ใครๆ ก็บอกว่า เรากำลังอยู่ในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่าน ว่าแต่ การเปลี่ยนผ่านคืออะไร?
มองอย่างง่าย การเปลี่ยนผ่าน คือ การเปลี่ยนจากสิ่งที่เราอยู่กับมันมาอย่างยาวนานจนเราคุ้นชิน มองเห็นมันเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปสู่สิ่งใหม่
แม้การเปลี่ยนจาก ‘เก่า’ ไปสู่ ‘ใหม่’ ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย เห็นได้ชัด ไม่ซับซ้อน แต่จริงๆ แล้ว เรากลับมองไม่ค่อยเห็น หรือไม่ค่อยรู้สึกถึงเท่าไหร่ รู้ตัวอีกที ก็ตามความเปลี่ยนแปลงไม่ค่อยทันแล้ว
ที่เป็นแบบนี้เพราะการเปลี่ยนผ่านส่วนใหญ่แล้วไม่ได้เกิดขึ้นอย่างปุปปับ แต่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทีละนิด ทีละหน่อย พูดอีกแบบคือ มันเป็นกระบวนการที่สะสมต่อเนื่องมากอย่างยาวนาน
แล้วทำยังไงเราถึงจะเห็นมัน?
วิธีการหนึ่งที่ช่วยได้คือ การมองหา ‘จุดตัด’ – จุดที่จะช่วยทำให้เราสามารถเปลี่ยนวิธีคิดหรือวิธีการมองสิ่งนั้นได้
ลองดูหาจุดตัดดู แล้วคุณจะเห็นว่า โลกกำลังเปลี่ยนผ่าน!
2014 จุดตัดในเศรษฐกิจโลก เมื่อจีนผงาดเหนืออเมริกา
หลายคนคงได้ยินเรื่องนี้ซ้ำหลายครั้งจนอาจจะเบื่อ แต่การผงาดขึ้นของจีนคงเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงได้ยาก ถ้าเราอยากทำความเข้าใจโลก
หากเปรียบเทียบกันแบบโต้งๆ เศรษฐกิจจีนยังเล็กกว่าสหรัฐอเมริกาอยู่มาก โดยในปี 2015 จีนมีขนาดประมาณ 60% ของเศรษฐกิจอเมริกาเท่านั้น (แต่ทุกสำนักฟันธงว่า ยังไงจีนก็แซงอเมริกาแน่ๆ ในอีกไม่กี่สิบปีนี้) แต่ถ้าคำนวณเปรียบเทียบอำนาจซื้อ (Purchasing power parity – PPP) จีนได้กลายเป็นเบอร์หนึ่งของโลกตั้งแต่ปี 2014 แล้ว
แม้จะเป็นแค่บางมิติ แต่ก็มีความน่าสนใจไม่น้อย เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่สหรัฐอเมริกาต้องเสียตำแหน่ง ‘เศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของโลก’ หลังจากที่แซงอังกฤษในปี 1872
นี่คือจุดเปลี่ยนในรอบกว่า 140 ปี
2013 จุดตัดการเมืองโลก เมื่องบฯ ทหารของเอเชียแซงยุโรป
เมื่อเศรษฐกิจเปลี่ยน ดุลอำนาจทางทหารและความมั่นคงก็เปลี่ยนตามไปด้วย
หลังสงครามเย็นสิ้นสุด สหรัฐอเมริกาก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 แทนยุโรป ในเรื่องการใช้จ่ายทางทหาร และคงเป็นเบอร์ 1 ไปอีกสักพักใหญ่ๆ
แต่ ‘ความเข้มแข็ง’ ของเอเชียกำลังเติบโตก้าวขึ้นมาแบบไม่ธรรมดา
ข้อมูลจาก Stockholm International Peace Research Institute ชี้ให้เห็นว่า งบประมาณทางด้านการทหารของเอเชียเพิ่มขึ้นมาโดยตลอดในช่วง 30 ปีที่ผ่านมานี้ กระทั่งในปี 2013 งบประมาณด้านการทหารของเอเชียแซงยุโรปขึ้นมาเป็นครั้งแรก
เอ! หรือว่ากองทัพไทยเราก็อยู่ในกระแส ‘Rising Asia’ นี้ด้วยเหมือนกัน เพราะในช่วง 10 ปีหลัง งบกลาโหมเราเพิ่มขึ้นราวๆ 2.5 เท่าเลยทีเดียว
2007 จุดตัดวิถีชีวิต เมื่อมนุษย์โลกกลายเป็น ‘คนเมือง’ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ปี 2007 เป็นปีแรกที่ประชากรโลกที่อาศัยอยู่ในเมืองมีจำนวนมากกว่าประชากรโลกที่อาศัยอยู่ในชนบท นับแต่นั้น ประชากรส่วนใหญ่ของโลกก็เป็นประชากรเมืองมาโดยตลอด
ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 เมืองใหญ่ทั่วโลกขยายตัวมาตลอด ในปี 1950 โลกมี ‘คนเมือง’ เพียงแค่ 30% เท่านั้น ในขณะคนส่วนใหญ่ 70% ถือว่าเป็นประชากรที่อาศัยอยู่ในชนบท แต่ในปัจจุบัน ประชากรโลกประมาณ 3,900 ล้านหรือกว่า 54% ล้วนใช้ชีวิตอยู่ในเมือง
ประเทศไทยก็อยู่ในกระแส Urbanization ด้วยเช่นกัน ปัจจุบันคนไทยประมาณ 33 ล้านคน หรือราวครึ่งหนึ่งของประเทศอาศัยอยู่ในเมืองแล้ว คาดการณ์ว่า ในอีก 30 ปีข้างหน้าคนไทยประมาณ 44 ล้านคน หรือราว 73% จะอยู่อาศัยในเขตเมือง
ว่ากันว่า ช่วงชีวิตของเราจากนี้ไป เทรนด์ Urbanization จะเป็นเทรนด์ที่ทรงพลังมากที่สุด
เพราะเมืองเป็นขุมพลังสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พัฒนาเทคโนโลยี ทั้งยังเป็นเบ้าหลอมสำคัญของวิถีชีวิตที่แตกต่างจากชนบทอย่างสิ้นเชิง
2016 จุดตัดทางเทคโนโลยี เมื่อทุกคนมีมือถือ
เชื่อหรือไม่ว่า คนทุกคนบนโลกมีมือถือมากกว่า 1 เครื่อง!
ฟังแล้วอาจดูแปลกๆ และเป็นไปไม่ได้ แต่ในทางสถิติมันได้เกิดขึ้นแล้ว
Ericsson Mobility Report ระบุว่าปี 2016 คนทั่วโลกลงทะเบียนโทรศัพท์มือถือไปแล้วกว่า 7,500 ล้านเครื่อง ซึ่งมากกว่าจำนวนประชากรโลกที่มีอยู่ราว 7,400 ล้านคนแล้ว นั่นหมายความว่า โดยเฉลี่ยคนบนโลกมีโทรศัพท์คนละ 1 เครื่องเศษๆ และตัวเลขนี้ก็มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ถึงแม้จริงๆ แล้วยังไม่ใช่ทุกคนบนโลกมีมือถือจริงๆ และการจะเป็นเช่นนั้นก็ไม่ง่ายนัก แต่การที่คนเข้าถึงโทรศัพท์ในปริมาณมหาศาลเช่นนี้ย่อมเปลี่ยนวิถีชีวิตและวิธีคิดของพวกเราไปตลอดกาล
เอาง่ายๆ ทุกวันนี้เราแทบจะเลิกเถียงกันแล้วว่า การที่คนรากหญ้า (ศัพท์สมัยหนึ่ง) ซื้อมือถือเป็นเรื่องฟุ่มเฟือยหรือเปล่า
2015 จุดตัดรัฐแบบใหม่ รัฐ ‘เฟซบุ๊ก’
เมื่อมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เปิดตัวเฟซบุ๊กอย่างเป็นทางการในปี 2004 แม้แต่ตัวเขาเองคงนึกไม่ออกว่าเฟซบุ๊กจะเติบโตได้ถึงขนาดนี้!
4 ปีแรก เฟซบุ๊กกลายเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว และมีผู้ใช้ราว 100 ล้านบัญชี
4 ปีต่อมา เฟซบุ๊กขยับเพดานตัวเองเพิ่มขึ้น 10 เท่า เมื่อมีผู้ใช้ราว 1,000 ล้านบัญชี
4 ปีหลัง แม้การเติบโตจะชะลอลง แต่บัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กก็ไปแตะระดับ 1,800 ล้านบัญชี
ถ้าคุณมองมันเป็นประเทศ มันจะเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก,
และถ้ามองมันเป็นรัฐ อำนาจของมันในการกำหนดชีวิตคุณไม่ใช่น้อยๆ เลยทีเดียว ในบางมิติอำนาจมันมากกว่ารัฐห่วยๆ บางรัฐเสียอีก
ไม่เชื่อลองสั่งปิดมันดูสิ (อ้าว! เคยทำแล้ว แต่ก็ต้องกลับมาเปิดใหม่นี่นา)