วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร เรื่อง
กฤตพร โทจันทร์ ภาพ
ที่ผ่านมา Worst cases ของเศรษฐกิจไทยมีคนพูดถึงกันพอสมควร
แต่ถ้าลองมองอีกด้านให้ไกลขึ้น Best-case scenario ของเศรษฐกิจไทยจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร
เมื่อดูความเป็นได้ทางตัวเลข อาจกล่าวได้ว่าไม่ไกลเกินฝันตามยุทธศาสตร์ชาติ
หากก่อนจะได้สัมผัส “ชีวิตหลังความรวย” ของสังคมไทย เราอาจจะต้องเรียนรู้กลยุทธ์การเติบโตจากประเทศเพื่อนบ้านและย้อนมองบริบทแบบไทยๆ เสียก่อน
ความเป็นไปได้ทางตัวเลข
ข้อมูลจากธนาคารโลกล่าสุด ปี 2018 ไทยมีรายได้ประชากรต่อหัว 6,610 ดอลลาร์
ในขณะที่เส้นแบ่งประเทศรายได้สูง (high-income country) ปัจจุบันอยู่ที่ 12,376 ดอลลาร์
ถ้าคิดแบบแง่บวกว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นกลับมาเป็นปกติแน่นอน
แล้วโตได้ต่อเนื่องปีละ 3% เราก็จะใช้เวลาอีก 22 ปี เพื่อไปถึงจุดนั้น
หรือถ้าเราโตได้ต่อเนื่องปีละ 4% ก็จะใช้เวลาอีกแค่ 16 ปี
แปลว่าหากเศรษฐกิจไทยเติบโตต่อเนื่องได้ปีละ 3–4% เราจะกลายเป็น “ประเทศร่ำรวย” ได้ภายในปี 2035 (พ.ศ. 2578) หรืออย่างช้าก็ปี 2040 (พ.ศ. 2583)
ใกล้เคียงกับที่ “ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” ขีดเป้าหมายไว้ว่า “ในปี 2580 ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว”
แต่โครงสร้างเศรษฐกิจไทยเบื้องหลังตัวเลขดังกล่าวจะมีรูปร่างหน้าตาแบบไหนกัน
หัวหอกเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจประเทศหนึ่งสามารถเลือกใช้ “หัวหอกเศรษฐกิจ” ที่ต่างกันเพื่อสร้างการเติบโตได้หลายวิธี
หากเปรียบเทียบกับเอเชียตะวันออก ไทยจะใกล้เคียงกับเกาหลีใต้มากที่สุด เพราะเลือกใช้ “บริษัทยักษ์ใหญ่” เป็นหัวหอกเศรษฐกิจเช่นเดียวกัน
ดังที่เห็นได้จากเวทีนโยบายต่างๆ ใต้ร่มประชารัฐเปิดให้บริษัทเอกชนชั้นนำเข้ามากำหนดทิศทางเศรษฐกิจ พลังงาน การเกษตร หรือแม้แต่การศึกษา
ต่างจากไต้หวันที่เน้น SMEs หรือสิงคโปร์ที่ขาหนึ่งเปิดเสรีให้บรรษัทข้ามชาติลงทุน ส่วนอีกขาหนึ่งใช้รัฐวิสาหกิจคุมอุตสาหกรรมสำคัญ
แน่นอนว่าในแง่เศรษฐกิจ เกาหลีใต้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
เพียงหนึ่งชั่วอายุคนหลังสงครามกลางเมืองอันโหดร้าย เกาหลีใต้ก็ผงาดขึ้นมาเป็นประเทศร่ำรวยได้อย่างเหลือเชื่อ
ในเวลาเดียวกัน ทั่วโลกก็รู้จัก “แชโบล” อย่าง Samsung Hyundai LG ที่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วจนไล่กวดและแซงหน้าประเทศตะวันตกและญี่ปุ่นได้ในหลายผลิตภัณฑ์ กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความภูมิใจของชาติ
และทำให้เกาหลีใต้เป็นหนึ่งใน “เสือเศรษฐกิจ” ผู้สร้างปาฏิหาริย์แห่งเอเชียตะวันออก
บทเรียนจากโซล
อย่างไรก็ดี ยุทธศาสตร์การเติบโตของเกาหลีใต้ที่ยอมแลกทุกอย่างเพื่อสร้างบริษัทระดับโลกส่งผลสะเทือนทางสังคมและการเมืองในรูปแบบที่ต่างออกไปจากไต้หวันและสิงคโปร์
อันดับแรกคือ เป็นยุทธศาสตร์เศรษฐกิจที่สร้างผู้ชนะและผู้แพ้ชัดเจน
รัฐบาลเผด็จการอัดฉีดเงินกู้นโยบายให้กับอุตสาหกรรมเป้าหมาย กดค่าแรงให้ถูกที่สุดเพื่อรักษาต้นทุน แชโบลกลายเป็นผู้ชนะ ส่วนแรงงานกับบริษัทขนาดเล็กกลายเป็นผู้แพ้
ตั้งแต่ปี 1980 แชโบลยักษ์ใหญ่ 4 บริษัทแรกก็มีทรัพย์สินรวมกันเท่ากับงบประมาณของรัฐบาลทั้งหมดแล้ว
อิทธิพลของรัฐที่เคยสั่งบริษัทยักษ์ใหญ่ให้ซ้ายหันขวาหันเริ่มหมดลง ความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างรัฐกับธุรกิจเริ่มกลับหัวกลับหาง
ยิ่งเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวเมื่อไหร่ รัฐยิ่งต้องง้อแชโบลเหล่านี้ให้ลงทุน ขออะไรก็แทบจะได้หมด
SMEs ทำได้เพียงเข้าเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่การผลิตของแชโบลเพื่อความอยู่รอด
บทเรียนต่อมาคือเรื่องความเหลื่อมล้ำ
งานศึกษาพบว่าช่องว่างผลิตภาพ (productivity gap) ระหว่างบริษัทขนาดเล็กกับขนาดใหญ่มีแนวโน้มถ่างออกไปเรื่อยๆ ตั้งแต่เริ่มเก็บข้อมูลในปี 1980 จนถึงปัจจุบัน
สถานะของประเทศในเวทีโลกขยับตามสถานะทางเศรษฐกิจ เกาหลีใต้ได้เป็นเจ้าภาพจัดโอลิมปิกในปี 1988 และได้เป็นสมาชิกของ OECD ในปี 1996
แต่ตัวชี้วัดทางสังคมหลายด้านของเกาหลีใต้นับว่าอยู่ท้ายๆ ของประเทศสมาชิก OECD โดยเฉพาะความเหลื่อมล้ำของค่าจ้าง (wage inequality) และ ความแตกต่างของค่าจ้างระหว่างชายหญิง (gender wage gap)
ผลสืบเนื่องทางการเมืองก็น่าสนใจ เพราะเส้นทางประชาธิปไตยของเกาหลีใต้เต็มไปด้วยขวากหนาม การต่อรองอะไรสักอย่างกับผู้นำต้องอาศัยการรวมตัวประท้วงของผู้คนมหาศาล ต่อสู้กันแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน
แม้แต่ตอนที่ประเทศเป็นประชาธิปไตยมั่นคงแล้วในปี 2016–2017 ประชาชนก็ยังต้องรวมตัวกันหลักล้านคน จึงจะสามารถกดดันประธานาธิบดี ‘พักกึนฮเย’ เข้าสู่กระบวนการถอดถอนจากปัญหาการทุจริตหลายกรณี หนึ่งในนั้นคือรับเงินสินบนจากผู้บริหาร Samsung
นอกจากนี้ ยังมีสถิติว่า กว่าครึ่งของครอบครัวที่เป็นเจ้าของแชโบล 10 อันดับแรกล้วนถูกตรวจพบว่าพัวพันกับการทุจริตหรือไม่ก็มีความผิดฐานหนีภาษีทั้งสิ้น
ปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมที่ว่ามานี้เกิดจากหลายสาเหตุประกอบกัน แต่หนึ่งในนั้นคือการเลือกยุทธศาสตร์การเติบโตที่ให้บริษัทธุรกิจเป็นหัวหอก รัฐกดผู้เล่นอื่นๆ ในสังคม ใช้มาตรการการเงินการคลังสนับสนุนเต็มที่ ปิดตาข้างหนึ่งเพื่อสร้างกิจการระดับโลก แรงงานและบริษัทขนาดเล็กไม่ได้รับโอกาสอย่างเป็นธรรม
อันที่จริง โมเดลของเกาหลีใต้นั้นนับว่าง่ายกว่าของไต้หวันที่รัฐต้องสร้างเทคโนโลยีให้เอื้อต่อบริษัทขนาดเล็กจำนวนมาก และง่ายกว่าของสิงคโปร์ที่ต้องเปิดเสรี แต่กระตุ้นการถ่ายทอดเทคโนโลยีของบริษัทต่างชาติไปพร้อมกัน
การปิดห้องคุยระหว่างผู้นำการเมืองกับนักธุรกิจใหญ่ไม่กี่คนย่อมง่ายกว่า สะดวกกว่า
เส้นทางนี้สร้างการเจริญเติบโตสูง แต่การจัดการความเหลื่อมล้ำก็ยากทวีคูณ
แม้ในเวลาต่อมา รัฐบาลเกาหลีใต้จะหันมาหนุน SMEs อย่างไรก็แทบไม่ได้ผล เพราะโครงสร้างเศรษฐกิจถูกแชโบลควบคุมไว้หมด ลูกหลานแชโบลยังต่อยอดด้วยการขยายไปธุรกิจอื่น ไม่เว้นแม้แต่ร้านเบเกอรีและร้านกาแฟ
หากไทยเลือกยุทธศาสตร์เติบโตโดยให้บริษัทยักษ์ใหญ่เป็นหัวหอกผู้ควบคุมทิศทางเศรษฐกิจ ภาพเกาหลีใต้ในปัจจุบันอาจจะเป็น Best-case scenario ที่เราควรมองไว้เป็นบทเรียน
เกาหลีใต้ + เกาหลีเหนือ?
อย่างไรก็ดี ไทยก็ไม่ได้เหมือนเกาหลีใต้ขนาดนั้น เพราะองค์ประกอบทางการเมืองต่างกัน
รัฐบาลทหารปกครองเกาหลีใต้ตั้งแต่ปี 1961 จนกระทั่งปี 1993 คิมย็องซัมได้กลายเป็นประธานาธิบดีพลเรือนที่ไม่มีภูมิหลังเป็นทหารคนแรกในรอบสามทศวรรษ
แม้เส้นทางประชาธิปไตยจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่หลังจากนั้น เกาหลีใต้ก็ไม่เคยหวนกลับสู่รัฐบาลทหารอีก มีกลไกการเลือกตั้งและกระบวนการยุติธรรมที่ค่อนข้าง free and fair
เกาหลีใต้จึงรับมือโลกาภิวัตน์และเข้าสู่ยุค 4.0 ด้วยรัฐบาลและอุดมการณ์พลเรือน
ในแง่นี้ องค์ประกอบทางการเมืองของไทยจะใกล้กับเกาหลีเหนือมากกว่า เพราะระบอบทหารฝังรากลึกในสังคมทั้งในเชิงสถาบันและอุดมการณ์
ใช้ความมั่นคงทางการทหารเป็นหัวใจในการจัดสรรงบประมาณ มีผู้นำทหารและเครือข่ายเป็นผู้กำหนดทิศทางการกระจายอำนาจ ความสงบเรียบร้อยคือเป้าหมายในตัวเอง ใช้แนวทางทหารในการจัดการสังคม แม้ในห้วงยามประเทศเผชิญเศรษฐกิจชะลอตัวและโรคอุบัติใหม่
องค์ประกอบทางเศรษฐกิจการเมืองของไทยจึงมีลักษณะเป็น “ลูกผสม” ระหว่างเกาหลีเหนือ + เกาหลีใต้
ซึ่งหากคิดในทางตัวเลข ก็เป็นไปได้ที่รูปแบบ “เกาหลีกลาง” เช่นนี้จะพาประเทศไทยไปสู่ความร่ำรวยในเวลาอีก 16–22 ปี
แต่นอกจากตัวเลขแล้ว การเลือกหัวหอกการพัฒนาประเทศก็ส่งผลข้างเคียงทางการเมืองและสังคมด้วย
เพราะในโลกเศรษฐกิจ การเลือกใช้แมวขาว แมวดำ กรงดัก หรือสเปรย์ มีผลต่อตัวหนูและผู้ใช้ไม่เหมือนกัน
Be careful what you wish for.