อ่านหนังสือรัฐธรรมนูญ ฉบับ 'ซ้ายจัด ดัดจริต'

อ่านหนังสือรัฐธรรมนูญ ฉบับ ‘ซ้ายจัด ดัดจริต’

สมชาย ปรีชาศิลปกุล เรื่อง

Shin Egkantrong ภาพประกอบ

 

ในฐานะของผู้สอนหนังสือที่ได้ใช้หนังสือ ‘รัฐธรรมนูญ: ประวัติศาสตร์ข้อความคิด อำนาจสถาปนา และการเปลี่ยนผ่าน’ ของ รศ.ดร.ปิยบุตร แสงกนกกุล (อดีตอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสมาชิกของกลุ่มนิติราษฎร์) เป็นส่วนหนึ่งในเอกสารประกอบการสอนวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญในระดับปริญญาตรี และวิชารัฐธรรมนูญเปรียบเทียบในระดับปริญญาโท รู้สึกอัศจรรย์ใจมิใช่น้อยเมื่อคุณอุ๊ นำเอาหนังสือสองเล่มไปมอบให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินคดีกับผู้เขียน และ ‘รัฐธรรมนูญ: ประวัติศาสตร์ข้อความคิดฯ’ เป็นหนึ่งในหนังสือสองเล่มนั้น (อีกเล่มหนึ่งคือ ราชมัลลงทัณฑ์ บัลลังก์ปฏิรูป สำนักพิมพ์ Shine publishing house)

คุณอุ๊ หรือ หฤทัย ม่วงบุญศรี ได้ให้เหตุผลว่า “พบว่าหนังสือดังกล่าวมีเนื้อหาที่อาจเข้าข่ายกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ…แม้ว่าหนังสือดังกล่าวจะเขียนในเชิงวิชาการแต่มีเนื้อหาที่อาจกระทบกับระบบการปกครองไทย ซึ่งเป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขได้ จึงอยากให้ตำรวจตรวจสอบว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่” (‘อุ๊’ เดินต่อ ขยี้ ‘ปิยบุตร’ แจ้งความหนังสือ 2 เล่ม, มติชนรายวัน 4 เมษายน 2562)

แต่คุณอุ๊ ไม่ได้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าหนังสือทั้งสองเล่มมีเนื้อหาว่าด้วยเรื่องอะไร และประเด็นในส่วนใดที่จะกระทบต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยที่เป็นผู้กำหนดและแนะนำให้นักศึกษาควรจะต้องอ่านหนังสือ “รัฐธรรมนูญ: ประวัติศาสตร์ข้อความคิดฯ” จึงย่อมเป็นหน้าที่ของผมเช่นเดียวกันที่จะอธิบายว่าหนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาสำคัญและประเด็นที่น่าจะสนใจอย่างไร

และจะพอมีส่วนใดที่จะกระทบต่อการปกครองของไทยจริงหรือไม่ อันอาจทำให้หนังสือเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการล้างสมองคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นที่หวาดเกรงกันในหมู่ผู้คนจำนวนไม่น้อยในห้วงเวลาปัจจุบัน

 

ตำแหน่งแห่งที่และบริบทของ ‘รัฐธรรมนูญ: ประวัติศาสตร์ข้อความคิดฯ’

 

หนังสือเล่มนี้ถูกพิมพ์เผยแพร่เมื่อ พ.ศ. 2559 โดยสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน อันเป็นการรวบรวมบทความขนาดยาวของผู้เขียนซึ่งได้ตีพิมพ์เผยแพร่ระหว่าง พ.ศ. 2556 ถึง 2558 โดยส่วนใหญ่เป็นบทความที่เผยแพร่ในนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ มีเพียงบทความชิ้นเดียวที่ตีพิมพ์ในวารสารฟ้าเดียวกัน

ฉะนั้น จึงเป็นที่เข้าใจได้ในเบื้องต้นว่างานเขียนเหล่านี้ถูกผลิตขึ้นภายใต้ช่วงเวลาที่ความขัดแย้งทางการเมืองในสังคมไทยอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างฝ่ายที่สนับสนุนระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภากับฝ่ายที่สนับสนุนระบอบอำนาจนิยมโดย ‘คนดี’ หากพิจารณาจากแนวความคิดของกลุ่มนิติราษฎร์ ซึ่งเป็นกลุ่มนักกฎหมายที่มุ่งเน้นการสถาปนาหลักนิติรัฐ ระบอบรัฐธรรมนูญนิยม ก็ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าปิยบุตร ซึ่งสังกัดอยู่ในกลุ่มก็ย่อมจะมีแนวความคิดไปในทิศทางเดียวกัน

ในส่วนของรูปแบบการนำเสนอ หนังสือเล่มนี้มิใช่ตำราเรียนโดยตรงเฉกเช่นคำอธิบายกฎหมายรัฐธรรมนูญของนักวิชาการอีกหลายคน แต่เป็นงานที่เผยแพร่สู่สาธารณะในแวดวงที่กว้างขวางกว่าการบังคับให้นักศึกษาอ่านในชั้นเรียน จึงไม่เป็นเรื่องน่าแปลกใจที่เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้จะเป็นการนำเสนอ โต้แย้ง หรือท้าทายกับแนวความคิดด้านรัฐธรรมนูญที่มีอิทธิพลครอบงำในแวดวงวิชาการหรือที่มีอิทธิพลต่อสถาบันกฎหมายในสังคมไทย หรือที่เป็นปัญหาด้านรัฐธรรมนูญร่วมสมัย

โดยในหนังสือเล่มนี้ได้จำแนกแยกแยะเป็น 5 บท ดังนี้ บทที่ 1 ประวัติศาสตร์ข้อความคิดเรื่องรัฐธรรมนูญ, บทที่ 2 อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ, บทที่ 3 การเปลี่ยนผ่านรัฐธรรมนูญจากเผด็จการสู่ประชาธิปไตย, บทที่ 4 ผู้ร่างเป็นอย่างไรก็ได้รัฐธรรมนูญอย่างนั้น, บทที่ 5 การสร้างคำอธิบายของนักกฎหมายรัฐธรรมนูญแบบกษัตริย์นิยม

หากลองจำแนกเนื้อหาในแต่ละบทในเชิงภาพรวม ผมคิดว่าจะสามารถจำแนกเนื้อหาได้ใน 3 กลุ่มสำคัญด้วยคือ หนึ่ง เป็นแนวความคิดหรือทฤษฎี สอง กรณีตัวอย่างจากต่างประเทศ สาม การปรับการวิเคราะห์เข้ากับกรณีปัญหาของสังคมไทย (พึงตระหนักว่าเนื้อหาในแต่ละบทของหนังสือมิใช่มีการแยกขาดจากกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งสามส่วนอาจอยู่ในแทบทุกบทเพียงแต่ว่าในบางบทอาจมีจุดเน้นที่แนวความคิด หรือกรณีตัวอย่างจากต่างประเทศ หรืออาจมุ่งวิเคราะห์กรณีของสังคมไทยก็ได้)

ในส่วนแรกซึ่งเป็นส่วนของแนวความคิดทฤษฎี ผู้เขียนได้นำเสนอแนวความคิดเกี่ยวกับความหมายของรัฐธรรมนูญ (บทที่ 1) และอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ (บทที่ 2) สำหรับคำอธิบายเกี่ยวกับความหมายของรัฐธรรมนูญได้มีการเชื่อมโยงเข้ากับความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เรียกว่า ‘การปฏิวัติ’ การอธิบายความหมายในลักษณะเช่นนี้ย่อมแตกต่างไปจากคำอธิบายทางนิติศาสตร์ที่มีอยู่อย่างดาษดื่นในตำรารัฐธรรมนูญทั่วไปที่มักให้คำจำกัดความว่าหมายถึง กฎเกณฑ์ระดับสูงสุดในการปกครอง ขณะที่ในส่วนของอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ หรือ Pouvoir Constitutant ก็ได้มีการอธิบายให้เห็นถึงพัฒนาการทางความคิดของแนวคิดดังกล่าว แนวความคิดเรื่องอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญนี้อาจมีการอธิบายถึงอยู่บ้างในตำราอื่นๆ แต่ใน รัฐธรรมนูญ: ประวัติศาสตร์ข้อความคิดฯ ได้ชี้ให้เห็นความหมาย พัฒนาการ ได้เป็นอย่างละเอียดมากกว่างานหลายชิ้นที่มีมาก่อนหน้า

สอง กรณีตัวอย่างจากต่างประเทศ เนื่องจากหนังสือเล่มนี้ได้อภิปรายถึงปัญหาสำคัญในสองประเด็นคือ อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญและการเปลี่ยนผ่านจากระบอบเผด็จการสู่ระบอบประชาธิปไตย (บทที่ 3) เนื้อหาในหนังสือจำนวนไม่น้อยจึงได้มีการแสดงให้เห็นถึงกรณีตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงในหลายสังคม (โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านจากเผด็จการสู่ประชาธิปไตย) เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้รวมทั้งอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นในโลกของความเป็นจริงทางรัฐธรรมนูญ

ด้วยมุมมองส่วนตัว เข้าใจว่าเนื้อหาในสองส่วนนี้คงจะไม่ใช่ส่วนที่เป็นปัญหา เนื่องจากสองส่วนนี้จะเป็นการ ‘นำเข้า’ ชุดความรู้และปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในต่างประเทศอันเป็นเรื่องที่ไม่อาจปฏิเสธถึงการดำรงอยู่ หากจะมีข้อโต้แย้งเรื่องข้อมูล การตีความ ก็เป็นสิ่งที่สามารถแตกต่างกันไปได้ตามจุดยืนหรืออุดมการณ์ของผู้อ่าน อันนับเป็นเรื่องปกติธรรมดาของการอ่านงานไม่ว่าจะเป็นงานประเภทใดก็ตาม

ส่วนที่อาจพอเป็นไปได้ที่จะสร้างความตระหนกแก่ผู้อ่านบางคนได้ก็คือ การวิเคราะห์ปัญหาของสังคมไทย ส่วนว่าจะเป็นการกระทบต่อ ‘ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข’ จริงหรือไม่ คงต้องอภิปรายกันต่อไป

 

อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญแบบจารีตนิยม

 

หากใครได้อ่าน รัฐธรรมนูญ: ประวัติศาสตร์ข้อความคิดฯ จะพบว่าประเด็นสำคัญประเด็นหนึ่งซึ่งผู้เขียนหนังสือต้องการนำเสนอ ถกเถียงและปรับเปลี่ยน ก็คือการทำความเข้าใจเกี่ยวกับอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญในสังคมไทย หรือหากกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือชุดความรู้ซึ่งอธิบายถึงหลักการพื้นฐานที่จะให้ความชอบธรรมต่อการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญในแต่ละห้วงเวลา ดังนั้น จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้การอภิปรายในประเด็นปัญหาดังกล่าวนี้ต้องสัมพันธ์เกี่ยวกับข้องกับเหตุการณ์และสถาบันสำคัญในสังคมการเมืองไทย นับตั้งแต่การอภิวัฒน์ 2475, รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475, การฉีกรัฐธรรมนูญโดยคณะรัฐประหาร, การประกาศใช้รัฐธรรมนูญภายหลังการรัฐประหาร เป็นต้น เนื้อหาในประเด็นเหล่านี้ปรากฏอยู่ในหลายบทของหนังสือเล่มนี้ (ดูรายละเอียด เช่น บทที่ 1 หน้า 22-39, บทที่ 2 หน้า 78-86, บทที่ 3 หน้า 177-195 เป็นต้น)

ประเด็นหัวใจสำคัญสองประเด็นที่หนังสือได้นำเสนอคือ

หนึ่ง ลักษณะการถือกำเนิดขึ้นของระบอบการเมืองอันสืบเนื่องจากการอภิวัฒน์ 2475 อันที่จริงประเด็นปัญหาการให้ความหมายต่อรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นภายหลังการอภิวัฒน์มิใช่เป็นข้อถกเถียงใหม่แต่อย่างใด หากติดตามความเคลื่อนไหวในทางวิชาการก็จะพบว่าก่อนหน้านี้มีการถกเถียงว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้เป็นผลจากการพระราชทาน หรือการตกลงร่วมกันระหว่างประมุขกับประชาชน หรือการปฏิวัติโดยประชาชนกันแน่

แต่เดิมมาการอภิปรายในประเด็นนี้เป็นการถกเถียงระหว่างฝ่ายที่หนึ่งเห็นว่าเป็นข้อตกลงระหว่างประมุขกับราษฎร (เช่น เดือน บุนนาค และไพโรจน์ ชัยนาม, คำอธิบายกฎหมายรัฐธรรมนูญ (ภาค 2), 2477, หน้า 19-20) ขณะที่อีกฝ่ายเห็นว่าเป็นการพระราชทานของพระมหากษัตริย์ (เช่น บวรศักดิ์ อุวรรณโณ, กฎหมายมหาชน เล่ม 2, 2537, หน้า 234)

แต่สำหรับปิยบุตร ได้มีความเห็นต่างออกไปโดยเสนอว่าผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญคือ คณะราษฎร ดังนี้

“ในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญได้ปรากฏกายขึ้น ผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญคือ คณะราษฎร (โดยอ้างว่าเป็นตัวแทนของประชาชนทั้งมวล) ได้ใช้อำนาจนั้น ‘รื้อถอนทำลาย’ ระบอบเก่า (ระบอบที่มีมาก่อนหน้านั้นจนถึงวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ช่วงย่ำรุ่ง) จนเกิดสภาวะที่ไม่มีระบบกฎหมายใดหลงเหลืออยู่ ไม่มีระบอบการเมืองใดเหลืออยู่ เป็นสภาวะปลอดระบบกฎหมาย เพื่อรอการสถาปนาระบอบการเมืองระบบกฎหมายใหม่เข้ามาแทนที่” (บทที่ 1 หน้า 33)

สอง การโต้แย้งต่อคำอธิบายของ ‘นักกฎหมายรัฐธรรมนูญแบบกษัตริย์นิยม’ ซึ่งเป็นคำอธิบายเกี่ยวกับสถาบันกับความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ถูกสร้างขึ้นภายหลังทศวรรษ 2500 อันทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์มีลักษณะสำคัญ คือ 1. อยู่เหนือการเมือง 2. มีพระราชอำนาจบางประการตามประเพณี 3. 24 มิถุนายน 2475 เป็นการแย่งชิงอำนาจแล้วถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด และ 4. พระมหากษัตริย์พระราชทานรัฐธรรมนูญให้

ดังนั้น หากพิจารณาตามแนวทางดังกล่าว เมื่อเกิดการรัฐประหารขึ้นอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญก็จะกลับคืนไป เช่น ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ให้คำอธิบายว่า

“เมื่อมีการรัฐประหารเลิกรัฐธรรมนูญ ต้องถือว่า อำนาจอธิปไตยที่เคยพระราชทานให้ประชาชนนั้น กลับคืนมายังพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นเจ้าของเดิมมาก่อน 24 มิถุนายน 2475” (บวรศักดิ์ อุวรรณโณ, กฎหมายมหาชน เล่ม 2, หน้า 182)

แนวทางคำอธิบายเช่นนี้ได้เป็นผลให้สามารถนำไปสู่ข้อเรียกร้องเรื่องนายกฯ พระราชทาน หรือมาตรา 7 ในห้วงเวลาวิกฤตการณ์ทางการเมือง

ต่อประเด็นดังกล่าว ศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ นักรัฐศาสตร์แนวหน้าของสังคมไทย ได้ชี้ให้เห็นปมประเด็นปัญหานี้มาก่อนหน้าในบทความ ‘วาทกรรมถวายพระราชอำนาจคืน’ และ ‘สมบูรณาญาสิทธิ์เฉพาะกิจ’ (พิมพ์รวมอยู่ใน เกษียร เตชะพีระ, ทางแพร่งและพงหนาม: ทางผ่านสู่ประชาธิปไตยไทย, 2551) โดยอธิบายว่าข้อเรียกร้องดังกล่าวสะท้อนถึงอาการ political immaturity ซึ่งแสดงความต้องการหวนกลับไปสู่อุดมการณ์ของระบอบการเมืองที่ดำรงอยู่ก่อน 2475 ขณะที่ปิยบุตรได้อธิบายปมประเด็นนี้ผ่านแนวความคิดเรื่องอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ และเห็นว่าคณะราษฎรเป็นผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญที่ทำลายระบอบการเมืองแบบเดิมในลักษณะของการปฏิวัติ จึงนับเป็นการโต้แย้งต่อแนวความคิดของบวรศักดิ์ โดยตรง

การโต้แย้ง การหักล้าง การต่อยอด ความคิดที่ดำรงอยู่มาแต่เดิม นับเป็นเรื่องปกติธรรมดาๆ ที่เกิดขึ้นตลอดมาในแวดวงวิชาการ

 

ฝ่ายซ้ายดัดจริต หรือจงใจอ่านผิดของฝ่ายขวา

 

รัฐธรรมนูญ: ประวัติศาสตร์ข้อความคิดฯ เสนอหลักการสำคัญอะไรบ้าง

หากใครได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มนี้ และพอมีความรู้ด้านนิติศาสตร์ 101 และรัฐศาสตร์ 101 ก็คงจะตระหนักได้ว่าเป็นการเสนอให้ทำความเข้าใจและจัดวางสถาบันการเมืองต่างๆ ภายใต้ระบอบรัฐธรรมนูญนิยม ซึ่งก็สอดคล้องกับแนวคิดแบบเสรี/ประชาธิปไตย อันมีความหมายครอบคลุมถึงหลักการสำคัญคือ หนึ่ง ระบอบการเมืองที่วางอยู่บนแนวความคิดเรื่องอำนาจอธิปไตยสูงสุดเป็นของประชาชน สอง สถาบันการเมืองต้องเป็นไปตามกรอบของกฎหมายและถูกตรวจสอบได้ด้วยกลไกทางการเมือง สาม สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่พ้นไปจากความรับผิดชอบทางการเมือง หรือ King can do no wrong

กล่าวให้ถึงที่สุด แนวความคิดในลักษณะดังกล่าวนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อระบอบเสรีประชาธิปไตยแต่อย่างใด แต่หากจะมีผลกระทบก็จะพุ่งเป้าไปยังระบอบการเมืองแบบอำนาจนิยมหรือระบอบการเมืองที่ปฏิเสธอำนาจสูงสุดของประชาชนมากกว่า

จึงไม่เป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่จะได้เห็นบรรดาผู้นำของระบอบอำนาจนิยมและผู้สนับสนุนต่างออกมาประสานเสียงต่อต้านกับแนวความคิดที่หนังสือเล่มนี้ได้นำเสนอ ภายใต้การกล่าวอ้างว่ามันเป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

MOST READ

Politics

16 Dec 2021

สิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับและถูกควบคุมตัว (ตอนที่ 1) : เหตุใดจึงต้องพบศาล และต้องพบศาลเมื่อใด

ปกป้อง ศรีสนิท อธิบายถึงวิธีคิดของสิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับกุมและควบคุมตัว และบทบาทของศาลในการพิทักษ์เสรีภาพปัจเจกชน

ปกป้อง ศรีสนิท

16 Dec 2021

Politics

25 Jan 2024

ผู้พิพากษาอาวุโสมีไว้มากมาย… ทำไม

‘ใบตองแห้ง’ ชวนสำรวจเงินเดือนของเหล่าผู้พิพากษาอาวุโส ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี และชวนตั้งคำถามว่า บทบาทหน้าที่ของผู้พิพากษาอาวุโสเหล่านี้คืออะไร สร้างประโยชน์ใดให้แก่กระบวนการยุติธรรมไทยบ้าง

อธึกกิต แสวงสุข

25 Jan 2024

Politics

23 Feb 2023

จากสู้บนถนน สู่คนในสภา: 4 ปีชีวิตนักการเมืองของอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล

101 ชวนอมรัตน์สนทนาว่าด้วยข้อเรียกร้องจากนอกสภาฯ ถึงการถกเถียงในสภาฯ โจทย์การเมืองของก้าวไกลในการเลือกตั้ง บทเรียนในการทำงานการเมืองกว่า 4 ปี คอขวดของการพัฒนาสังคมไทย และบทบาทในอนาคตของเธอในการเมืองไทย

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

23 Feb 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save