fbpx

ข้อเท็จจริงหรือตรรกะก็ไม่ช่วย?

กล่าวได้ว่าพวกเรากำลังอยู่ในโลกสมัยใหม่ที่คนอยู่กับเหตุและผลมากกว่าโลกในยุคไหนๆ ไม่น่าแปลกใจหากว่าเราคิดเห็นอย่างหนึ่ง แต่พอเห็นข้อเท็จจริงหรือตรรกะที่มากพอจากอีกด้าน ก็อาจจะเปลี่ยนใจและเปลี่ยนความเชื่อได้ 

แต่เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?

มีการทดลองคลาสสิกของคณะนักวิจัยมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดที่ทำไว้ตั้งแต่ปี 1975 โดยพวกเขารับสมัครนักศึกษาระดับปริญญาตรีมากลุ่มหนึ่ง จากนั้นก็เอาบันทึกสองแบบมาจัดชุดเข้าด้วยกัน แบบหนึ่งเป็นบันทึกของคนที่กำลังจะฆ่าตัวตาย และสุดท้ายเจ้าของบันทึกเหล่านั้นก็ฆ่าตัวตายสำเร็จไปจริงๆ เสียด้วย ขณะที่บันทึกอีกแบบหนึ่งเป็นบันทึกลาตายเหมือนกัน แต่เป็นของปลอมที่ทำขึ้นมา 

ภารกิจของนักศึกษากลุ่มนี้คือการต้องแยกแยะให้ได้ว่าบันทึกชิ้นไหนเป็นของจริง ชิ้นไหนเป็นของปลอม 

ผลที่ได้น่าสนใจทีเดียว เมื่อคนกลุ่มหนึ่งที่ได้รับแจ้งว่าพวกเขาเป็น ‘อัจฉริยะ’ มีสายตาแหลมคม สามารถแยกแยะบันทึกของจริงออกมาได้ 24 ชุด จากบันทึกทั้งหมด 25 ชุด ขณะที่คนอื่นๆ ที่เหลือต้องกุมขมับด้วยความสิ้นหวัง ไม่รู้ว่าจะแยกบันทึกออกจากกันอย่างไร โดยคนกลุ่มหลังซึ่งมีจำนวนมากกว่านี้สามารถแยกแยะเอาของจริงออกมาได้แค่ 10 ชุดเท่านั้น 

แต่ตามประสาของการทดลองทางจิตวิทยาพวกนี้… คือมันไม่เคยตรงไปตรงมาขนาดนั้น

แม้บันทึกครึ่งหนึ่งจะได้มาจากห้องชันสูตรศพก็จริง แต่คะแนนที่แจ้งให้กับเหล่าอาสาสมัครไม่ใช่คะแนนจริงที่พวกเขาทำได้ ซึ่งความจริงแล้ว พวกที่โดนอุปโลกน์ว่าเก่งเป็นพิเศษนั้น ทำได้แค่ค่าเฉลี่ย ส่วนพวกที่ได้รับแจ้งว่าตอบผิดเป็นส่วนใหญ่ก็ทำได้แค่ค่าเฉลี่ยเช่นกัน ไม่ได้ย่ำแย่อะไรมากกว่ากันเลย สรุปว่าทั้งสองกลุ่มต่างก็ทำได้แค่ค่า ‘เฉลี่ยๆ’ เท่านั้น  

นี่เป็นเพียงช่วงแรกของการทดลองครับ 

ในส่วนการทดลองช่วงหลัง เริ่มต้นจากการเฉลยว่าแท้จริงแล้วการทดลองนี้ต้องการจะวัด ‘วิธีคิด’ เกี่ยวกับถูกหรือผิด (ซึ่งนี่ก็เป็นการหลอกอีกชั้นหนึ่ง) นักวิจัยเฉลยให้แต่ละกลุ่มรู้ว่า พวกเขาได้คะแนนแค่เฉลี่ยเท่านั้น ก่อนที่สุดท้ายนักวิจัยจะให้อาสาสมัคร ‘ประเมิน’ ซ้ำอีกครั้ง ว่ามีบันทึกกี่ชิ้นที่พวกเขาจำแนกแยกแยะได้ถูกต้อง และโดยเฉลี่ยแล้วนักศึกษาส่วนใหญ่ทำได้ถูกต้องมากน้อยแค่ไหน 

ถึงจุดนี้เรื่องน่าสนใจก็เปิดเผยตัวออกมาครับ

พวกนักศึกษาที่เคยได้รับคำบอกเล่าว่า ตัวเองทำได้ดีเป็นพิเศษเกินกว่าค่าเฉลี่ยไปมากในช่วงแรกสุดนั้น แม้ว่าจะเพิ่งได้รับการเฉลยไปในรอบที่ 2 ว่า ตัวเลขความสำเร็จที่บอกไปรอบแรกน่ะไม่ใช่เรื่องจริง แต่พวกเขาก็ยังประเมินความสามารถตัวเองว่า ‘ทำได้ดีมากกว่า’ คนทั่วไปอยู่ดี! ในทางตรงกันข้าม พวกที่รอบแรกถูกบอกว่าทายได้ไม่แม่น ก็ยังคิดว่าตัวเองทำได้ ‘แย่กว่าค่าเฉลี่ย’ ซึ่งก็ไม่เป็นความจริงอีก เพราะก็ตามที่เหล่านักวิจัยได้แจ้งไปแล้วในช่วงที่สอง ว่าพวกเขาทำคะแนนได้เท่ากับค่าเฉลี่ยของคนอีกกลุ่มนั่นแหละ

นักวิจัยสรุปผลของการวิจัยครั้งนี้ไว้ว่า เมื่อภาพจำถูกสร้างขึ้นมาแล้ว ก็ยากที่จะไปสั่นคลอนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แถมดูท่าว่าจะฝังแน่นคงทนทีเดียว แม้จะรับทราบ ‘ข้อเท็จจริง’ ในภายหลัง ก็ไม่ได้ช่วยเปลี่ยนการรับรู้ของคนได้ง่ายๆ

ผมลองเปรียบเทียบเรื่องนี้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันเพื่อให้ทุกท่านเข้าใจได้ง่ายขึ้น อย่างเหตุการณ์ไม่เอาวัคซีนซิโนแวค กล่าวคือแรกเริ่มเดิมทีภาครัฐประกาศว่าวัคซีนที่จะฉีดให้คนที่มีอายุมากในประเทศไทยคือวัคซีนของแอสตราเซเนกา เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลว่าวัคซีนซิโนแวคปลอดภัยสำหรับคนสูงอายุมากน้อยเพียงใด ครั้นพอได้วัคซีนซิโนแวคมาเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งยังมีข้อมูลสนับสนุนเรื่องความปลอดภัยสำหรับฉีดในคนสูงอายุ ก็กลายเป็นว่าผู้คนไม่ไว้วางใจเสียแล้ว เพราะเชื่อไปแล้วว่าวัคซีนซิโนแวคไม่ควรฉีดในคนสูงอายุ!       

กลับมาที่เรื่องการทดลอง หลังจากที่การทดลองนี้ได้ถูกตีพิมพ์ ก็มีงานคล้ายคลึงกันและงานต่อยอดออกมาอีกเยอะแยะ ซึ่งช่วยเน้นย้ำว่าผลการทดลองนี้เป็นของจริงและคนเรานี่ทำตัวประหลาดๆ สวนทางกับข้อเท็จจริง (และหลักเหตุผล) เอามากๆ 

สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจ ดูท่าว่าจะมีมากกว่าแค่ข้อเท็จจริง มีการศึกษาหนึ่งพบว่าการตัดสินใจของคนเรานั้น มีมากถึง 90% ที่พึ่งพาอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าหลักตรรกะหรือเหตุผล

แต่ก็ใช่ว่าหลักเหตุผลจะโน้มน้าวใจไม่ได้เอาเสียเลย การให้ข้อมูลหรือหลักเหตุผลจะได้ผลก็ต่อเมื่อผู้ที่ตัดสินใจรู้สึกว่าผลของการตัดสินใจนั้นส่งผลกระทบโดยตรงกับตัวเอง ซึ่งการตัดสินใจทุกครั้งจะผสมผสานทั้งหลักเหตุผลและอารมณ์ความรู้สึกเอาไว้ด้วยกัน พวกนักต่อรองชั้นเซียน เช่น พวกเจรจาช่วยตัวประกันที่โดนจับตัวเรียกค่าไถ่ ต่างตระหนักเรื่องนี้เป็นอย่างดี เพราะกลยุทธ์การต่อรองต้องอาศัยสมมติฐาน การคาดเดา และความคิดเห็นประกอบกัน 

แต่ถึงที่สุดแล้วการตัดสินใจในขั้นสุดท้าย ก็หนีไม่พ้นการให้น้ำหนักกับผลประโยชน์ส่วนตัวที่จะได้รับ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าหลักเหตุผล 

มีนักประสาทวิทยาศาสตร์ชื่อแอนโตนิโอ ดามาซิโอ เคยทำการศึกษาผู้คนที่สมองส่วนอารมณ์ความรู้สึกเสียหาย เขาและทีมพบว่า แม้ภายนอกของคนกลุ่มนี้จะดูปกติทุกอย่างแต่พวกเขาก็ไม่อาจรับรู้ความรู้สึกใดๆ ได้ สิ่งที่คนกลุ่มนี้ไม่ว่าจะได้รับบาดเจ็บทางสมองมากหรือน้อยต่างมีร่วมกันคือ พวกเขาตัดสินใจอะไรไม่ค่อยได้ 

หากให้คนเหล่านี้อธิบายหลักเหตุผลที่ใช้ประกอบการตัดสินใจ พวกเขาสามารถอธิบายได้เป็นฉากๆ ว่า ควรจะทำหรือไม่ทำ เพราะหลักเหตุผลใด แต่ถ้าหากลองขอให้พวกเขาเลือกหรือตัดสินใจอะไรสักอย่าง สิ่งนี้จะกลายเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญทันที แม้แต่การเลือกง่ายๆ อย่าง การเลือกเมนูที่อยู่ตรงหน้าว่าจะเลือกทานเนื้อไก่ทั่วไปหรือเนื้อไก่งวง!

การค้นพบนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า การตัดสินใจของคนเรา แม้จะผ่านการไตร่ตรองด้วยหลักเหตุผลก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วก็ยังต้องพึ่งพาอารมณ์ความรู้สึกด้วย  

เหล่านักวิทยาศาสตร์ต่างคาใจและอยากหาคำตอบให้ได้ว่าอะไรคือเหตุผลเบื้องหลังและทำไมมนุษย์จึงเป็นเช่นนี้

มีทฤษฎีวิวัฒนาการแบบหนึ่งอธิบายว่า เรื่องนี้สะท้อนสภาวะในยุคบรรพกาลที่บรรพบุรุษของเราอยู่กันเป็นกลุ่มขนาดเล็ก ดำรงชีพด้วยการเก็บของป่าล่าสัตว์ และต้องพึ่งพาอาศัยพรรคพวกในเผ่าเร่ร่อนของตนในการหาอาหาร ปกป้องตัวเอง และอีกสารพัดสิ่ง จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องนำเอาอารมณ์ความรู้สึกและการเอาใจใส่กับอารมณ์ความรู้สึกของคนใกล้ตัวเข้ามาร่วมในการตัดสินใจของตนเองด้วย  

แนวคิดเรื่องการมองโลกและตัดสินใจทำนองนี้ได้กลายมาเป็นกระแสหลักเรื่องหนึ่งในทางวิวัฒนาการของความรู้สึกนึกคิดของคน กล่าวคือเราคิดและตีความต่างๆ โดยมีเป้าหมายลึกๆ อยู่ที่การยอมรับของคนในกลุ่ม เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม จึงไม่สามารถยึดแน่นกับหลักเหตุผลมากนัก แต่จำเป็นต้องลื่นไหลไปกับกระแสความเห็นหรืออารมณ์ของคนส่วนใหญ่

มีอีกหนึ่งการทดลอง แต่คราวนี้เป็นการทดลองในมหาวิทยาลัยเยล นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษากลุ่มหนึ่งได้รับคำขอให้ประเมินระดับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอุปกรณ์หรือข้าวของต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น ซิป คอห่าน หรือกุญแจทรงกระบอกครอบ โดยพวกเขาจะต้องวาดรายละเอียดของอุปกรณ์ต่างๆ ออกมา พร้อมทั้งอธิบายวิธีการทำงานของมันอย่างละเอียดทีละขั้นตอน จากนั้นจะต้องให้คะแนนความรู้ความเข้าใจของตัวเองอีกครั้ง แน่นอนว่าพวกเขาให้คะแนนตัวเองลดลงจริงๆ 

แต่เรื่องน่าประหลาดคือ พวกนักศึกษามักจะประเมินว่าตัวเองรู้รายละเอียดเหล่านี้ ‘ดีกว่าค่าเฉลี่ย’ ของคนทั่วไป (ซึ่งไม่เป็นความจริง) นักวิจัยตั้งสมมติฐานว่า คนเรามักแยกไม่ออกว่าเราเก่งแค่ไหนและมีความรู้มากเพียงใด

ไม่ใช่แค่นั้น งานวิจัยชิ้นหนึ่งในปี 2014 โยงเรื่องความรู้ความเข้าใจเข้ากับเรื่องการเมือง จนสรุปได้ว่า คนอเมริกันที่ยิ่งมีความรู้ด้านภูมิศาสตร์น้อยเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเอนเอียงไปในทางการสนับสนุนให้ใช้กำลังทหารเข้าแทรกแซงในกรณีที่รัสเซียพยายามผนวกเอาส่วนไครเมียของชาวยูเครนไว้ในดินแดนตนเอง

นอกจากเรื่องการเมือง ยังมีอีกหลายเรื่องที่สะท้อนให้เราเห็นเกี่ยวกับ ‘ช่องโหว่’ ของระบบคิดที่ไม่ยึดโยงกับหลักฐานข้อเท็จจริงหรือหลักเหตุผลอย่างที่ควรจะเป็น เช่น ความกลัวเรื่องอันตรายจากวัคซีน การให้ข้อมูลข้อเท็จจริงไม่ค่อยช่วยอะไรในเรื่องนี้เท่าไหร่ ดังที่เราเห็นในเรื่องวัคซีนโรคโควิด-19 ของบ้านเรานี่เอง

แม้ว่าความเสี่ยงจะป่วยหนักจากวัคซีนมีน้อยกว่าความเสี่ยงจากการติดเชื้อไวรัสเป็นพันเท่า แต่คนจำนวนมากที่ได้รับข่าวสารกรณีส่วนน้อยของผู้ป่วยจากผลข้างเคียงของวัคซีนผ่านสื่อต่างๆ บ่อยครั้งเข้า ก็วาดภาพในหัวจนกลัววัคซีนมากยิ่งกว่าตัวโรคเสียอีก เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าปัจจัยเรื่องอารมณ์มีผลต่อการตัดสินใจ

ความคิดเห็นทำนองนี้ทำให้นักวิจัยสรุปเป็น ‘กฎทอง’ ไว้ว่า “ความรู้สึกรุนแรงเกี่ยวกับหัวเรื่องใดก็ตาม มักไม่ได้เกิดจากความเข้าใจอย่างลึกซึ้งแต่อย่างใด” หรือพูดอีกอย่างคือ ยิ่งไม่เข้าใจ ยิ่ง ‘อิน’ ในเรื่องต่างๆ ได้ง่ายมากขึ้น! 

คำแนะนำก็คือ ให้หันมาโน้มน้าวใจผ่านเรื่องเล่าที่กระทบอารมณ์หรือกระทบจิตใจ จะช่วยทำให้เปลี่ยนใจได้มากกว่าการให้ข้อมูลหรือข้อเท็จจริงครับ!      

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

4 Aug 2020

การสืบราชสันตติวงศ์โดยราชสกุล “มหิดล”

กษิดิศ อนันทนาธร เขียนถึงเรื่องราวการขึ้นครองราชสมบัติของกษัตริย์ราชสกุล “มหิดล” ซึ่งมีบทบาทในฐานะผู้สืบราชสันตติวงศ์ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร 2475

กษิดิศ อนันทนาธร

4 Aug 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save