ไบโอไทยได้อ่านบทความเรื่อง “CPTPP, UPOV-1991 กับความเข้าใจที่ผิดพลาด” ซึ่งเขียนโดย ปิติ ศรีแสงนาม ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ The101.World เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2564 บทความดังกล่าววิจารณ์รายงานผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบจากการเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ ภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) ของสภาผู้แทนราษฎรโดยระบุว่า รายงานดังกล่าวเป็น “ต้นตอแห่งความเข้าใจผิด และห่วงกังวลจนเกินกว่าเหตุในเรื่องพันธุ์พืชมีอยู่ด้วยกันหลายประการ” และชี้ว่า “การอ้างอิงสิ่งที่อยู่ในรายงานฉบับดังกล่าวไปใช้งานต่อ หรือไปตัดสินใจโดยไม่รอบคอบ อาจนำไปสู่ภาวะตรรกวิบัติ” และ “เราก็อาจจะเผลอคิดไปได้ว่า ข้อความที่อยู่ในเอกสารนั้นๆ ที่ได้รับการรับรอง คือความถูกต้อง คือข้อเท็จจริง ทั้งที่ในความเป็นจริง ในเอกสารดังกล่าวซึ่งเป็นเพียงการรวบรวมความคิดเห็นยังมีข้อผิดพลาดคลาดเคลื่อนอยู่อีกเป็นจำนวนมาก” โดยปิติชี้ให้เห็นประเด็นที่เขาคิดว่าผิดพลาด 5 ประเด็น
ไบโอไทยเห็นด้วยว่าเราสามารถมีความเห็นแย้งรายงานของกมธ.ฯ ได้ แต่สิ่งที่ปิติแย้ง 5 ประเด็นในบทความดังกล่าวนั้น บางประเด็นถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาพร้อมมีหลักฐานเชิงประจักษ์ยืนยันชัดเจนจนถูกตีตกไปแล้วในระหว่างการศึกษาของกมธ.ฯ หลายเรื่องที่ปิติยกขึ้นมาสนับสนุนข้อท้วงติงของตนก็เป็นข้อมูลที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน และบางเรื่องเป็นเรื่องสมมติฐานตามความเชื่อของผู้เขียน ซึ่งในโลกความเป็นจริงและหลักฐานการศึกษาในเชิงประจักษ์ไม่ได้เป็นไปดังที่ว่า
เพื่อประโยชน์สาธารณะ ไบโอไทยโต้แย้งประเด็นที่ปิติหยิบยกมาทั้ง 5 ประเด็น ตามลำดับดังนี้
1. ปิติเห็นว่าความกังวลของกรมการข้าวเกี่ยวกับปัญหาการขาดแคลนงบประมาณสนับสนุนไม่เกี่ยวกับ CPTPP เพราะไม่ว่าอย่างไร รัฐควรสนับสนุนการวิจัยพันธุ์ข้าวเพิ่มมากขึ้น โดยเห็นว่าประเทศไทยควรเข้าร่วม UPOV1991 เพราะจะยิ่งทำให้รัฐสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการสนับสนุนการวิจัยพันธุ์ข้าวได้เพิ่มมากยิ่งขึ้นและเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น นักศึกษาเกษตรและเกษตรกรจะได้ประโยชน์จากการคัดเลือกเมล็ดพันธุ์จนได้พันธุ์ใหม่เพิ่มขึ้น เกษตรกรจะไม่ขายแรงงานอย่างเดียวแต่จะขายทรัพย์สินทางปัญญาได้ด้วย
1.1 ไบโอไทยเห็นด้วยที่ว่ารัฐควรสนับสนุนการวิจัยพันธุ์ข้าวและสายพันธุ์พืชอื่นๆมากขึ้น แต่เราเห็นว่าประเด็นการสนับสนุนของรัฐต่อการพัฒนาพันธุ์พืชเกี่ยวข้องโดยตรงกับการถกเถียงเรื่องการขยายสิทธิผูกขาดเรื่องพันธุ์พืชให้บริษัทเมล็ดพันธุ์ เนื่องจากกลุ่มสนับสนุน UPOV มักอ้างว่า การสร้างแรงจูงใจโดยให้การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาเพิ่มขึ้น จะนำไปสู่การวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ต่างๆ เพิ่มขึ้นและประโยชน์จะตกอยู่กับรัฐและเกษตรกร แต่งานวิจัยหลายชิ้น โดยเฉพาะ Walter Jaffe and Jeroen Van Wijk เรื่อง The Impact of Plant Breeder’ Right in Developing Countries ซึ่งทำการศึกษาในหลายประเทศพบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาการปรับปรุงพันธุ์มากที่สุดไม่ใช่การใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อสร้างแรงจูงใจ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการกำหนดนโยบายและใช้ทรัพยากรและงบประมาณในโครงการเกี่ยวกับการปรับปรุงพันธุ์ของรัฐต่างหาก
Walter&Jeroen ยังพบด้วยว่า ระบบกฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืชส่งผลกระทบในแง่ลบ กล่าวคือ ชุดข้อมูลความรู้และเชื้อพันธุ์พืชถ่ายเทไปสู่หน่วยงานด้านการปรับปรุงพันธุ์ของรัฐน้อยลง แต่ในทางกลับกัน ข้อมูลและความรู้ในการปรับปรุงพันธุ์กลับถูกป้อนเข้าไปใช้เพื่อผลประโยชน์ของบรรษัทเมล็ดพันธุ์มากขึ้นกว่าเดิม
การใช้เหตุผลให้เข้าร่วม UPOV1991 ว่ารัฐและสาธารณะจะได้ประโยชน์จึงไม่เป็นความจริง
1.2 ข้อเขียนของปิติที่ระบุว่า “เราก็มีนิสิตนักศึกษาจำนวนมากที่เรียนจบคณะด้านการเกษตร เช่นเดียวกับเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา ที่เก็บพันธุ์ คัดเลือกเมล็ด ปรับปรุงพันธุ์จนได้พันธุ์พืชใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา การให้ความคุ้มครองกับงานที่พวกเขาทำจะทำให้ไทยเป็นเจ้าของพันธุ์ใหม่เพิ่มขึ้นอีกมากมาย และต่อไปนี้ เกษตรกรไทยจะไม่ใช่เพียงขายแรงงาน หากแต่พวกเขาจะเป็นเจ้าของทุนในรูปของทรัพย์สินทางปัญญา” ประหนึ่งว่าระบบทรัพย์สินทางปัญญาดังกล่าวเปิดทางให้ทุกคนสามารถแข่งขันได้อย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งในความเป็นจริงกลับตรงกันข้าม
ตัวอย่างเช่น การศึกษาเรื่อง Intellectual Property Rights and Agriculture: an Analysis of the Economic Impact of Plant Breeders’ Rights ของ Dwijen Rangnekar ที่ประมวลการศึกษาหลายชิ้นเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธินักปรับปรุงพันธุ์ในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ พบว่า ระบบทรัพย์สินทางปัญญาดังกล่าวทำให้เกิดการรวมศูนย์การวิจัยเกี่ยวกับเรื่องพันธุ์พืชมากขึ้น เช่นในระหว่างการใช้กฎหมายดังกล่าว การขอรับการคุ้มครอง 68%-89% อยู่ในกลุ่มผู้ยื่นรับความคุ้มครองเพียง 5% เท่านั้น ผู้ยื่นคำขอ 75-82% ไม่ได้รับการคุ้มครองแม้แต่ชิ้นเดียวระหว่างปี 1965-1995 ซึ่ง Rangnekar สรุปว่าการคุ้มครองสิทธินักปรับปรุงพันธุ์เป็นประโยชน์กับบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่เท่านั้น มิใช่นักปรับปรุงพันธุ์รายย่อย
เช่นเดียวกับงานศึกษาของ Srinivasan เรื่อง Concentration in ownership of plant variety rights: some implications for developing countries ยืนยันการศึกษาดังกล่าว โดยจากการวิเคราะห์ข้อมูลของสมาชิก UPOV 30 ประเทศ ในพืชหลักสำคัญ 6 ชนิด เขาพบว่ามีการรวมศูนย์ (concentration)ในอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ในระดับสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ระบบกฎหมายดังกล่าวเอื้ออำนวยให้เกิดการควบรวมกิจการระหว่างบริษัทเมล็ดพันธุ์ด้วยกันเอง นับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1990 เป็นต้นมา
อย่าว่าแต่เกษตรกรรายย่อยเลย เพราะแม้แต่บริษัทท้องถิ่นเองก็อาจไม่สามารถแข่งขันได้กับบริษัทเมล็ดพันธุ์ยักษ์ใหญ่ สอดคล้องกับรายงานของกมธ.ฯ ที่ระบุว่าการเข้าร่วม UPOV1991 จะทำให้บริษัทเมล็ดพันธุ์ท้องถิ่นหรือนักปรับปรุงพันธุ์หน้าใหม่ที่ต้องการเข้าสู่ตลาดเป็นไปได้ยากขึ้น
หากมีนักศึกษาเกษตร หรือเกษตรกรรายย่อยใดที่มีศักยภาพในการพัฒนาสายพันธุ์พืช เรามี พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืช 2542 ที่สามารถคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของพวกเขาได้อยู่แล้ว โดยไม่ต้องละเมิดสิทธิเกษตรกร ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามวิถีวัฒนธรรม และได้รับการรับรองภายใต้ความตกลงทรัพยากรพันธุกรรมระหว่างประเทศด้วย
2. ความเข้าใจผิดของปิติเรื่อง EDV การปกป้องเชื้อพันธุ์ข้าว การให้ข้อมูลผิดๆ ว่าจีนเข้าเป็นภาคี UPOV1991 นานแล้ว และข้ออ้างว่าอินเดีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ทยอยปรับข้อกฎหมายภายในของตนเพื่อเตรียมเข้าเป็นภาคี UPOV1991
2.1 ปิติบอกว่า ความห่วงกังวลของผู้แทนจากกรมการข้าวที่ว่า ประเทศสมาชิก UPOV สามารถนำพันธุ์ข้าวของไทยไปพัฒนาต่อยอดได้ โดยประเทศไทยมิได้รับผลประโยชน์นั้นไม่ควรกังวล เพราะ “ในข้อเท็จจริงคือ UPOV-1991 ให้การคุ้มครองและมีการแบ่งปันผลประโยชน์ในพันธุ์พืชที่มีคุณสมบัติ Essentially Derived Varieties (EDV) ให้กับเจ้าของพันธุ์หรือผู้ปรับปรุงพันธุ์เดิม ดังนั้นหากไทยเป็นภาคี UPOV-1991 นั่นหมายความว่า ใครก็ตามที่นำเอาพันธุ์ข้าวของไทยไปพัฒนาต่อยอด (EDV ของพันธุ์ข้าวไทย) จะต้องแบ่งปันผลประโยชน์ให้กับประเทศไทยด้วย”
(EDV เป็นศัพท์ใหม่ที่ UPOV ประดิษฐ์ขึ้น หมายถึงอนุพันธุ์ของพันธุ์พืชใหม่ หรือพันธุ์พืชที่มีลักษณะสำคัญของพันธุ์พืชใหม่ปรากฎอยู่)
กรณีนี้ ปิติเข้าใจสับสนไปเอง เพราะความห่วงกังวลของกรมการข้าวที่ระบุในเอกสารการศึกษาของกมธ.ฯ คือความกังวลเรื่องเชื้อพันธุกรรมข้าว (rice germplasm) ไม่ใช่ EDV ของข้าวสายพันธุ์ใหม่ ( new rice varieties) ที่กรมการข้าวขอรับการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่แต่ประการใด ควรเข้าใจร่วมกันว่า กรมการข้าวเกี่ยวข้องกับเรื่องพันธุ์ข้าวใน 3 กลุ่มสำคัญคือ
1) พันธุ์ข้าวสายพันธุ์ใหม่ที่กรมการข้าวขึ้นทะเบียนเป็นพันธุ์พืชใหม่แล้วตาม พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ (ซึ่งมีอยู่ประมาณ 29 สายพันธุ์) พันธุ์ข้าวส่วนนี้ได้รับการคุ้มครองอยู่แล้วโดยไม่จำเป็นต้องเข้าเป็นภาคี UPOV1991 ใครจะเอาไปผลิตเป็นเมล็ดพันธุ์ขายมิได้ถ้ากรมการข้าวไม่อนุญาต
2) พันธุ์ข้าวที่กรมได้ปรับปรุงพันธุ์ขึ้น แต่ได้เผยแพร่มาแล้วกว่า 1 ปี ปลูกแพร่หลายกลายเป็นพันธุ์พืชทั่วไป พันธุ์ข้าวเหล่านี้มีประมาณกว่า 100 สายพันธุ์
และ 3) พันธุ์ข้าวที่เก็บรวบรวมไว้ในธนาคารเชื้อพันธุ์ข้าวซึ่งมีอยู่มากกว่า 24,852 ตัวอย่างพันธุ์ โดยการเข้าร่วม UPOV1991 จะส่งผลกระทบต่อพันธุ์ข้าวกลุ่มที่ 2 และกลุ่มที่ 3 ซึ่งถือว่าเป็นพันธุ์ข้าวในความดูแลของรัฐและเป็นมรดกร่วมของชาวนา
กรมการข้าวกังวลเพราะ UPOV เรียกร้องให้ประเทศที่เป็นภาคีต้องตัดบทบัญญัติเกี่ยวกับการแสดงที่มาของสายพันธุ์ที่ใช้ในการปรับปรุงและเอกสารอื่นใดๆเกี่ยวกับการขออนุญาตและแบ่งปันผลประโยชน์ออกไป ซึ่งผลกระทบจะเกิดขึ้นไม่เฉพาะข้าวเท่านั้น แต่จะกระทบพันธุ์พืชป่า พันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไป ชนิดอื่นทั้งหมดด้วย
2.2 การให้ข้อมูลผิดพลาดและคลาดเคลื่อนของปิติเกี่ยวกับภาคี UPOV1991
ปิติระบุในบทความว่า “จีนเข้าเป็นภาคี UPOV1991 มานานแล้ว” ซึ่งไม่เป็นความจริง จีนยังคงเป็นภาคี UPOV1978 เท่านั้น (ผู้อ่านสามารถตรวจสอบได้ที่เว็บไซต์ของ UPOV) เช่นเดียวกับการอ้างว่าอินเดีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ กำลังปรับการแก้ไขกฎหมายเพื่อเข้าสู่ UPOV1991 นั้น ก็ไม่เป็นความจริงแต่ประการใด ทั้งสามประเทศยังคงใช้กฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืชที่มีลักษณะเฉพาะของตนเอง โดยไม่ได้เป็นไปตาม UPOV1991 แต่ประการใด
กฎหมายของทั้งอินเดีย มาเลเซีย รวมทั้งกฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ.2542 ของไทย ได้รับการยอมรับในระหว่างประเทศโดยโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ให้ใช้เป็นแม่แบบของกฎหมายที่ประเทศต่างๆ ควรมีสำหรับใช้เป็นแนวการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับนักเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
จริงอยู่ที่มีความพยายามของสำนักงาน UPOV และอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ที่ชักชวนให้หน่วยงานด้านการเกษตรของรัฐในหลายประเทศในเอเชียให้แก้กฎหมายของตนตาม UPOV1991 เชิญชวนให้เจ้าหน้าของรัฐเข้าร่วม ‘การประชุมและฝึกอบรม’ ชักชวนชี้นำให้ประเทศต่างๆ เข้าเป็นภาคี UPOV1991 แต่ความเห็นและการรับรู้ของเจ้าหน้าที่ของรัฐเหล่านั้นไม่ได้สะท้อนว่ารัฐบาล รัฐสภา และประชาชนในประเทศดังกล่าวจะเห็นชอบด้วย และในบางกรณีเป็นการแอบอ้างของสำนักเลขา UPOV เอง ดังในกรณีของประเทศไทย ซึ่งกมธ.ฯ ของสภาฯ ท้วงติงความไม่เหมาะสมของ UPOV ว่า:
“รัฐบาลควรแจ้งสำนักงานสหภาพ UPOV ถึงการนำชื่อประเทศไทยใส่ในเว็บไซต์ของสหภาพฯ โดยระบุในรายชื่อประเทศซึ่งเคยมีการติดต่อกับสำนักงานสหภาพฯ เพื่อรับความช่วยเหลือในการจัดทำกฎหมายบนพื้นฐานของอนุสัญญา UPOV เนื่องจากประเทศไทยไม่เคยติดต่อขอรับความช่วยเหลือจากสหภาพ UPOV ในการจัดทำกฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืช การกระทำดังกล่าวนอกจากจะเข้าข่ายการหาประโยชน์เชิงประชาสัมพันธ์โดยมิชอบของสหภาพ UPOV จากชื่อและความน่าเชื่อถือของประเทศไทยซึ่ง Sustainability Toolkit for Trade Negotiators ที่ร่วมกันจัดทำและดูแลโดย UNEP and IISD ว่า ข้อบทในกฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืชของประเทศไทยเอื้อต่อระบบเกษตรกรรมยั่งยืนแล้ว ยังสร้างความสับสนต่อมิตรประเทศของประเทศไทยอีกด้วย”
พึงตระหนักว่ากลุ่มประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดในโลก ได้แก่ จีน อินเดีย บราซิล และอินโดนีเซีย เป็นต้น ในขณะนี้ยังไม่มีประเทศใดเข้าร่วมเป็นภาคี UPOV1991 และมีหลายประเทศในแอฟริกาที่ถูกชักจูงโดย UPOV ให้เข้าเป็นภาคี เกิดขึ้นเพราะการตัดสินใจของชนชั้นนำในประเทศเหล่านั้นเท่านั้น ไม่ใช่มาจากเสียงเรียกร้องของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศดังกล่าวแต่ประการใด เราจึงเห็นแถลงการณ์ของประชาชน และผู้ตรวจการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติในทวีปดังกล่าวที่ประณามและวิจารณ์การเข้าร่วมดังกล่าวตลอดหลายปีที่ผ่านมา
3. ปิติเห็นว่าความกังวลของกรมส่งเสริมการเกษตรเกี่ยวกับ “ปัญหาการขาดแคลนงบประมาณจากรัฐบาลในการสนับสนุนกิจกรรมด้านการขยายพันธุ์และแจกจ่าย พันธุ์พืชให้กับเกษตรกร” นั้นไม่เกี่ยวกับ CPTPP โดยระบุว่า “ข้อกังวลนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องว่าประเทศไทยสมควรจะเข้าร่วมการเจรจาเพื่อขอเป็นภาคี CPTPP หรือไม่ เพราะถ้ารัฐไม่จัดสรรงบให้ ปัญหาที่กรมฯ ห่วงกังวลก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่ดี”
กรณีนี้ หากมองผิวเผินอาจคล้อยตามที่ปิติตั้งข้อสังเกต แต่หากย้อนไปดูความเป็นจริงที่ว่า ปัจจัยหลักในการพัฒนาสายพันธุ์เกิดขึ้นจากนโยบายของรัฐ ไม่ใช่การสร้างแรงจูงใจโดยใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาที่ขยายสิทธิผูกขาดแก่บริษัทเมล็ดพันธุ์ ในแง่นี้การที่รัฐสนับสนุนงบประมาณให้แก่กรมการข้าวหรือกรมวิชาการเกษตรเกี่ยวกับการวิจัยด้านการปรับปรุงพันธุ์ (ผลิตเมล็ดพันธุ์คัด เมล็ดพันธุ์หลัก) และกรมส่งเสริมการเกษตร (ผลิตเมล็ดพันธุ์ขยาย เมล็ดพันธุ์จำหน่าย) จึงเป็นสิ่งสมควรกระทำยิ่งกว่าการหวังลมแล้งๆ ว่า การพัฒนาพันธุ์พืชจะเข้มแข็งขึ้นจากการขยายอำนาจผูกขาดพันธุ์พืชใหม่แก่บริษัทเมล็ดพันธุ์
4. ปิติเห็นว่าความกังวลของสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์กรมหาชน) หรือ BEDO เรื่องการเข้าร่วม UPOV1991 ซึ่งมีความกังวล 2 ประเด็นหลักมีการอ้างเหตุผลที่ “อาจมีข้อผิดพลาด” ดังนี้
4.1 BEDO ระบุว่า “… พระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. 2542 กำหนดให้นักปรับปรุงพันธุ์พืชต้องแสดงที่มาของพันธุ์พืชใหม่หรือสารพันธุกรรมที่ใช้ในการปรับปรุงพันธุ์ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ผูกพันให้มีการทำข้อตกลงแบ่งปันผลประโยชน์ ทั้งนี้ หากเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา UPOV แล้ว จะทำให้ต้องตัดมาตราที่กำหนดเรื่องการแสดงที่มาของพันธุ์พืชใหม่ …” ซึ่งปิติโต้แย้งว่า ”การอ้างอิงข้อความดังกล่าวอาจจะมีข้อผิดพลาด” โดยให้เหตุผลว่า ในขั้นตอนการขอรับพันธุ์พืชใหม่ตาม UPOV ต้องแสดงที่มาที่ไปเพื่อแสดงให้เห็นว่า ”พันธุ์พืชใหม่ที่นักปรับปรุงพันธุ์พัฒนาขึ้น ทำอย่างไรบ้าง กระบวนการนี้นี่เองที่จะเป็นการป้องกันสิ่งที่หลายๆ ฝ่ายห่วงกังวลคือ การขโมยพันธุ์พืชของไทยโดยโจรสลัดชีวภาพ”
สิ่งที่ปิติยกมาเป็นสิ่งที่กรมวิชาการเกษตรยกขึ้นมาอ้างในกมธ.ฯ และประเด็นดังกล่าวถูกตีตกไปแล้วว่า การแสดงขั้นตอนเพื่อขอรับการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ดังกล่าวเป็นคนละเรื่องกับหนังสือขออนุญาตและการแบ่งปันผลประโยชน์ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืช 2542
การตราเงื่อนไขในกฎหมายให้บริษัทเมล็ดพันธุ์ต้องระบุที่มาของสายพันธุ์ที่ใช้ในการปรับปรุงพันธุ์ และต้องมีหนังสือขออนุญาตและแบ่งปันผลประโยชน์ เป็นการป้องกันมิให้ ‘โจรสลัดชีวภาพ’ หยิบฉวยพันธุ์พืชท้องถิ่น พันธุ์พืชทั่วไป และพันธุ์พืชป่าไปใช้ประโยชน์โดยมิชอบ ในขณะที่การแสดงขั้นตอนการปรับปรุงพันธุ์ที่ระบุสายพันธุ์ตั้งต้นของ UPOV เป็นเพียงการตรวจสอบความใหม่ของสายพันธุ์ที่ขอรับการคุ้มครองเท่านั้น
UPOV กำหนดให้ผู้ขอรับการคุ้มครองพันธุ์พืชแสดงหลักฐานตามเงื่อนไขการขอรับการคุ้มครองพันธุ์พืชตามที่ UPOV กำหนดเท่านั้น ไม่ยอมรับให้มีการบรรจุกลไก ‘การแจ้งล่วงหน้า’ (Prior informed consent) และ ‘การเข้าถึงและแบ่งปันผลประโยชน์’ (ABS หรือ Access & Benefit Sharing) ไว้ในกฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืช
หากเป็นภาคี UPOV1991 แต่ละประเทศต้องเสนอร่างกฎหมายของตัวเองเพื่อให้ UPOV ประเมินก่อนว่าเป็นไปตามอนุสัญญาหรือไม่ ตัวอย่างเช่น กรณีมาเลเซีย ส่งกฎหมาย THE PROTECTION OF NEW PLANT VARIETIES ACT 2004 ของตนให้ UPOV พิจารณาและ UPOV แจ้งว่าต้องตัด มาตรา 12 (e)(f)(g) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการแสดงที่มาของข้อมูลเกี่ยวกับทรัพยากรพันธุกรรมหรือพ่อแม่พันธุ์ที่ใช้ในการปรับปรุงพันธุ์ คำอนุญาตจากหน่วยงานในกรณีพันธุ์พืชนั้นได้มาจากชุมชนท้องถิ่นและชุมชนพื้นเมืองของมาเลเซีย และเอกสารที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายอื่นใดที่ออกขึ้นเพื่อการแบ่งปันผลประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของมาเลเซีย ประเด็นดังกล่าวทำให้รัฐบาลมาเลเซียปฏิเสธการเข้าเป็นภาคี UPOV1991
ควรทราบว่า นอกเหนือจากกฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืช (plant variety protection) แล้ว กฎหมายสิทธิบัตร (patent law) ในหลายประเทศในยุโรป เช่น เบลเยียม เดนมาร์ก ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี โรมาเนีย สเปน นอร์เวย์ สวิตเซอร์แลนด์ เป็นต้น ได้ปรับปรุงกฎหมายสิทธิบัตรของตนให้แสดงที่มาของทรัพยากรชีวภาพและหรือภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ใช้ในกระบวนการประดิษฐ์แล้ว (World Intellectual Property Organization, Disclosure Requirements Table, 2020 และ UNCTAD (2016) Facilitating BioTrade)
ในฐานะประเทศที่เป็นเจ้าของทรัพยากรชีวภาพ ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่มีน้ำหนักมากพอให้เราต้องยินยอมสละหลักการและกลไกที่ปกป้องสิทธิของเกษตรกร ชุมชนท้องถิ่น และผลประโยชน์ของประเทศ เพื่อไปเดินตามระบบกฎหมายที่ออกแบบโดยประเทศอุตสาหกรรมเพื่อประโยชน์ของบรรษัทเมล็ดพันธุ์แทน
4.2 กรณีการเก็บและคัดเลือกพันธุ์พืชไปปลูกต่อ BEDO เห็นว่า “… การขยายสิทธิของนักปรับปรุงพันธุ์พืชผู้ทรงสิทธิในพันธุ์พืชใหม่ให้ครอบคลุมถึง EDV ของอนุสัญญา UPOV อาจจะส่งผลกระทบต่อการคัดเลือกและพัฒนาพันธุ์พืชของเกษตรกรรายย่อยและชุมชนท้องถิ่น โดยอาจไม่สามารถทำตามวิถีการเกษตรที่มีมาแต่เดิมในการคัดเลือกเก็บพันธุ์ที่เกิดขึ้นใหม่ซึ่งมีลักษณะที่ต้องการจากในแปลง (Farm Saved Seed) มาปลูกได้” ซึ่งปิติเห็นแย้งโดยยกตัวอย่างใน 3 ประเด็น
1) ปิติยกตัวอย่างว่าใน “สหภาพยุโรปได้ดำเนินการรักษาสิทธิ farm saved seed นี้ไว้ให้กับผู้ปลูกพืช โดยจำกัดข้อยกเว้นการบังคับใช้ UPOV-1991 ในประเด็นนี้ให้กับ ‘เกษตรกรรายย่อย’ หรือกำหนดให้ผู้ปลูกต้องจ่ายค่าธรรมเนียมใบอนุญาตที่ต่ำกว่าค่าธรรมเนียมใบอนุญาตที่จ่ายโดย PVR อย่างมีนัยสำคัญ”
สิ่งที่ปิติยกตัวอย่างคือสิ่งที่ไบโอไทยชี้มาตลอดเพื่อโต้แย้งนักวิชาการในมหาวิทยาลัยและข้าราชการบางคนในกรมวิชาการเกษตร และบริษัทที่ปรึกษาของกระทรวงพาณิชย์ที่บอกว่า “แม้เข้าร่วม UPOV1991 ได้ แต่เราสามารถออกข้อยกเว้นได้เอง เพื่ออนุญาตให้มีการเก็บพันธุ์พืชไปปลูกต่อ” ว่าไม่เป็นความจริง เงื่อนไขการอนุญาตให้เก็บพันธุ์ไปปลูกต่อนั้นอนุญาตเฉพาะการปลูกเพื่อยังชีพเท่านั้น ส่วนการปลูกเพื่อการค้าห้ามเอาไว้ในเกือบทุกชนิดพืช เช่น ไม้ผล ไม้ยืนต้น ไม้ดอกไม้ประดับ สมุนไพร หรือพืชป่า เป็นต้น
การยกเว้นให้เก็บพันธุ์ไปปลูกต่อได้นั้น UPOV เขียนอธิบายเงื่อนไขเอาเอาไว้ว่า:
1) ชนิดพืชที่จะยกเว้นต้องเป็น “พืชบางชนิดที่ผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ สามารถนำไปเป็นเมล็ดพันธุ์เพื่อขยายพันธุ์ เช่น พวกธัญพืชเมล็ดเล็ก”
2) ต้องเป็นเกษตรกรรายย่อย ซึ่งเมื่อสร้างเกณฑ์กำหนดยกเว้นแล้ว จำนวนสัดส่วนของเกษตรกรที่จะได้รับสิทธิยกเว้นจะต้องไม่กระทบรายได้ของบริษัทเมล็ดพันธุ์
3) เมื่อเข้าเงื่อนไขข้างต้นแล้ว บริษัทเมล็ดพันธุ์ไม่ได้อนุญาตให้ใช้ฟรีๆ แต่ต้องจ่ายค่าตอบแทน (royalty fee) ด้วย
สรุปว่ายังไงก็ต้องจ่าย การบอกว่า UPOV1991 อนุญาตให้รัฐออกข้อยกเว้นได้ตามใจ คือการประกาศความเท็จนั่นเอง
ปิติยังยกตัวอย่างกรณีออสเตรเลียโดยระบุว่า “ออสเตรเลียใช้มาตรา 15 (2) ของ UPOV-1991 โดยอนุญาตให้ผู้ปลูกใช้เมล็ดพันธุ์ที่เก็บไว้ (farm saved seed) โดยไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมใบอนุญาตใดๆ” คำกล่าวของปิติไม่เป็นความจริง เพราะจริงๆ แล้วผู้ที่มีสิทธิจะเก็บพันธุ์ไปปลูกต่อในออสเตรเลียได้ ต้องจ่ายค่าเมล็ดพันธุ์บวกกับค่าตอบแทน (FSS royalty) ตั้งแต่เมื่อซื้อเมล็ดพันธุ์แล้ว เกษตรกรจึงจะมีสิทธิ์เก็บพันธุ์ไปปลูกต่อ และปลูกต่อได้รอบเดียวเท่านั้น (www.ipaustralia.gov.au และ Seraina M. Giovanoli (2014)) รอบต่อไปถ้าต้องการเก็บเมล็ดพันธุ์ไปปลูกต่ออีก ก็ต้องจ่ายค่ารอยัลตี้บวกเข้าไปกับค่าเมล็ดพันธุ์เสียก่อน
ใครสนใจเรื่องนี้โดยละเอียด โปรดอ่านเอกสารของ UPOV เรื่อง “GUIDANCE FOR THE PREPARATION OF LAWS BASED ON THE 1991 ACT OF THE UPOV CONVENTION Document adopted by the Council at its thirty-fourth extraordinary session on April 6, 2017” จะได้ทราบว่า เงื่อนไขการเก็บพันธุ์พืชไปปลูกต่อนั้นมีข้อจำกัดมากเพียงใด
4.3 ปิติให้เหตุผลว่า “ในความเป็นจริง เกษตรกรไทยเกือบทั้งหมดใช้เมล็ดพันธุ์ที่เป็นพันธุ์พืชพื้นเมือง พันธุ์พืชป่า พันธุ์ใหม่ และพันธุ์การค้า ที่ไม่ได้รับการคุ้มครองภายใต้ UPOV-1991 ยังไม่ได้ใช้เมล็ดพันธุ์ที่ได้รับการคุ้มครอง PVR แต่อย่างใด จึงไม่มีปัญหาเรื่อง EDV ตามที่หน่วยงานกังวล”
เรายังไม่ถกรายละเอียดในเรื่องนี้ตอนนี้ แต่ข้อโต้แย้งข้างต้นของปิติฟังไม่ขึ้น เพราะขณะนี้ประเทศไทยยังไม่ยอมรับ UPOV1991 ปัญหาผลกระทบเรื่อง EDV ต่อการคัดเลือกและพัฒนาสายพันธุ์โดยเกษตรกรรายย่อยหรือผู้ปรับปรุงพันธุ์รายใหม่จึงยังไม่เกิดขึ้น ความกังวลของ BEDO คือความกังวลในอนาคต “หากประเทศไทยเข้าร่วม CPTPP และมีเงื่อนไขให้ยอมรับ UPOV1991” เพราะหากเกิดผลกระทบต่อกระบวนการคัดเลือกและพัฒนาสายพันธุ์โดยเกษตรกรรายย่อยและชุมชนท้องถิ่น สายพันธุ์พืชพื้นเมือง พันธุ์พืชทั่วไปต่างๆ ที่ยังคงมีบทบาทสำคัญในภาคเกษตรกรรม แบบที่เราเคยมีข้าวหอมมะลิ ทุเรียนหมอนทอง ส้มโอทับทิมสยาม ฯลฯ อาจไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต
4.4 ปิติเขียนว่า “หากประเทศไทยนำฐานข้อมูลพันธุ์พืชที่ไทยมีอยู่อย่างหลากหลายขึ้นทะเบียนให้ครบถ้วน (เฉพาะกรณีของพันธุ์ข้าว ปัจจุบันประเทศไทยได้รวบรวมเชื้อพันธุกรรมไว้กว่า 24,852 ตัวอย่าง) จากนี้ไปไม่ว่าใครก็ตาม (โดยเฉพาะต่างชาติ) หากนำเอาพันธุ์พืชในฐานข้อมูลของเราไปพัฒนาต่อยอด เราก็จะได้รับผลประโยชน์ด้วยตามหลักการแบ่งปันผลประโยชน์ของ UPOV-1991” ข้อความดังกล่าวชี้ว่าผู้เขียนไม่ทราบหลักการและความแตกต่างทั้งเรื่อง UPOV และ CBD (อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ)
UPOV1991 ไม่มีหลักการแบ่งผลประโยชน์จากพันธุกรรมท้องถิ่น สำนักงาน UPOV จึงเรียกร้องให้ประเทศต่างๆที่เป็นภาคีตัดกลไกการแบ่งปันผลประโยชน์ออกไปจากกฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืช ดังที่ได้กล่าวแล้วก่อนหน้านี้ การที่ปิติอ้างว่า “หากนำเอาพันธุ์พืชในฐานข้อมูลของเราไปพัฒนาต่อยอด เราก็จะได้รับผลประโยชน์ด้วยตามหลักการแบ่งปันผลประโยชน์ของ UPOV-1991” เป็นความสับสนแบบจับแพะชนแกะ
เรื่อง ABS นั้นอยู่ภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ และถูกออกแบบกลไกไว้ในกฎหมายไทย อินเดีย มาเลเซีย เป็นต้น การเข้าเป็นภาคี UPOV1991 ต่างหากที่จะทำลายหลักการดังกล่าว
5. ปิติชี้ว่า การคัดค้าน UPOV1991 ของสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ซึ่งกังวลเรื่องการขยายอำนาจผูกขาดของบริษัทเมล็ดพันธุ์ การเก็บพันธุ์พืชไปปลูกต่อ และส่งผลกระทบต่อกลไกการแบ่งปันผลประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพ เป็นต้นนั้น เกิดจาก “พวกเขาได้รับข้อมูลที่ผิดพลาด ไม่ครบถ้วน และยังไม่มีความเข้าใจ UPOV-1991 อย่างเพียงพอ โดยเฉพาะในประเด็น การห้ามเกษตรกรเก็บส่วนขยายพันธุ์ของพันธุ์พืชใหม่ไปปลูกต่อ รวมทั้งการขยายอำนาจการผูกขาดจากเดิมเฉพาะส่วนขยายพันธุ์ของพันธุ์พืชใหม่ไปยังผลิตผลหรือผลิตภัณฑ์…”
ท่าทีเช่นนี้ออกจะเป็นการดูแคลนสติปัญญาและโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารในโลกยุคปัจจุบันของผู้นำชาวนาและเกษตรกรรุ่นใหม่ไปสักหน่อย ที่จริงแล้วตัวแทนของสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากสภาฯ เป็นที่ปรึกษากมธ.ฯ เช่นเดียวกับปิตินั้น พวกเขาอยู่ร่วมในในที่ประชุมกมธ.ฯ แทบทุกครั้ง มีโอกาสได้รับฟังข้อมูลจากทุกภาคส่วนที่มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับ UPOV1991 พวกเขามีส่วนร่วมอย่างจริงจังในอนุกมธ.ฯ ศึกษาผลกระทบของ CPTPP ต่อเรื่องพันธุ์พืชและการเกษตร เหตุผลที่พวกเขาคัดค้านจึง ”ไม่ใช่การได้รับข้อมูลที่ผิดพลาดหรือไม่ครบถ้วน” แต่เป็นเพราะพวกเขาได้ตัดสินใจเรื่องนี้จากจุดยืนของพวกเขา ซึ่งไม่น่าจะใช่จุดยืนเดียวกับของปิติก็เท่านั้นเอง
ไบโอไทยไม่ได้มีเจตนาเขียนบทความนี้ เพื่อตอบโต้หรือตัดสินใครว่า “เข้าใจผิด” “ตีความผิดพลาด” “ความคิดเห็นส่วนตัวที่มีอคติ” “ตรรกวิบัติ” “จงใจสร้างความเข้าใจผิด” แบบที่ปิติปิดท้ายในบทความของเขา
แต่ประสงค์ให้การ “วิจารณ์แห่งวิจารณ์” นี้จะเป็นประโยชน์ต่อวงวิชาการ เกษตรกร ผู้บริโภค และสังคมไทยทั้งหมด จะได้แสดงบทบาทอย่างเหมาะสม ในวาระที่รัฐบาลนี้กำลังจะตัดสินใจทางนโยบายครั้งสำคัญ ว่าจะเข้าร่วม CPTPP ซึ่งมีเงื่อนไขให้ประเทศภาคีต้องเข้าร่วม UPOV1991 ซึ่งจะนำพาประเทศไปผูกพันกับความตกลงการค้าที่จะส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ และความมั่นคงและอธิปไตยทางอาหารไปอีกนานเท่านาน