Immediacy: สิทธิในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา (ที่หายไป)

Immediacy: สิทธิในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา (ที่หายไป)

ปกป้อง ศรีสนิท เรื่อง

ภาพิมล หล่อตระกูล ภาพประกอบ

Book vector created by macrovector – www.freepik.com

I

 

การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลทำได้ทั้งใน ‘ปัญหาข้อเท็จจริง’ (questions of fact) และ ‘ปัญหาข้อกฎหมาย’ (questions of law) ในคดีอาญา ปัญหาข้อเท็จจริง คือ ปัญหาที่ต้องใช้พยานหลักฐานต่างๆ มาพิสูจน์ให้ศาลเชื่อว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร ส่วนปัญหาข้อกฎหมายคือปัญหาที่ว่าการกระทำแบบนั้นเป็นความผิดหรือไม่เป็นความผิดตามกฎหมายใด มาตราใด

ตัวอย่างเช่น คนร้ายใช้มีดแทงผู้อื่นตาย ปัญหาที่ว่าใครแทงใคร แทงกี่ครั้ง แผลอยู่ส่วนใดของร่างกาย ตายจากการแทงหรือตายจากเหตุอื่น ล้วนเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ต้องเอาพยานทั้งหลายมาสืบ ส่วนเมื่อปัญหาข้อเท็จจริงยุติชัดแล้ว ปัญหาที่ว่าคนร้ายจะต้องรับผิดฐานเจตนาฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ซึ่งต้องรับโทษหนัก หรือรับผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา 290 ซึ่งโทษเบากว่า เป็นประเด็นปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลอ่านกฎหมาย ตีความ และวินิจฉัยได้เอง

 

II

 

ในการตัดสินปัญหาข้อเท็จจริง มีหลักพื้นฐานหลักหนึ่งในกระบวนการยุติธรรมที่เรียกว่า ‘the principle of immediacy’[1] ผมขอแปลเป็นไทยว่า ‘หลักผู้พิพากษาต้องสัมผัสพยาน’ โดยหลักการนี้ผู้พิพากษาที่วินิจฉัยชี้ขาดปัญหาข้อเท็จจริงจะต้องเป็นผู้สืบพยาน เพื่อจะเห็นสีหน้า อากัปกริยาของพยานขณะเบิกความ เพื่อประกอบการชั่งน้ำหนักพยานแต่ละคน พยานจะพูดจริงหรือพูดเท็จ คนที่เห็นพยานพูดเท่านั้นที่จะบอกได้ ส่วนปัญหาข้อกฎหมาย ไม่ต้องใช้หลัก immediacy เพราะศาลที่ตัดสินปัญหาข้อกฎหมายไม่ต้องสืบพยาน เพียงเปิดตัวบทกฎหมายและตีความกฎหมายไป

หลักผู้พิพากษาต้องสัมผัสพยานได้รับการรับรองโดยศาลสิทธิมนุษยชนยุโรป[2] ในฐานะเป็นสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม (fair trial) ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของสิทธิมนุษยชนที่รับรองไว้ในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง[3] ดังนั้น ผู้พิพากษาที่ไม่ได้นั่งฟังการสืบพยาน ไม่อาจทำคำพิพากษาในคดีอาญาได้  ถือว่าเป็นการขัดต่อสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม (fair trial) เรียกง่ายๆ ว่า หากผู้พิพากษาไม่ได้เห็นพยานแล้วมาตัดสินลงโทษจำเลยย่อมไม่เป็นธรรมกับจำเลยที่ถูกลงโทษ

ผู้พิพากษาที่ทำคำพิพากษาคดีอาญาจะต้องนั่งพิจารณารับฟังการสืบพยานจนจบการพิจารณา หากมีการเปลี่ยนองค์คณะผู้พิพากษา โดยหลักแล้วจะต้องมีการสืบพยานใหม่ โดยเฉพาะพยานปากสำคัญ[4] ในทางตรงข้าม หากผู้พิพากษาคนใดไม่ได้เป็นผู้นั่งพิจารณาสืบพยาน อ่านเพียงสำนวนหรือบันทึก (transcript) ของผู้พิพากษาคนก่อน ผู้พิพากษาคนนั้นไม่อาจทำคำพิพากษาได้ โดยเฉพาะในกรณีลงโทษจำเลย เหตุผลของหลักดังกล่าว คือ ในคดีอาญา ลักษณะท่าทางของพยานและความน่าเชื่อถือของพยานมีผลอย่างยิ่งกับผลของคำพิพากษา[5] ผู้พิพากษาที่เห็นอากัปกริยาของพยานขณะเบิกความเท่านั้นที่อยู่ในจุดที่ดีที่สุดที่จะให้น้ำหนักพยานแต่ละคน และบอกได้ว่าพยานที่เบิกความน่าเชื่อถือหรือไม่น่าเชื่อถือ

หลัก immediacy นำไปใช้กับการพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาด้วย หมายถึง ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาถ้าต้องวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงก็ต้องสัมผัสพยานหลักฐานด้วยตัวเองเช่นเดียวกัน มีคดีหนึ่งเกิดขึ้นที่โรมาเนีย ชื่อคดี HANU v. ROMANIA ซึ่งศาลสิทธิมนุษยชนยุโรปพิพากษาว่าศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาโรมาเนียละเมิดหลัก immediacy เพราะศาลอุทธรณ์โรมาเนียไม่ได้สืบพยาน ศาลสิทธิมนุษยชนยุโรปจึงสั่งให้โรมาเนียชดใช้ค่าเสียหายให้กับจำเลย

 

III

 

รายละเอียดคดี HANU v. ROMANIA, 4 June 2013[6] มีดังนี้

นาย Hanu เป็นเจ้าหน้าที่ศาลที่ถูกกล่าวหาว่าได้เรียกและรับสินบนเพื่อแลกกับการบังคับคดีตามคำพิพากษา โดยคนที่มาแจ้งความคือ M.M. และ G.A. ซึ่งเป็นคนที่อ้างว่าถูกนาย Hanu เรียกสินบน

อัยการฟ้องนาย Hanu เป็นจำเลยต่อศาลข้อหารับสินบน (bribery) และใช้อำนาจโดยมิชอบ (abuse of power) โดยมีพยานหลักฐานคือ คำกล่าวหาของ M.M. และ G.A. พยานบุคคลอื่น และบันทึกเหตุการณ์ของตำรวจในวันนัดหมายส่งมอบเงินสินบน

ศาลชั้นต้น (Constanţa County Court) ทำการสืบพยาน รับฟังพยานทุกปากจนจบ แล้วพิพากษายกฟ้อง โดยให้เหตุผลว่าพยานหลักฐานไม่อาจพิสูจน์ได้ว่านาย Hanu กระทำความผิด เพราะไม่มีพยานคนใดเห็นเหตุการณ์ว่านาย Hanu รับสินบน มีเพียงคำกล่าวโทษของผู้ที่อ้างว่านาย Hanu รับสินบน และพยานบุคคลที่มาเบิกความก็ไม่ได้เห็นเหตุการณ์แต่เป็นเพียงผู้รับฟังเรื่องเล่าจากคนอื่นมาอีกต่อหนึ่ง[7] นอกจากนี้พยานบุคคลบางคนยังเป็นญาติกับผู้ที่กล่าวหานาย Hanu อีกด้วย แม้จะมีเทปบันทึกเสียงเป็นพยานขณะที่มีการนัดหมายส่งมอบเงิน ก็ไม่มีช่วงใดเลยที่แสดงถึงการกระทำผิดของนาย Hanu

ต่อมาอัยการอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ นาย Hanu ต่อสู้ว่าตนเองไม่ได้กระทำความผิด ในชั้นศาลอุทธรณ์ของโรมาเนียไม่มีการสืบพยานใดๆ ศาลอุทธรณ์เพียงอนุญาตให้นาย Hanu มาแถลงด้วยวาจา ซึ่งนาย Hanu ได้แถลงว่าตนเองไม่ได้กระทำความผิด ศาลอุทธรณ์โรมาเนียอ่านสำนวนที่ศาลชั้นต้นบันทึกไว้แล้วพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น โดยพิพากษาว่านาย Hanu มีความผิดและลงโทษนาย Hanu จำคุก 3 ปี โดยให้รอการลงโทษ ศาลอุทธรณ์ให้เหตุผลว่าพยานหลักฐานในสำนวนเพียงพอที่จะฟังได้แล้วว่านาย Hanu เป็นผู้กระทำความผิดฐานรับสินบนและใช้อำนาจโดยมิชอบ

นาย Hanu ยื่นฎีกาต่อศาลฎีกาในประเด็นข้อกฎหมายว่า ศาลอุทธรณ์ไม่ได้สืบพยานและไม่ได้ฟังพยานหลักฐานด้วยตนเอง ไม่อาจลงโทษนาย Hanu ได้ อีกทั้งศาลอุทธรณ์ไม่ได้ฟังเทปบันทึกเสียงวันเกิดเหตุที่นาย Hanu พยายามยื่นเป็นหลักฐานต่อศาลอีกด้วย

ศาลฎีกาโรมาเนีย (Supreme Court of Justice) อ่านสำนวนศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ โดยไม่มีการเรียกพยานมาสืบเช่นกัน และพิพากษายกฎีกาของนาย Hanu (หมายถึงเห็นด้วยกับการที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษนาย Hanu) ด้วยเหตุผลว่า ศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาพยานหลักฐานทั้งหมดอย่างถูกต้องแล้วจึงฟังได้ว่านาย Hanu มีความผิดจริง

นาย Hanu ไม่พอใจคำพิพากษาศาลฎีกาโรมาเนียจึงไปฟ้องศาลสิทธิมนุษยชนยุโรป คราวนี้นาย Hanu กลายเป็นผู้ร้อง และรัฐบาลโรมาเนียกลายเป็นผู้ถูกร้องที่ต้องมาต่อสู้คดี นาย Hanu ยกประเด็นว่า “ศาลอุทธรณ์โรมาเนียไม่ได้สืบพยานเอง อ่านแต่สิ่งที่ศาลชั้นต้นบันทึกไว้ ขัดกับหลักการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม (fair trial) นอกจากนี้ ศาลอุทธรณ์โรมาเนียควรที่จะแสดงบทบาทเชิงรุก (active) ในการหาความจริง แม้นาย Hanu ไม่ได้ขอให้ศาลอุทธรณ์สืบพยานก็ตาม เพราะศาลอุทธรณ์ควรสืบพยานใหม่ถ้าจะลงโทษนาย Hanu”

รัฐบาลโรมาเนีย (ซึ่งตอนนี้กลับมาเป็นคนถูกฟ้อง) ยกข้อต่อสู้ว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นได้สืบพยานและรับฟังพยานทั้งปวงครบถ้วนแล้วบันทึกไว้ในสำนวน ศาลอุทธรณ์ก็ได้พิจารณาพยานหลักฐานทั้งหมดโดยอ่านคำเบิกความของพยานทั้งหมดในสำนวนที่ศาลชั้นต้นเขียนไว้โดยละเอียดแล้ว นอกจากนี้รัฐบาลโรมาเนียโบ้ยกลับไปว่านาย Hanu เองต่างหากที่ไม่ได้ร้องขอให้ศาลอุทธรณ์เรียกพยานมาสืบใหม่”

ศาลสิทธิมนุษยชนยุโรปวินิจฉัยให้นาย Hanu ชนะคดี โดยให้เหตุผลที่สรุปได้ว่า

1. ศาลอุทธรณ์โรมาเนียได้วินิจฉัยในปัญหาข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีความผิดหรือเป็นผู้บริสุทธิ์ โดยที่ศาลอุทธรณ์โรมาเนียไม่ได้เห็นพยาน ศาลอุทธรณ์โรมาเนียต้องทำการสืบพยานใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อศาลอุทธรณ์โรมาเนียเป็นศาลแรกที่พิพากษาลงโทษนาย Hanu (เพราะศาลชั้นต้นเขายกฟ้อง)

2. ศาลฎีกาโรมาเนียควรส่งเรื่องกลับไปให้ศาลอุทธรณ์โรมาเนียสืบพยานอีกครั้งและพิพากษาใหม่โดยจะพิพากษาลงโทษหรือปล่อยตัวก็ได้ แต่ขอให้สืบพยานด้วยตัวเองก่อน ซึ่งกฎหมายโรมาเนียก็เปิดช่องให้ทำได้ แต่ศาลฎีกาโรมาเนียไม่ทำเช่นนั้น กลับอ่านเพียงสำนวนศาลชั้นต้นแล้วยืนยันสิ่งที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษนาย Hanu

3. การที่ศาลอุทธรณ์โรมาเนียไม่เปิดการสืบพยานรับฟังพยานหลักฐานอีกครั้ง และการที่ศาลฎีกาโรมาเนียไม่ย้อนสำนวนกลับไปให้ศาลอุทธรณ์ทำการสืบพยานใหม่ เป็นการกระทบสิทธิการต่อสู้คดีของจำเลย เพราะการที่ศาลที่ตัดสินคดีได้เห็นท่าทางและความน่าเชื่อถือของพยานบุคคลมีผลสำคัญต่อการตัดสินคดี

4. นาย Hanu ได้ให้ข้อมูลที่เพียงพอที่จะให้ศาลอุทธรณ์เปิดการสืบพยานใหม่ได้แล้ว แม้นาย Hanu ไม่ได้ร้องขอให้ศาลอุทธรณ์สืบพยานใหม่โดยตรงก็ตาม แต่ศาลอุทธรณ์โรมาเนียควรมีบทบาทเชิงรุกในการสั่งให้มีการสืบพยานใหม่เพื่อหาความจริง

5. วิธีพิจารณาของศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาโรมาเนียไม่สอดคล้องกับหลักการดำเนินคดีที่เป็นธรรม (fair trial) ซึ่งเป็นการละเมิดอนุสัญญาสิทธิมนุษยชนยุโรป ข้อ 6 §1 เพื่อเป็นการเยียวยาความเสียหายให้นาย Hanu ศาลสิทธิมนุษยชนยุโรปสั่งให้โรมาเนียจ่ายค่าเสียหายให้นาย Hanu 3,000 ยูโร พร้อมกับค่าใช้จ่ายทางคดีอีก 180 ยูโร และให้นาย Hanu สามารถร้องขอให้ศาลโรมาเนียเปิดการพิจารณาพิพากษาคดีของตนใหม่ได้อีกครั้งหนึ่ง

 

IV

 

กลับมาที่ประเทศไทย รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ในมาตรา 236 บัญญัติว่า “การนั่งพิจารณาคดีของศาลต้องมีผู้พิพากษาหรือตุลาการครบองค์คณะ และผู้พิพากษาหรือตุลาการซึ่งมิได้นั่งพิจารณาคดีใด จะทำคำพิพากษาหรือคำวินิจฉัยคดีนั้นมิได้ เว้นแต่มีเหตุสุดวิสัยหรือมีเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ” มาตรา 236 นี้ก็คือหลัก immediacy ที่ครั้งหนึ่งเคยมีค่าเป็นรัฐธรรมนูญของไทย น่าเสียดายที่หลัก immediacy ที่เคยมีอยู่ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ได้หายไปจากรัฐธรรมนูญฉบับต่อมา รวมทั้งฉบับปัจจุบัน

นอกจากนี้หลัก immediacy ไม่ได้ถูกนำใช้ในประเทศไทยในการพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาไทยไม่ได้สืบพยาน[8] การสืบพยานมีรอบเดียวที่ศาลชั้นต้น ศาลสูงไทยจึงพิพากษาคดีโดยอ่านสิ่งที่ศาลชั้นต้นบันทึกไว้แล้วพิพากษาทั้งข้อเท็จจริง[9]และข้อกฎหมาย แม้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเปิดให้ศาลสูงสืบพยานได้ก็ตาม[10]

ศาสตราจารย์ ดร. คณิต ณ นคร ผู้มีบทบาทสำคัญในการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมผ่านทางรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ท่านเสนอให้ศาลอุทธรณ์เป็นศาลที่ต้องทำการสืบพยาน (trial court) ผมฟังสิ่งที่ท่านอาจารย์คณิตพูดแล้วนึกถึงหลัก immediacy ซึ่งหายไปในประเทศไทย แต่ในยุโรปถือเป็นสิทธิมนุษยชนอย่างหนึ่งในฐานะของสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม (fair trial)

ทางออกของเรื่องนี้มีทางเลือกอยู่สามทาง คือ

ทางที่หนึ่ง ไม่ต้องสนใจหลัก immediacy ทำตามแนวปฏิบัติของไทยต่อไป

ทางที่สอง ให้ศาลอุทธรณ์ทำหน้าที่สืบพยาน แบบที่ท่านอาจารย์คณิตเสนอ โดยเฉพาะในกรณีที่ศาลอุทธรณ์เป็นศาลแรกที่ลงโทษจำเลย[11]และมีประเด็นต่อสู้กันในเรื่องความน่าเชื่อถือของพยานที่มีผลต่อการตัดสินความผิดของจำเลย ส่วนศาลฎีกาควรทำหน้าที่ตัดสินปัญหาข้อกฎหมายเท่านั้น แบบศาลฎีกาในหลายๆ ประเทศ

ทางที่สาม บันทึกการสืบพยานในศาลชั้นต้นไว้ด้วยภาพและเสียงเพื่อให้ศาลสูงมาเปิดดูการสืบพยานได้ ซึ่งในปัจจุบัน กฎหมายเปิดให้ทำได้แล้วในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 172 วรรค 4 แม้ทางที่สามนี้จะไม่ดีเท่ากับการที่ศาลอุทธรณ์เห็นพยานเอง แต่ก็น่าจะดีกว่าการตัดสินใจจากการอ่านสิ่งที่ศาลชั้นต้นเขียนไว้

การอภิปรายเรื่องหลัก immediacy ไม่ได้โต้เถียงกันในประเด็นที่ว่าผู้พิพากษาศาลสูงมีประสบการณ์ในการรับฟังพยานหลักฐานมากกว่าผู้พิพากษาศาลชั้นต้น เราจึงควรเชื่อประสบการณ์และการตัดสินใจของศาลสูง เพราะประเด็นในเรื่องนี้อยู่ที่ว่าศาลสูงได้ฟังพยานด้วยตนเองหรือไม่ต่างหาก ดังเช่นในคดี HANU v. ROMANIA ก็ไม่ได้เถียงกันเลยว่าศาลสูงหรือศาลชั้นต้นมีประสบการณ์มากกว่ากัน

หากพยานสองข้างพูดขัดแย้งกันในเหตุการณ์เดียวกัน คงมีคนใดคนหนึ่งที่พูดโกหก และ “ถ้าเราจะต้องจับโกหกคน เราอยากจับโกหกตอนเขาพูด หรือ เราอยากจับที่ตัวอักษรที่มีคนบันทึกไว้ว่าเขาพูดว่าอย่างไร”

 

 


[1] European Court of Human Rights, Guide on Article 6 of the Convention – Right to a fair trial (criminal limb), 31.12.2019, para. 232-237.

[2] European Court of Human Rights, Guide on Article 6 of the Convention – Right to a fair trial (criminal limb), 31.12.2019, para. 232.

[3] ICCPR, Article 14.1 “All persons shall be equal before the courts and tribunals. In the determination of any criminal charge against him, or of his rights and obligations in a suit at law, everyone shall be entitled to a fair and public hearing by a competent, independent and impartial tribunal established by law…”

[4] P.K. v. Finland, The European Court of Human Rights (Fourth Section), 9 July 2002.

[5] European Court of Human Rights, Guide on Article 6 of the Convention – Right to a fair trial (criminal limb), 31.12.2019, para. 232.

[6] Case of HANU v. ROMANIA, Application no. 10890/04.

[7] กฎหมายไทยเรียกพยานเหล่านี้ว่า ‘พยานบอกเล่า’ ซึ่งโดยหลักจะไม่รับฟัง แต่หากจะรับฟังก็จะมีน้ำหนักน้อย

[8] ภารกิจและหน้าที่รับผิดชอบของศาลอุทธรณ์

[9] แม้มีบทต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงบ้างในคดีที่โทษไม่สูงมากในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218, 219, 219 ทวิ

[10] ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 203 “ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาโดยเปิดเผยเฉพาะแต่ในกรณีที่นัดหรืออนุญาตให้คู่ความมาพร้อมกัน หรือมีการสืบพยาน”

[11] หมายถึง ศาลชั้นต้นยกฟ้องปล่อยตัวจำเลย

MOST READ

Politics

16 Dec 2021

สิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับและถูกควบคุมตัว (ตอนที่ 1) : เหตุใดจึงต้องพบศาล และต้องพบศาลเมื่อใด

ปกป้อง ศรีสนิท อธิบายถึงวิธีคิดของสิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับกุมและควบคุมตัว และบทบาทของศาลในการพิทักษ์เสรีภาพปัจเจกชน

ปกป้อง ศรีสนิท

16 Dec 2021

Politics

25 Jan 2024

ผู้พิพากษาอาวุโสมีไว้มากมาย… ทำไม

‘ใบตองแห้ง’ ชวนสำรวจเงินเดือนของเหล่าผู้พิพากษาอาวุโส ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี และชวนตั้งคำถามว่า บทบาทหน้าที่ของผู้พิพากษาอาวุโสเหล่านี้คืออะไร สร้างประโยชน์ใดให้แก่กระบวนการยุติธรรมไทยบ้าง

อธึกกิต แสวงสุข

25 Jan 2024

Politics

23 Feb 2023

จากสู้บนถนน สู่คนในสภา: 4 ปีชีวิตนักการเมืองของอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล

101 ชวนอมรัตน์สนทนาว่าด้วยข้อเรียกร้องจากนอกสภาฯ ถึงการถกเถียงในสภาฯ โจทย์การเมืองของก้าวไกลในการเลือกตั้ง บทเรียนในการทำงานการเมืองกว่า 4 ปี คอขวดของการพัฒนาสังคมไทย และบทบาทในอนาคตของเธอในการเมืองไทย

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

23 Feb 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save