยุโรปที่ว่ากันว่าเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเป็นคุณค่าทางสังคมที่ค่อนข้างจะลงหลักปักฐานแล้ว อำนาจรัฐในการกำกับดูแลสื่อของแต่ละประเทศก็ไม่เท่ากัน ในประเทศที่มีความเป็นประชาธิปไตยมายาวนานและค่อนข้างเข้มแข็ง หนึ่งในคุณค่าหลักที่สังคมยึดถือ หรือเห็นว่าเป็นเป้าหมายที่ต้องไปให้ถึงคือ การยอมรับความเป็นพหุนิยมและความหลากหลาย ดังนั้น แนวคิดหลักของการกำกับดูแลคือ การป้องกันไม่ให้รัฐเข้ามาครอบงำทางความคิดของประชาชน และแทรกแซงความเป็นอิสระของสื่อมวลชน แต่ขณะเดียวกันก็กระตุ้นให้สื่อมวลชนต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมโดยสร้างพื้นที่การสื่อสารที่มีความเป็นพหุนิยมและความหลากหลาย ขณะที่ภาคส่วนการสื่อสารที่รัฐจำเป็นต้องแทรกแซงเพื่อรักษาประโยชน์ของสาธารณะอย่างกิจการแพร่ภาพกระจายเสียงหรือโทรคมนาคม รัฐก็จะต้องรักษาระยะห่างและไม่เข้ามาแทรกแซงด้านเนื้อหาเพื่อไม่ให้ถูกโจมตีได้ว่าปิดกั้นสิทธิการสื่อสารของพลเมือง

อย่างไรก็ตาม ในประเทศยุโรปที่เป็นประชาธิปไตยได้ไม่นาน ซึ่งสื่อมวลชนมีแนวโน้มในการทำงานหรือแสดงจุดยืนที่สอดคล้องกับทิศทางทางการเมือง หรือมีความสัมพันธ์กับผู้แสดงทางการเมืองอย่างใกล้ชิดและชัดเจน (political parallelism) แนวทางการกำกับดูแลสื่อ ไม่ว่าจะเป็นโดยรัฐ กลไกตลาด หรือองค์กรสื่อเอง ก็มีแนวโน้มที่จะปกป้องผลประโยชน์ของรัฐ กลุ่มทุน และสื่อ มากกว่าที่จะคำนึงถึงสิทธิในการเข้าถึงข่าวสาร เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน ความเป็นส่วนตัว และสิทธิผู้บริโภค

ด้วยเหตุนี้ จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพิจารณาระบอบการเมือง และคุณค่าทางสังคมของไทยที่จะเป็นฐานคิดในการกำหนดมาตรฐานจริยธรรมวิชาชีพด้วยว่าสอดคล้องกับความเป็นประชาธิปไตยมากน้อยเพียงใด คำที่มักถูกตีความอย่างกว้างขวางและคลุมเครือจนนำไปสู่การปิดกั้นการอภิปรายถกเถียงประเด็นที่มีผลกระทบต่อสาธารณะที่ผ่านมา อย่าง ‘จริยธรรม’ ‘ศีลธรรมอันดี’ ‘ความมั่นคง’ ‘ความสงบเรียบร้อย’ จะถูกนำไปนิยามอย่างไรในแนวทางกำกับดูแลตนเองของสื่อตามกฎหมายนี้ หรือแม้กระทั่งการระบุว่าสื่อมวลชนที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐต้อง ‘คำนึงถึงวัตถุประสงค์และภารกิจของหน่วยงานที่สังกัด’ (ล้อตามมาตรา 35 วรรค 6 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560) ก็ยังคลุมเครือว่าสอดคล้องกับปรัชญาและจริยธรรมวิชาชีพสื่อในสังคมประชาธิปไตยอย่างไร

ที่สำคัญ ในบรรยากาศทางการเมืองในปัจจุบันที่ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ยิ่งขยายกว้าง ไม่แปลกที่หลายฝ่ายจะตั้งข้อสังเกตว่า องค์กรกำกับดูแลและมาตรฐานจริยธรรมวิชาชีพที่อยู่ภายใต้ระบอบการเมืองที่ปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ปราบปราม และปิดปากประชาชนที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐ รวมถึงอุดมการณ์ที่กดทับและกีดกันผู้ที่มีความเห็นไม่สอดคล้องกับอำนาจนำในสังคม ก็ไม่น่าจะทำให้สื่อมวลชนมีอิสระในการตรวจสอบรัฐ และปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามบทบาทที่ควรจะเป็น แม้จะใช้ถ้อยคำที่ดูสมเหตุสมผลก็ตาม อีกทั้งยังไม่ช่วยให้สังคมได้ทำความเข้าใจและคลี่คลายความขัดแย้งร่วมกันได้

หากความขัดแย้งแบ่งขั้วยังคงขยายกว้างและฝังลึก รัฐเพิกเฉยต่อเสียงเรียกร้องและความคับข้องของประชาชน แถมยังใช้นิติสงครามมาจัดการกับผู้วิพากษ์วิจารณ์อย่างไม่ลดละ ไม่ว่าจะเป็นสื่อ ภาคประชาสังคม และคนทั่วไป ขณะที่ประชาชนก็ไม่ไว้วางใจรัฐและสถาบันที่มีอำนาจจนหมดศรัทธากับกระบวนการทางการเมือง ส่วนสื่อมวลชนก็ใช้ ‘ความเป็นกลาง’ เป็นข้ออ้างในการทำหน้าที่ ‘พยาน’ ที่เฝ้ามองความขัดแย้ง แต่ไม่สามารถนำเสนอข้อเท็จจริงและมุมมองที่แตกต่างหลากหลายให้สังคมได้ร่วมกันทำความเข้าใจได้ ความชอบธรรมขององค์กรและกฎหมายที่ถูกสถาปนาขึ้นโดยรัฐ ไม่ว่าทางตรงทางอ้อมก็จะถูกตั้งคำถามอยู่เนืองๆ และไม่น่าจะนำไปสู่กลไกการกำกับดูแลตนเองที่ยั่งยืนได้

ประชาชนจะมีส่วนร่วม-ตรวจสอบในการกำกับดูแลสื่อได้อย่างไร

แนวทางการกำกับดูแลสื่อมักถูกดำเนินการโดยรัฐ 3 ทางคือ หนึ่ง–ผ่านการใช้นโยบายและกฎหมาย (political accountability) สอง–โดยกลไกตลาดผ่านอุปสงค์และอุปทาน (market accountability) และสาม–โดยองค์กรสื่อและองค์กรวิชาชีพผ่านแนวปฏิบัติและจริยธรรมวิชาชีพ (professional accountability) อย่างไรก็ตาม แนวทางทั้งสามก็มีจุดอ่อนที่ทำให้สื่อมวลชนมีแนวโน้มที่จะอ่อนข้อให้กับอำนาจรัฐและกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ มากกว่าการปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ในระบอบอำนาจนิยมหรือทุนผูกขาด

ด้วยเหตุนี้ การกำกับดูแลโดยสาธารณะหรือภาคประชาชน (public accountability) จึงเป็นอีกแนวทางที่จะช่วยสร้างความโปร่งใสในการทำงานของสื่อ และอาจเป็นพลังเสริมในกรณีที่สื่อถูกแทรกแซงได้ แนวทางนี้ไม่ได้มองว่าประชาชนและภาคประชาสังคมคือ ผู้สอดส่องและจ้องจับผิดการทำงานของสื่อ แต่มุ่งสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ระหว่างสื่อกับพลเมืองและประชาสังคม โดยประชาชนตระหนักว่าสื่อมวลชนทำหน้าที่แทนพวกเขาอย่างไร ขณะที่สื่อมวลชนต้องคำนึงถึงความชอบธรรมในการดำรงอยู่คือ การเป็นปากเป็นเสียงและสะท้อนเรื่องราวของประชาชนทุกกลุ่ม และตรวจสอบผู้มีอำนาจ ดังนั้น จึงไม่สามารถผลักไสประชาชนออกไปจากกระบวนการกำกับดูแลสื่อได้

แนวทางนี้สอดคล้องกับนิเวศทางการสื่อสารในปัจจุบันที่ขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากประชาชนสามารถสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ ได้เองจนบางคนกลายเป็นผู้มีอิทธิพลทางความคิด อีกทั้งยังเกิดผู้ประกอบการสื่อรายย่อยจำนวนมาก การจะประทับตราว่าใครเป็น ‘สื่อมืออาชีพ’ และการกำกับดูแลให้ ‘สื่อ’ เหล่านี้อยู่ในกรอบเกณฑ์จริยธรรมหรือแนวปฏิบัติที่ ‘เหมาะสม’ จึงเป็นเรื่องท้าทาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทความขัดแย้งที่กลุ่มต่างๆ ใช้ข้อมูลจริงบ้าง เท็จบ้างเพื่อโน้มน้าวใจหรือสร้างความสับสน รวมถึงแรงจูงใจทางเศรษฐกิจที่ทำให้การสื่อสารทางแพลตฟอร์มต่างๆ เน้นความถี่และเนื้อหาที่เร้าอารมณ์มากกว่าการสนทนาที่รื่นรมย์และลุ่มลึก

แม้คนส่วนใหญ่จะไม่ได้ประกาศก้องว่าต้องการสื่อและพื้นที่การสื่อสารที่อิสระและมีคุณภาพ แต่สื่อมวลชนก็ไม่ควรสรุปว่าประชาชนแค่ต้องการดราม่าประจำวัน หรือตนรู้จัก ‘ผู้บริโภค’ อย่างทะลุปรุโปร่งแล้วจากการอ่านผลวิจัยทางการตลาด หรือข้อมูลหลังบ้านของแพลตฟอร์มออนไลน์เพียงเท่านั้น ทั้งนี้เพราะผลิตภัณฑ์และบริการของสื่อมวลชนเกี่ยวพันกับความเป็นอยู่ของสาธารณะ และกระบวนการประชาธิปไตยมากกว่าสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป การรับฟังเสียงของ ‘ผู้รับสาร’ จึงต้องการการมีส่วนร่วมทั้งในระดับการผลิตและนโยบาย ไม่ใช่เป็นเพียง ‘ผู้บริโภค’ ที่คอยรับสินค้าและบริการอยู่ปลายทางเท่านั้น ยิ่งในปัจจุบันที่ความมั่นคงทางธุรกิจของอุตสาหกรรมสื่อสั่นคลอน ก็ยิ่งต้องการความเข้าใจและแรงสนับสนุนจากประชาชนมากกว่าการสร้างฐานลูกค้าหรือแฟนด้อมที่ฉาบฉวย

แน่นอนว่าจุดอ่อนหนึ่งของการกำกับดูแลสื่อโดยสาธารณะคือการขึ้นอยู่กับความใส่ใจและแข็งขันของพลเมือง (ที่ดูเหมือนจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในสังคมไทย) แต่ข้อดีคือเป็นแนวทางที่ยืดหยุ่นและสามารถปรับเปลี่ยนเพื่อสร้างรูปแบบใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับบริบทแวดล้อมและการขยายตัวของนิเวศสื่อได้เรื่อยๆ หากเป้าประสงค์ของร่างกฎหมายนี้คือ การกำกับดูแลสื่อผ่านการคว่ำบาตรทางสังคมหรือ social sanction ก็ควรมีช่องทางที่ผู้ประกอบการสื่อขนาดย่อม สื่อพลเมือง และประชาชนทั่วไปในฐานะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักจะสามารถเข้าถึง-มีส่วนร่วมทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติได้อย่างชัดเจน ทั่วถึง และมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่กระบวนการร่างกฎหมายไปถึงการนำไปใช้ ไม่ใช่เป็นเพียงผู้รับฟังความเคลื่อนไหวแล้วต้องตามหาร่างกฎหมายกันเอาเอง หรือร้องเรียนเมื่อเกิดเหตุเท่านั้น

การสร้างกรอบจริยธรรมวิชาชีพและแนวปฏิบัติตามปรัชญาวิชาชีพเป็นสิ่งที่จำเป็น และเป็นองค์ประกอบหนึ่งในการยืนยัน ‘ความเป็นมืออาชีพ’ และ ‘ความน่าเชื่อถือ’ ของสื่อ ไม่ใช่เพียงมีสำนักงานเป็นหลักแหล่ง อยู่มานาน หรือปล่อยงานถี่ๆ เท่านั้น การมีอยู่ของกรอบจริยธรรมวิชาชีพและแนวปฏิบัติ (และดำเนินงานตามนั้น) รวมถึงการตรวจสอบและทบทวนตนเองอย่างสม่ำเสมอ จะแสดงให้ประชาชนเห็นว่าสื่อมวลชนตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ในสังคมประชาธิปไตยและผลกระทบต่อสาธารณะ ไม่ใช่วางตัวเป็นสถาบันทรงอำนาจที่ประชาชนต้องไปร้องขอให้สงเคราะห์ยามประสบปัญหา หรือผลิตเนื้อหาที่เร้าอารมณ์แต่ไม่ชวนให้คิดว่าสังคมจะร่วมกันจัดการกับปัญหาอย่างเป็นธรรมได้อย่างไร

เมื่อประชาชนเห็นว่าสื่อมวลชนเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เขาได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่จรรโลงจิตใจ (ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่อง ‘บันเทิง’ เท่านั้น) เป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างมีคุณภาพ และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังได้ สังคมก็จะเป็นแนวร่วมในการปกป้องเสรีภาพของสื่อเมื่อถูกรัฐและกลุ่มผลประโยชน์คุกคามหรือแทรกแซง ไม่ทอดทิ้งให้สื่อมวลชนล้มหายตายจากหรือสู้กับอำนาจเพียงลำพัง

แต่หากสื่อมวลชนไม่สามารถแสดงให้เห็นได้ว่าการมีอยู่ของสื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคมที่ประกอบด้วยผู้คนหลากหลายกลุ่ม ซึ่งนับวันก็ขาดพลังในการต่อรองกับสถาบันที่มีอำนาจต่างๆ หรือในวันที่มีเสียงเรียกร้องให้สื่อมวลชนทำหน้าที่เพื่อปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่เสียงเหล่านั้นกลับถูกเพิกเฉย ประชาชนก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องปกป้องเสรีภาพสื่อ ส่วนเครื่องมือต่างๆ ที่นำมาใช้ ‘กำกับดูแลตนเอง’ ก็จะเป็นเพียงการรักษาสถานภาพและสิทธิประโยชน์ของกลุ่มอาชีพ

การรักษาสถานภาพและผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมและกลุ่มอาชีพไม่ใช่เรื่องผิดแปลกในโลกทุนนิยม เพียงแต่อย่านำ ‘อภิสิทธิ์’ ในการใช้สิทธิเสรีภาพแทนประชาชนไปเป็นข้ออ้างในการปกป้องตนเองก็แล้วกัน


อ้างอิง:

– Bardoel, J. (2008). “Converging Media Governance Arrangements in Europe”. In G. Terzis (ed). European Media Governance: National and Regional Dimensions. Bristol, UK: Intellect Books.

MOST READ

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

21 Nov 2018

เมื่อโรคซึมเศร้าทำให้อยากจากไป

เรื่องราวการรับมือกับความคิด ‘อยากตาย’ ผ่านประสบการณ์ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า คนเคียงข้าง และบทความจากจิตแพทย์

ศุภาวรรณ คงสุวรรณ์

21 Nov 2018

Politics

31 Jul 2018

30 ปี การสิ้นสุดของระบอบเปรมาธิปไตย (1) : ความเป็นมา อภิมหาเรื่องเล่า และนักการเมืองชื่อเปรม

ธนาพล อิ๋วสกุล ย้อนสำรวจระบอบเปรมาธิปไตยและปัจจัยสำคัญเบื้องหลัง รวมทั้งถอดรื้ออภิมหาเรื่องเล่าของนายกฯ เปรม เพื่อรู้จัก “นักการเมืองชื่อเปรม” ให้มากขึ้น

ธนาพล อิ๋วสกุล

31 Jul 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save