อาเซียนสี่แพร่ง ประชาธิปไตยหรือเผด็จการ รัฐสั่งการหรือตลาดนำ

อาเซียนสี่แพร่ง ประชาธิปไตยหรือเผด็จการ รัฐสั่งการหรือตลาดนำ

วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร เรื่อง

 

อาเซียน (ASEAN) กลับมาเป็นพาดหัวข่าวอีกครั้งเมื่อถึงกำหนดเปลี่ยนตำแหน่งประธาน ซึ่งโดยปกติก็ยึดหลักการหมุนเวียนตามลำดับพยัญชนะภาษาอังกฤษ เมื่อ S – Singapore กำลังจะหมดวาระลงในปีนี้ ปีหน้าจึงเป็นคราวของ T– Thailand อีกครั้ง

เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา เมื่อบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ จาการ์ตาโพสต์ เขียนบทความแสดงความเห็นว่า เนื่องจากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยการรัฐประหาร และสร้างระบอบเผด็จการที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน จึงไม่สมควรดำรงตำแหน่ง ประธานอาเซียน ท่ามกลางกระแสประชาธิปไตยที่กำลังเบ่งบานของภูมิภาค

ระบอบการเมือง” จึงกลับมาเป็นหัวข้อถกเถียงอีกครั้ง ในบริบทเวทีความร่วมมือระหว่างประเทศที่มีรากฐานมาจากความพยายามสร้างเขตการค้าเสรี เพื่อส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจของสมาชิก

อินโดนีเซียและประเทศอื่นจะวางตัวอย่างไร ต่อรองหลังบ้านหรือจับมือประสานกันต่อไป

ประธานอาเซียนกลายเป็นประเด็นที่น่าจับตาจากแง่มุมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

อันที่จริง ความไม่ลงรอยภายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหัวข้อที่แวดวงเศรษฐศาสตร์การเมืองให้ความสำคัญมาระยะหนึ่งแล้ว

ความสนใจไม่ได้พุ่งไปที่การเมืองเรื่องตำแหน่งประธาน แต่สนใจวิธีที่แต่ละประเทศจัดการกับทุนนิยมและผลลัพธ์ที่ออกมาต่างกัน

เป็นที่ทราบกันดีว่านี่คือภูมิภาคแห่งความแตกต่างหลากหลาย ประชากร 625 ล้านคนและผลผลิตมูลค่า 2,500 ล้านล้านดอลลาร์ของอาเซียนอยู่ภายใต้ระบอบการเมืองหลากเฉดสี ไล่มาตั้งแต่สมบูรณาญาสิทธิราชย์ พรรคคอมมิวนิสต์ เผด็จการทหาร จนถึงระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐ

นอกจากความร่วมมือผ่านการค้าและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมภายในภูมิภาคแล้ว ประเทศต่างๆ ในอาเซียนก็มีสถานะเป็น “คู่แข่ง” ระหว่างกันด้วย อย่างน้อยก็ในสองด้าน

ในด้านหนึ่ง ด้วยความที่เป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ที่มีการส่งออกเป็นกลจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจ บรรดาประเทศอาเซียนจึงต้องแข่งกันแย่งชิงเงินลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) และตลาดส่งออกสินค้าที่อยู่ภายนอกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน โดยเฉพาะประเทศตะวันตกและญี่ปุ่น

ในอีกด้านหนึ่ง แต่ละประเทศในอาเซียนก็เบียดแย่งแข่งขันกันเพื่อจะก้าวขึ้นมาเป็นประเทศร่ำรวย เพราะถึงแม้จะเป็นภูมิภาคที่เติบโตว่องไว แต่นอกจากสิงคโปร์กับบรูไนแล้ว ประเทศอื่นๆ ก็ยังมีสถานะเป็นเพียงประเทศรายได้น้อยหรือรายได้ปานกลางเท่านั้น ความชอบธรรมและชะตากรรมของผู้นำทุกประเทศล้วนผูกอยู่กับการพัฒนาเศรษฐกิจไม่มากก็น้อย

การแข่งขันกันระหว่างประเทศอาเซียนจึงเป็นประเด็นศึกษาที่น่าสนใจทางเศรษฐศาสตร์การเมือง เพราะแต่ละประเทศมีกลไกการจัดการทุนนิยมที่แตกต่างกันออกไป ทิศทางการพัฒนาและความท้าทายของแต่ละประเทศจึงต่างกันไปด้วย

แค่ในกลุ่มห้าประเทศหลักอย่างอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เวียดนาม และไทย เราก็เห็นรูปแบบเศรษฐกิจการเมืองที่ต่างกันสี่แบบแล้ว

 

การเมือง/เศรษฐกิจ ประชาธิปไตย

เผด็จการหรือรัฐบาลพรรคเดียว

รัฐนำทุนและตลาด อินโดนีเซีย มาเลเซีย

เวียดนาม

ทุนและตลาดนำรัฐ ฟิลิปปินส์

ไทย

 

ถึงแม้อินโดนีเซียและฟิลิปินส์จะเป็นประชาธิปไตยที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุขเหมือนกัน แต่รัฐบาลอินโดนีเซียในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมามีแนวโน้มเข้ามาชี้นำกลไกตลาดมากขึ้น ตรงกันข้ามกับฟิลิปปินส์ที่มีแนวทางสนับสนุนกลไกตลาดและเปิดเสรีมากกว่า

ระบอบเผด็จการในอาเซียนก็มีหลายเฉด เวียดนามเป็นสาธารณรัฐสังคมนิยมที่มีพรรคคอมมิวนิสต์ปกครอง ในขณะที่มาเลเซีย ถึงแม้จะมีการเลือกตั้งต่อเนื่องแต่ก็ถูกผูกขาดโดยพรรค UMNO มายาวนานกว่า 60 ปี (ก่อนจะพ่ายแพ้การเลือกตั้งในปี 2018) อย่างไรก็ดี ทั้งเวียดนามและมาเลเซียก็มีแนวทางใกล้เคียงกันในการจัดการเศรษฐกิจ คือรัฐค่อนข้างมีบทบาทนำในการจัดสรรทรัพยากรและกำหนดทิศทางการพัฒนาผ่านแผนเศรษฐกิจและนโยบายอุตสาหกรรมที่เป็นรูปธรรม

ประเทศไทยซึ่งอยู่ภายใต้รัฐบาลทหารก็ต่างจากเวียดนามและมาเลเซียในด้านการจัดการเศรษฐกิจ เพราะรัฐปล่อยให้ทุนใหญ่เป็นผู้กำหนดทิศทางและเป็นความหวังในการเติบโตของประเทศ ดังที่เห็นชัดเจนผ่านโครงการต่างๆ ของประชารัฐ

ห้าประเทศ สี่แนวทางการจัดการทุนนิยม

วิถีการพัฒนาเศรษฐกิจและความท้าทายจึงต่างกัน

ประเทศที่ค่อนข้างเปิดอย่างฟิลิปปินส์ เอื้อต่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจตามกระแสโลก เช่น การเคลื่อนย้ายสู่ภาคบริการ โดยเฉพาะการจ้างทำกระบวนการธุรกิจ (business process outsourcing) ที่ขยายตัวรวดเร็ว ประเมินกันว่าการเติบโตต่อเนื่องหลายปีของฟิลิปปินส์ช่วยลดจำนวนผู้มีรายได้น้อยลงได้ถึงหลักล้านคนต่อปีทีเดียว อย่างไรก็ตาม ภาวะเปิดทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจก็ทำให้ทิศทางการพัฒนาของฟิลิปปินส์อ่อนไหวต่อตลาดต่างประเทศมากเป็นพิเศษ ในขณะที่แรงจูงใจในการกำหนดนโยบายของผู้นำก็มักมองผลประโยชน์ระยะสั้นมากกว่าการเปลี่ยนแปลงระยะยาว

ประเทศประชาธิปไตยที่รัฐเข้ามาจัดการเศรษฐกิจเข้มข้นกว่าอย่างอินโดนีเซียลดจุดอ่อนบางด้านของฟิลิปปินส์ได้ งานวิจัยจำนวนมากพบว่า หลังการล่มสลายของระบอบซูฮาร์โต รัฐบาลท้องถิ่นของอินโดนีเซียมีอำนาจมากขึ้นในการต่อรองกับบรรษัทข้ามชาติที่เข้ามาลงทุนในพื้นที่ เพื่อส่งเสริมการจ้างงานและมูลค่าเพิ่มให้กับแรงงาน แต่ความท้าทายหลักก็อยู่ที่ความไม่สอดคล้องกันระหว่างนโยบายรัฐบาลส่วนกลางกับรัฐบาลท้องถิ่นที่นำไปสู่ความลักลั่นของการพัฒนาระหว่างพื้นที่

โจทย์ของประเทศเผด็จการต่างออกไป ระบบปิดไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลทหารหรือพรรคคอมมิวนิสต์ต่างลดการแข่งขันทางการเมืองและระบบตรวจสอบไปโดยปริยาย ผู้นำประเทศกลุ่มนี้ (เวียดนาม มาเลเซีย และไทย) มักสร้างความชอบธรรมผ่านการวางยุทธศาสตร์ชาติระยะยาว แต่ก็มักเป็นยุทธศาสตร์ที่ประชาชนไม่ได้เลือก ทั้งยังกีดกันกระบวนการประเมินผลลัพธ์ในอนาคตผ่านระบบกฎหมายและองค์กรแต่งตั้ง กลายเป็นต้นทุนที่ต้องแลกกับรูปแบบการจัดการแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

ความหลากหลายของทิศทางการพัฒนาและความท้าทายที่ต่างกันนี้ได้รับผลไม่น้อยจากกลไกการจัดการทุนนิยมที่แตกต่างกัน (ประชาธิปไตยหรือเผด็จการ + รัฐสั่งการหรือตลาดนำ)

คำถามก็คือ ถ้าเช่นนั้นจะมีสิ่งที่เรียกว่า โมเดลการพัฒนาแบบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือไม่?

เราเคยได้ยินแนวทางการพัฒนาของภูมิภาคอื่นกันมาแล้ว อาทิ ทุนนิยมแบบตะวันตก หรืออีสต์เอเชียนโมเดล (ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน)

ภูมิภาคอุษาคเนย์ของเราจะสามารถเป็นกรณีศึกษาให้กับประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ได้หรือไม่

ถ้าไม่นับบรูไนที่ร่ำรวยด้วยน้ำมัน สิงคโปร์เป็นประเทศเดียวของอาเซียนที่ยกระดับจากประเทศยากจนขึ้นมาเป็นประเทศร่ำรวยได้สำเร็จ

สิงคโปร์ควรถูกจัดเข้ากลุ่มเดียวกับมาเลเซียและเวียดนาม คือเป็นประเทศ “เผด็จการที่มีรัฐนำตลาด”เพราะถึงแม้จะมีการเลือกตั้งเป็นระยะ แต่อิทธิพลของพรรครัฐบาลอย่าง People’s Action Party (PAP) ก็ครอบงำการเมืองและสังคมแทบทุกมิติ มีการควบคุมสื่อ ข้อมูลข่าวสาร และภาคประชาสังคมอย่างเคร่งครัดมาตั้งแต่ปี 1959 ในด้านเศรษฐกิจ รัฐบาล PAP ก็เปิดเสรีแบบมียุทธศาสตร์เสมอและใช้รัฐวิสาหกิจในการจัดการเศรษฐกิจอย่างแข็งขัน

แต่มีสิงคโปร์ประสบความสำเร็จเพียงประเทศเดียวย่อมไม่อาจนับเป็นโมเดลระดับภูมิภาคได้

ขึ้นกับว่าเสือตัวถัดไปจะเป็นใคร

หากประเทศรายได้สูงรายต่อไปเป็นอินโดนีเซียหรือฟิลิปปินส์ โลกประชาธิปไตยก็คงมีความหวัง และการพูดถึง “โมเดลการพัฒนา” คงค่อยๆ เสื่อมพลังลง เพราะเป็นการตอกย้ำว่าเส้นทางสู้แล้วรวยเต็มไปด้วยความหลากหลาย

แต่หากถัดจากสิงคโปร์ เป็นมาเลเซียหรือเวียดนามที่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นประเทศร่ำรวย

สิงคโปร์โมเดลจะค่อยๆ ยกระดับเป็นอาเซียนโมเดล กลายเป็นแนวทางใหม่ที่ฉีกไปจากประเทศตะวันตก ที่ต่อให้มีทุนนิยมหลายเฉด (อาทิ ทุนนิยมแข่งขันแบบอเมริกา ทุนนิยมประสานงานแบบเยอรมนี หรือทุนนิยมสวัสดิการแบบสแกนดิเนเวีย) แต่ก็ล้วนมีรากฐานอยู่ที่ระบอบประชาธิปไตยและกลไกตลาดนำเป็นหลัก

และอาจสร้างบรรทัดฐานใหม่ของการจัดการทุนนิยมในศตวรรษที่ 21

ถ้าเดิมพันมันสำคัญถึงเพียงนั้น ท่ามกลางทางแยกสี่แพร่งนี้ แนวทางไหนควรเป็น “ประธาน” การพัฒนาเศรษฐกิจของอาเซียน?

 

อ้างอิง

  • ผมอธิบายหลายประเด็นข้างต้นอย่างละเอียดกว่านี้ไว้ในบทความ Veerayooth Kanchoochat (2017) “Towards a Southeast Asian Variety of Capitalism?” ซึ่งอยู่ในหนังสือ Khoo Boo Teik, Keiichi Tsunekawa and Motoko Kawano (eds) Southeast Asia beyond Crises and Traps: Economic Growth and Upgrading. Tokyo: Palgrave Macmillan.
  • ข้อมูลเชิงประจักษ์ของแต่ละประเทศที่กล่าวถึง (ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม และไทย) อยู่ในบทต่างๆ ของหนังสือข้างต้นเช่นกัน
  • การแบ่งกลุ่ม ประชาธิปไตย/เผด็จการ + รัฐสั่งการ/ตลาดนำ นำมาจากรายละเอียดในหนังสือที่อ้างอิง ต้องย้ำว่าเป็นการประเมินเชิงเปรียบเทียบ ที่ลดความซับซ้อนลงเพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์ เพราะหากประเมินอย่างรัดกุม เช่นทางการเมือง ถ้าใช้ดัชนีประชาธิปไตยจาก Freedom House หรือ Democracy Index (Economist Intelligence Unit) อาจไม่มีประเทศใดในอาเซียนที่ควรนับเป็นประชาธิปไตยในปัจจุบัน ในขณะที่ด้านเศรษฐกิจก็มีความซับซ้อนรายสาขาและเชิงพื้นที่ เช่น อินโดนีเซียใช้บทบาทรัฐนำในหลายอุตสาหกรรม แต่ก็มีอีกหลายอุตสาหกรรมที่เปิดเสรี เป็นต้น
  • หากมาเลเซียก้าวขึ้นเป็นประเทศรายได้สูงด้วยพรรคอื่นที่ไม่ใช่ UMNO และมีการปรับทิศทางการพัฒนาอย่างชัดเจนจะทำให้ข้อถกเถียงซับซ้อนขึ้น เพราะจะเขยิบไปใกล้กับกรณีเกาหลีใต้และไต้หวันที่การไล่กวดช่วงแรกนำโดยเผด็จการทหาร ก่อนจะที่เกิดความขัดแย้งและเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยในระยะหลัง
  • ตัวอย่างงานอื่นที่วิเคราะห์โมเดลการพัฒนาของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น Hal Hill (2014) “Is There a Southeast Asian Development Model?” Malaysian Journal of Economic Affairs, 51(Special Issue): 89–111.

MOST READ

Political Economy

17 Aug 2023

มือที่มองไม่เห็นของ อดัม สมิธ: คำถามใหญ่ว่าด้วย ‘ธรรมชาติของมนุษย์’  

อั๊บ สิร นุกูลกิจ กะเทาะแนวคิด ‘มือที่มองไม่เห็น’ ของบิดาแห่งวิชาเศรษฐศาสตร์ อดัม สมิธ ซึ่งพบว่ายึดโยงถึงความเป็นไปตามธรรมชาติของมนุษย์

อั๊บ สิร นุกูลกิจ

17 Aug 2023

Political Economy

12 Feb 2021

Marxism ตายแล้ว? : เราจะคืนชีพใหม่ให้ ‘มาร์กซ์’ ในศตวรรษที่ 21 ได้หรือไม่?

101 ถอดรหัสความคิดและมรดกของ ‘มาร์กซ์’ ผู้เสนอแนวคิดสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ผ่าน 3 มุมมองจาก เกษียร เตชะพีระ, พิชิต ลิขิตสมบูรณ์ และสรวิศ ชัยนาม ในสรุปความจากงานเสวนา “อ่านมาร์กซ์ อ่านเศรษฐกิจการเมืองไทย” เพื่อหาคำตอบว่า มาร์กซ์คิดอะไร? มาร์กซ์ยังมีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 21 หรือไม่? และเราจะมองมาร์กซ์กับการเมืองไทยได้อย่างไรบ้าง

ณรจญา ตัญจพัฒน์กุล

12 Feb 2021

Economy

15 Mar 2018

การท่องเที่ยวกับเศรษฐกิจไทย

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ตั้งคำถาม ใครได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวบูม และเราจะบริหารจัดการผลประโยชน์และสร้างความยั่งยืนให้กับรายได้จากการท่องเที่ยวได้อย่างไร

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย

15 Mar 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save