ณรจญา ตัญจพัฒน์กุล เรื่อง
กฤตพร โทจันทร์ ภาพประกอบ
ปี 2014 โลกรู้จัก โจชัว หว่อง ในฐานะโฉมหน้าของการประท้วงครั้งใหญ่ในฮ่องกง หรือที่รู้จักกันดีในนาม ‘ขบวนการร่ม’
ณ เวลานั้น เขาคือ ‘พลังคนรุ่นใหม่’ ที่สั่นสะเทือนไปทั่วโลก
แม้ว่าการต่อสู้บนท้องถนนจะจบลงในวันที่ 79 ด้วยการสลายการชุมนุมที่เขตคอสเวย์เบย์และข้อเสนอกฎหมายเลือกตั้งผู้แทนที่ไม่น่าพอใจนักจากปักกิ่ง แต่เส้นทางการเรียกร้องเสรีภาพและประชาธิปไตยที่ไม่ราบเรียบเช่นนี้ คือสัญญาณว่าการต่อสู้ยังคงอีกยาวไกล และจะไม่จบลงง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องสู้กับมหาอำนาจเผด็จการอย่างพรรคคอมมิวนิสต์จีน หลังจากนั้น โจชัวถูกตัดสินจำคุกหลายครั้งจากคดีในการชุมนุมประท้วง
6 ปีถัดมา ฮ่องกงตกอยู่ภายใต้กฎหมายความมั่นคง พรรคเดโมซิสโตที่โจชัวก่อตั้งขึ้นมาเพื่อต่อสู้ในสนามการเมืองรัฐสภามีอันเป็นต้องยุบไป ซ้ำร้าย เขาและผู้สมัครสายประชาธิปไตย 11 คนยังถูกแบนไม่ให้ลงสมัครเลือกตั้งสมัชชานิติบัญญัติแห่งฮ่องกง แต่แม้ในวันที่เขาบอกว่า “เหมือนฝันร้าย” โจชัวยังคงต่อสู้บนเส้นทางสายประชาธิปไตยเพื่อเสรีภาพของฮ่องกงต่อไปด้วยความหวัง หากเปิดดูทวิตเตอร์ของเขา จะพบว่าเขายังเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์อยู่เกือบตลอดเวลา
เสียงของโจชัวไม่ได้มีไว้เพียงเพื่อฮ่องกงเท่านั้น เขายังทวีตสนับสนุนขบวนการประชาธิปไตยทั่วทุกมุมโลก และยิ่งอุณหภูมิการชุมนุมประท้วงของคนรุ่นใหม่ในไทยร้อนระอุขึ้นหลังการจับกุมสมาชิก ‘คณะราษฎร 2563’ การสลายการชุมนุมในช่วงกลางเดือนตุลาฯ และการนัดแฟลชม็อบทั่วไทยตลอดปลายเดือนตุลาคม ภาพการเคลื่อนไหวต่อต้านระบอบเผด็จการและการถูกรัฐใช้อำนาจกดปราบร้อยรัดความรู้สึกร่วมระหว่างฮ่องกง ไทย และไต้หวันเข้าด้วยกันภายใต้ #MilkTeaAlliance เขาทวีตสนับสนุนการประท้วงในไทยหลายทวีต รวมทั้งยังออกไปแสดงพลังหน้าสถานกงสุลใหญ่ ณ ฮ่องกงหลังวันสลายการชุมนุม นี่คือหนึ่งในข้อความจากป้ายประท้วงของเขา
“#StandwithThailand ผมขอเป็นกำลังใจให้ชาวไทยทุกคนนะครับ พวกเราชาวฮ่องกงเป็นกำลังใจให้ผู้ประท้วง พวกเราจะร่วมกันต่อสู้กับเผด็จการ และผ่านมันไปด้วยกัน พวกเราจะยืนเคียงข้างคนไทย”
ในวันที่เส้นทางสู่ประชาธิปไตยเต็มไปด้วยขวากหนาม 101 ต่อสายตรงสนทนากับ โจชัว หว่อง ว่าด้วยการรักษาความหวังในวันที่มืดมิด แสงสว่างจากพลังของคนรุ่นใหม่ในการเคลื่อนไหว ไปจนถึงภราดรภาพและภาพซ้อนทับของการเรียกร้องประชาธิปไตยในไทยและฮ่องกง
หมายเหตุ: สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2563
ตอนนี้คุณเป็นอย่างไรบ้าง
วันพรุ่งนี้ (3 พ.ย.) ผมต้องไปฟังศาลพิจารณาคดีตอน 9 โมงครึ่ง ผมมองว่ารัฐพยายามใช้อำนาจตุลาการเป็นอาวุธลดทอนเสียงของผู้ต่อต้านรัฐบาลเผด็จการ และแน่นอนว่าการใช้อำนาจตุลาการแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ที่ฮ่องกงเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นที่ไทยด้วยเหมือนกัน
เห็นคุณทวีตเกี่ยวกับขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเยอะมาก ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องราวที่เกิดขึ้นในฮ่องกงเท่านั้น แต่คุณยังทวีตสนับสนุนการเคลื่อนไหวหลายๆ ที่ทั่วโลก รวมทั้งในไทยด้วย
ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือคนฮ่องกง ทุกคนล้วนทนทุกข์อยู่กับการกดขี่จากระบอบเผด็จการที่ไม่เคารพประชาธิปไตย เสรีภาพ และสิทธิมนุษยชน ในห้วงเวลาแบบนี้ เราต้องแสดงเอกภาพ ภราดรภาพ และสนับสนุนการลุกขึ้นมาต่อสู้กับเผด็จการของคนรุ่นใหม่
อีกหนึ่งอย่างที่คุณทวีตถึงบ่อยๆ คือ ‘พันธมิตรชานม’
พันธมิตรชานมคือพันธมิตรทางการเมืองแบบหลวมๆ แค่คุณไม่ยอมก้มหัวให้จีนหรือระบอบเผด็จการอำนาจนิยม คุณก็เป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตรได้ไม่ว่าคุณจะมาจากไทย ฮ่องกง หรือไต้หวันก็ตาม
อีกอย่างหนึ่ง แฮชแท็กนี้ยังทำให้เห็นว่าการเมืองภาคประชาชนระหว่างประเทศ หรือแม้แต่ชาวเน็ตเองก็มีพลังในการสร้างความเปลี่ยนแปลง กดดันชนชั้นนำทางการเมืองได้
เมื่อสักครู่คุณพูดถึงภราดรภาพ ทำไมภราดรภาพจึงสำคัญในเวลาเช่นนี้
พวกเราอาจมาจากคนละประเทศ ผ่านประวัติศาสตร์คนละชุด มีวัฒนธรรมที่แตกต่างกันก็จริง แต่ที่เราต้องเผชิญร่วมกันคือเผด็จการที่ก้าวร้าว ใช้อำนาจข่มขู่ ไม่ยอมถอย เหมือนอย่างที่จีนกำลังใช้นโยบายการทูตแบบ Wolf Warrior ภราดรภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญ ผมหวังว่าการเสริมสร้างภราดรภาพร่วมกันจะช่วยให้เสียงของพวกเราดังขึ้น และไม่ถูกกลบให้เงียบหายไป
คุณเคลื่อนไหวทางการเมืองมาตั้งแต่คุณยังเป็นนักเรียน อะไรคือแรงบันดาลใจให้คุณอุทิศชีวิตไปกับการต่อสู้ตั้งแต่ยังอายุน้อย ทั้งๆ ที่ช่วงวัยรุ่นควรเป็นเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน
ผมเกิดที่ฮ่องกง ใช้ชีวิตในฮ่องกง ผมรัก ผูกพันและเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ ความหวังของผมคือการเห็นคนรุ่นใหม่ต่อจากนี้ไปมีอำนาจกำหนดชะตาชีวิตของตนเองได้ แทนที่อนาคตของพวกเขาจะถูกกำหนดโดยชนชั้นนำ
คุณอาจเลือกลุกขึ้นมาสู้ตอนโตเป็นผู้ใหญ่ก็ได้ แต่ทำไมคุณถึงลุกขึ้นมาสู้ตอนที่ยังอายุน้อย มันมีข้อดีไหม
การออกมาเคลื่อนไหวตอนอายุยังน้อยมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ข้อดีคือเราได้แสดงพลัง ส่งเสียงของพวกเราเองโดยไม่ต้องผ่านใคร เพราะผมเชื่อว่าคนรุ่นต่อๆ ไปสมควรที่จะได้รับสิทธิในการกำหนดชะตาชีวิตตนเอง
การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เราต้องแสวงหาความร่วมมือจากคนทุกรุ่น ไม่ใช่แค่เพียงในหมู่คนรุ่นใหม่เหมือนอย่างตอนที่ผมออกมาเคลื่อนไหวสมัยมัธยมเท่านั้น ตอนที่ฮ่องกงประท้วงเมื่อปี 2019 ผู้ประท้วงอายุน้อยที่สุดที่ถูกจับอายุเพียงแค่ 11 ปีเท่านั้น ส่วนผู้ประท้วงอายุมากที่สุดที่ถูกจับอายุสูงสุดอยู่ที่ 84 ปี เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นเบบี้บูมเมอร์ คนรุ่นมิลเลเนียล หรือคนเจนฯ Z ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นไหน ทุกคนล้วนหนีจากการกดขี่ของเผด็จการไม่ได้ การแสวงหาภราดรภาพในหมู่คนทุกรุ่นจึงเป็นเรื่องสำคัญ
ที่ไทยเรามักพูดเสมอว่า “พลังคนรุ่นใหม่คือพลังบริสุทธิ์”
คนทุกเจเนอเรชันมีความพิเศษของตัวเอง พลังคนรุ่นใหม่ก็พิเศษเช่นกัน โดยเฉพาะที่ว่าเป็นพลังหลักในการกดดันเผด็จการ
แต่การสร้างความเปลี่ยนแปลง ส่งต่อความกล้าหาญสู่คนรุ่นต่อๆ ไปกำลังกลายเป็นเรื่องท้าทายมากขึ้นเรื่อยๆ และเราต้องเอาชนะมันให้ได้
ผมหวังว่าคนรุ่นต่อๆ ไปจะมีพลังและก้าวไปข้างหน้ามากขึ้น เหมือนอย่างที่ความมุ่งมั่นและความกล้าหาญของคนรุ่นใหม่ที่เกิดหลังปี 2000 ทำให้ผมประทับใจมาก
ตอนนี้สังคมไทยกำลังแตกเป็นสองเสี่ยงจากความขัดแย้งระหว่างคนต่างรุ่น ที่ฮ่องกงเคยมีประสบการณ์เช่นนี้บ้างไหม แล้วคุณจัดการความไม่เข้าใจระหว่างกันอย่างไร
คนรุ่นใหม่ต้องทุ่มเทและให้เวลาไปกับการโน้มน้าวคนรุ่นก่อนให้อยู่ข้างเดียวกับเรา เพราะไม่ว่าจะเด็กหรือแก่ จะเห็นต่างกัน ทุกคนก็ยังเป็นคนในประเทศเดียวกันอยู่ดี
การโน้มน้าวต้องใช้เวลาและความพยายามเพื่อสร้างสัมพันธ์กับพวกเขาในชีวิตประจำวันของทุกๆ วัน กว่าจะเข้าใจและยอมเปลี่ยนมายืนอยู่ข้างเรา
มีอะไรที่เราเรียนรู้จากพลังมวลชนฮ่องกงได้ไหม
ถ้าพูดในเชิงปฏิบัติ เชื่อว่าแต่ละประเทศมีความต่าง มีความเฉพาะเป็นของตัวเอง โดยเฉพาะกรณีของไทยที่มีประสบการณ์ในการประท้วงหลายครั้งในอดีต โมเดลแบบฮ่องกงอาจนำมาใช้ไม่ได้ทั้งหมด แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ สู้เมื่อตอนที่คุณพร้อม
ว่ากันว่าการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยไม่ใช่เกมม้วนเดียวจบ แต่เป็นเกมที่ต้องเล่นหลายตา
การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย คือการต่อสู้ดิ้นรนอันแสนยากลำเข็ญเหน็ดเหนื่อย และเป็นสงครามที่ไม่มีวันสิ้นสุด
พวกเราสู้มานาน แต่เผด็จการอำนาจนิยมยักษ์ใหญ่อย่างพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ยังไม่หายไปจากโลก คอยกัดกร่อนความเชื่อของเราอยู่ดี ก่อนหน้านี้ การต่อสู้กับเผด็จการเป็นแค่เรื่องในจีนแผ่นดินใหญ่เท่านั้น ต่อจากนั้นก็เป็นคิวของฮ่องกงกับไต้หวัน ตอนนี้กลายเป็นเรื่องของทั้งเอเชีย รวมถึงไทยด้วย เพราะจีนกำลังขยายอำนาจผ่านนโยบาย Belt and Road Initiative
มันเป็นการต่อสู้ในระยะยาว แม้ว่าเราอาจไม่ชนะทุกสมรภูมิ แต่เชื่อว่าเราจะชนะสงครามเพื่อประชาธิปไตยได้
แน่นอนว่าตลอดเส้นทางการต่อสู้ มีทั้งช่วงเวลาที่สว่างไสวและช่วงเวลาที่มืดมน คุณจัดการกับความกลัวและความผิดหวังอย่างไร
บางครั้งพวกเราเหนื่อย เราอ่อนแรง มีวันที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้างเพราะพ่ายแพ้ระหว่างทางเส้นทางการต่อสู้ แต่เรารู้ดีว่าฮ่องกงยังมีคนรุ่นใหม่และเพื่อนร่วมทางที่เชื่อเหมือนกับเรา แม้จะรู้อยู่ในใจว่ากำลังต่อกรอยู่กับเผด็จการที่ทรงพลังที่สุดในโลกก็ตาม ผมต้องเชื่อมั่นในทีมและทุกคนที่ร่วมสู้ด้วย
คุณเคยกล่าวไว้ว่าฮ่องกงใต้ร่มเงากฎหมายความมั่นคงเปรียบเสมือนฝันร้าย คุณหล่อเลี้ยงความหวังเอาไว้อย่างไร
สิ่งที่เราเรียนรู้จากการสู้ในปี 2019 คือ เราต้องต้านเผด็จการต่อไป ต้องไม่ลังเลที่จะลงมือต่อสู้ เพราะการกระทำเสียงดังกว่าคำพูด
ผมเชื่อว่า ความไว้เนื้อเชื่อใจและภราดรภาพจะช่วยเสริมให้ทุกคนร่วมสู้ต่อไปด้วยกันได้อย่างหนักแน่นมากขึ้น
คุณเคยเขียนไว้ว่า “ความหวังจะยังอยู่ต่อไปได้ตราบเท่าที่เรายังฝันและสู้เพื่อมัน”
ผู้คนมักบอกว่ามองไม่เห็นความหวัง แต่ที่จริงแล้วความหวังคือผลลัพธ์ตามมาจากการมีส่วนร่วมลงแรงเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม
ในขณะที่โลกตะวันออกกำลังต่อสู้ดิ้นรนเพื่อประชาธิปไตย เรากลับเห็นประชาธิปไตยในโลกตะวันตกกำลังถอยร่น ทำไมประชาธิปไตยยังคงมีความหมายอยู่
การที่ประชาธิปไตยในโลกตะวันตกตกต่ำลง ไม่ได้ลดทอนให้การต่อสู้เพื่อเสรีภาพของเราหมดความหมายลงเลยแต่อย่างใด โดยเฉพาะในเมื่อรัฐบาลของเราไม่ได้มาจากอำนาจของประชาชน หนำซ้ำยังคุกคามเสรีภาพของผู้คนอีกด้วย
แล้วการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมีความหมายอะไรสำหรับคุณ คุณนิยามมันอย่างไร
การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยหมายความว่า เราควรเป็นเจ้าของบ้านที่เราอาศัยอยู่อย่างแท้จริง