fbpx

ถอดบทเรียนวิกฤตวัคซีนและโรงงานกิ่งแก้ว : 9 บาดแผลเดิมๆ ของประเทศภายใต้ระบอบประยุทธ์

สองวิกฤตที่สร้างความเจ็บปวดให้ประชาชนคนไทยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คือ วิกฤตเรื้อรังอย่างเรื่องวัคซีนที่ขาดแคลนและล่าช้า และวิกฤตเฉียบพลันอย่างเพลิงไหม้โรงงานสารเคมีในซอยกิ่งแก้ว จ.สมุทรปราการ สองวิกฤตนี้อาจมีหลายมิติที่แตกต่างกัน แต่จุดร่วมอย่างหนึ่งของสองวิกฤตนี้คือการเปิดบาดแผลฉกรรจ์ของประเทศไทยที่สะสมอาการอักเสบจากความบกพร่องภายใต้การบริหารของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ทั้ง 2 เรื่องนี้ รุนแรง-ลุกลาม ไปกว่าที่ควรเป็น

หากสังคมไทยจะเรียนรู้อะไรได้ ผมคิดว่ามีอย่างน้อย 9 ข้อ ที่น่าจะช่วยหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอยในวันข้างหน้า

1. ต้องไม่ผูกขาดอำนาจทางการเมืองและการออกกฎหมายโดยไร้การตรวจสอบตามวิถีประชาธิปไตย

ต้นตอของทั้งสองวิกฤตส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากการที่ระบอบประยุทธ์ผูกขาดอำนาจทางการเมืองทั้งหมดในสมัย คสช. จนทำให้สามารถลักลอบผ่านกฎหมายหลายฉบับได้  โดยไร้กระบวนการตรวจสอบของฝ่ายค้านและกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนตามที่ควรจะเป็นในระบอบประชาธิปไตย

หนึ่งในหลายกฎหมายที่ออกมาช่วงนั้นโดย สนช. (ซึ่งมาจากการแต่งตั้งของ คสช. และจำนวนมากคือคนที่ดำรงตำแหน่ง ส.ว. ในปัจจุบัน) คือ พ.ร.บ. โรงงาน พ.ศ. 2562 ซึ่งปรับเปลี่ยนจาก พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2535 (ฉบับเดิม) โดยมีสาระสำคัญคือการลดมาตรการคุ้มครองเรื่องความปลอดภัยและเรื่องสิ่งแวดล้อม เช่น การยกเลิกระบบการขอต่อใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานทุก 5 ปี ซึ่งหากยังมีอยู่อาจป้องกันอุบัติเหตุที่โรงงานบริษัทหมิงตี้เคมีคอลได้ จากการตรวจสอบสภาพโรงงาน เครื่องจักร รวมถึงความปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนใกล้เคียงอย่างสม่ำเสมอ

เรื่องวัคซีนก็ไม่ต่างกัน ภายใต้ความเลวร้ายของอีกหลายอย่างที่บรรจุอยู่ในรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ คสช. เขียนกันขึ้นมาเองเพื่อประโยชน์ของพรรคพวกตนเอง คือ การลดทอนเรื่องสิทธิด้านสาธารณสุข ในขณะที่รัฐธรรมนูญฉบับก่อน (2550) เคยเขียนไว้ว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐอย่างเหมาะสม โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายและทันต่อเหตุการณ์” แต่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน (2560) กลับเขียนเพียงว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย” การตัดคำว่า ‘อย่างเหมาะสม’ และ ‘ทันต่อเหตุการณ์’ ออกไป อาจดูเหมือนเป็นรายละเอียดเล็กน้อย ณ เวลานั้น แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันที่เราเห็นถึงความบกพร่องทั้งเรื่องคุณภาพของวัคซีนที่รัฐจัดสรรให้ประชาชนและเรื่องความล่าช้าในการดำเนินการ รายละเอียดนี้หมายถึงการลดความรับผิดชอบทางการเมืองของรัฐบาล และความเป็นความตายของคนจำนวนมากที่ไม่ได้รับการคุ้มครองโดยกฎหมายสูงสุดของประเทศ

ทั้งหมดนี้ ไม่ได้เพื่อบอกว่าการมีระบอบประชาธิปไตย จะทำให้กฎหมายทุกฉบับและทุกมาตราในรัฐธรรมนูญสมบูรณ์แบบ แต่การมีตัวแทนของประชาชนและความเห็นของประชาชนในกระบวนการนิติบัญญัติ จะช่วยลดโอกาสที่กฎหมายจะกลับมาทำร้ายประชาชน

2. ต้องกำจัดทุจริตและเพิ่มความโปร่งใส ในการดำเนินการของรัฐ

พล.อ.ประยุทธ์ อวดอ้างเสมอว่ารัฐบาลของตนมุ่งมั่น ‘ปราบโกง’ และเพิ่งประกาศให้การแก้ไขปัญหาการทุจริตเป็นวาระแห่งชาติ แต่ทั้งหมดคงไม่มีความหมายหากรัฐบาลไม่แสดงให้เห็นว่าการทำงานทุกขั้นตอน เปิดเผย โปร่งใส ตรวจสอบได้

คำถามสำคัญต่อเรื่องวัคซีน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสัญญาจัดซื้อ แผนการส่งมอบวัคซีน แผนการฉีดวัคซีน หรือเหตุผลในการเลื่อนนัดฉีดวัคซีนของประชาชนจำนวนมาก ยังคงเป็นคำถามที่ไร้คำตอบมาถึงทุกวันนี้ ข้อมูลเปิดโปงจากสื่อต่างประเทศว่าบริษัทผู้ผลิตมีประวัติการติดสินบน อย. ของจีน ยิ่งเพิ่มความน่าสงสัยในความจงรักภักดีของรัฐบาลไทยต่อซิโนแวค ที่รัฐบาลยังคงเลือกให้เป็นวัคซีนหลักและสั่งนำเข้ามาฉีดให้คนในประเทศไม่หยุดหย่อน หากรัฐไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจน และยังสรรหาสารพัดข้ออ้างอย่างเพื่อบ่ายเบี่ยงการเปิดเผยข้อมูล ก็ไม่มีทางเลยที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดกับประชาชนได้

ส่วนกรณีโรงงานหมิงตี้ แม้บริษัทจะให้เหตุผลว่าไม่ได้ทำผิดกฎหมายผังเมือง เพราะในปี 2532 พื้นที่ที่เกิดเหตุได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมได้ ก่อนที่ผังเมืองรวมฉบับแรกของจังหวัดสมุทรปราการจะประกาศใช้ในปี 2537 และมีการปรับเปลี่ยนข้อกำหนดเกี่ยวกับการใช้พื้นที่ในเวลาต่อมา แต่สิ่งที่ต้องตั้งคำถามคือเหตุใดรัฐจึงปล่อยให้มีการขยายตัวของชุมชนใกล้ที่ตั้งโรงงานสารเคมี ข้อมูลการปรับเปลี่ยนผังเมืองแต่ละครั้งได้สื่อสารไปถึงประชาชนมากน้อยแค่ไหน ไม่นับข้อครหาที่ว่าการจัดผังเมืองในหลายกรณีมักมีเรื่องสินบนหรือการเอื้อผลประโยชน์นายทุนเข้ามาเกี่ยวข้อง

3. ต้องรับฟังข้อเสนอแนะและข้อทักท้วงของทุกฝ่าย แม้กระทั่งฝ่ายตรงข้าม

แม้เราไม่สามารถคาดหวังได้ว่ารัฐบาลจะตัดสินใจถูกในทุกเรื่อง แต่สิ่งที่เราควรคาดหวังได้ คือการที่รัฐบาลพร้อมรับฟังข้อเสนอแนะหรือข้อทักท้วงจากฝ่ายอื่นอย่างรอบด้าน แม้กระทั่งจากฝ่ายตรงข้ามหรือคู่แข่งทางการเมือง และยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหา มากกว่ารักษาหน้าตาทางการเมือง แต่ที่ผ่านมารัฐบาลประยุทธ์กลับทำตรงกันข้าม

รัฐบาลประยุทธ์ได้ปัดตกทุกข้อเสนอของฝ่ายค้าน โดยหลายครั้งเป็นการใช้อำนาจของนายกฯ ตามมาตรา 133 ของรัฐธรรมนูญ เพื่อปัดตกร่างกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเงิน ตั้งแต่ก่อนที่ร่างกฎหมายได้รับการพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร ไม่ว่าจะเป็น ร่าง พ.ร.บ.ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ร่าง พ.ร.บ.บำนาญพื้นฐานถ้วนหน้า และล่าสุด ร่าง พ.ร.บ. การรายงานการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม หรือที่เรียกว่า PRTR ซึ่งกำหนดให้โรงงานอุตสาหกรรมต้องรายงานต่อกรมควบคุมมลพิษว่ามีการครอบครองสารมลพิษใดบ้าง และมีการปล่อยมลพิษปริมาณเท่าใด ตามรายชื่อสารมลพิษที่กรมควบคุมมลพิษกำหนด ซึ่งจะเป็นประโยชน์มหาศาลสำหรับเจ้าหน้าที่ในการจัดการปัญหาเมื่อเกิดอุบัติเหตุ และสำหรับประชาชนเพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่นำมาประกอบการตัดสินใจในการเลือกที่พักอาศัย

ในเรื่องวัคซีน ข้อทักท้วงให้เปลี่ยนยุทธศาสตร์ ‘แทงม้าตัวเดียว’ ของรัฐบาล มาเป็นการสรรหาวัคซีนที่มีความหลากหลายมาให้ประชาชน ก็เป็นประเด็นที่ถูกพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั้งโดยฝ่ายค้านในรัฐสภา และผู้เชี่ยวชาญกับประชาชนนอกสภา แต่นอกจากไม่เปิดใจรับฟังแล้ว รัฐบาลยังเคยมีการแจ้งความเอาผิดกับคนที่ออกมาวิพากษณ์วิจารณ์กรณีนี้ เช่น การแจ้งความเอาผิดคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ โดยหน่วยงานรัฐอย่างกระทรวงดิจิทัลฯ จากกรณีการไลฟ์เฟซบุ๊กทักท้วงรัฐบาลเรื่องการจัดซื้อวัคซีนเมื่อต้นปี

4. ต้องดึงผู้เชี่ยวชาญมาร่วมงาน ไม่ใช่ผู้ที่ชมเชยรัฐบาล

ประเทศไทยไม่เคยขาดแคลนคนเก่งในหลายแวดวง แต่รัฐบาลนี้มีปัญหาในการดึงความสามารถของพวกเขามาใช้ในเวลาที่ประเทศต้องการมากที่สุด

กรณีมีเอกสารหลุดจากที่ประชุมเฉพาะกิจระหว่างคณะกรรมการ 3 ชุด ที่มีมติไม่ฉีดวัคซีนไฟเซอร์เป็นเข็ม 3 ให้บุคลากรด่านหน้า (เช่น แพทย์ พยาบาล) เพราะเห็นว่าจะเป็นการยอมรับว่าวัคซีนซิโนแวคที่ฉีดไปก่อนหน้า ไม่มีผลในการป้องกัน และอาจทำให้ ‘แก้ตัว’ ยากขึ้น เป็นหนึ่งความอื้อฉาวที่สังคมตั้งคำถาม ไม่ใช่เพียงต่อรัฐบาลที่ควรดึงผู้เชี่ยวชาญมาร่วมแก้ไขวิกฤตบ้านเมืองและสร้างสภาพแวดล้อมให้เขาตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่บนพื้นฐานคณิตศาสตร์ทางการเมือง แต่เป็นการตั้งคำถามต่อ ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ ที่ได้รับบัตรเชิญจากรัฐด้วยว่า เก้าอี้ที่นั่งอยู่นั้นได้มาเพราะความสามารถในการปกป้องชีวิตประชาชน หรือความพร้อมในการกระโดดปกป้องหน้าตาของรัฐบาล

ส่วนการดับเพลิงโรงงานหมิงตี้ การที่นายกฯ ถูกปล่อยให้แสดงความเห็นที่ผิดพลาดทางวิชาการอย่างการสั่งฝนเทียมมาช่วยลดฝุ่นควัน ออกสู่สาธารณะ จนสร้างความสับสนแก่ประชาชน ทำให้ชวนคิดว่าทำไมนายกฯ จึงไม่สามารถเข้าถึงความเห็นที่ถูกต้องจากผู้เชี่ยวชาญได้เพื่อประกอบการตัดสินใจ ในวันที่ประชาชนทั่วไปจำนวนมาก ยังสามารถแชร์ความเห็นของนักวิชาการตามสื่อโซเชียลเพื่อช่วยเหลือกันและกันได้อย่างทันท่วงที

เป็นที่น่าคิดว่าปัญหาของการดึงผู้มีความสามารถมาช่วยงานรัฐบาล คงไม่ได้อยู่ที่การขาดแคลนคนเก่งในประเทศ แต่อาจอยู่ที่การล็อกสเปกไว้แต่ตั้งต้นว่าเก่งอย่างเดียวไม่พอ ต้องพร้อมรักษาหน้ารัฐบาลด้วย

5. ต้องแบ่งความรับผิดชอบและหน้าที่อย่างชัดเจน ไม่โยนงานกันไปมา

ผมเชื่อว่าคนไทยจำนวนไม่น้อย รู้สึกสับสนกับการแบ่งงานของรัฐบาลในหลายกรณีที่คาบเกี่ยวหลายหน่วยงาน

ในการรับมือกับสถานการณ์โควิด การนั่งเป็นประธาน ศบค. ของประยุทธ์ ไม่ได้ช่วยให้ความชัดเจนเพิ่มขึ้น หลายต่อหลายครั้งสื่อมวลชนจึงตั้งคำถามที่สะท้อนความสับสนของประชาชนต่อคนในรัฐบาลว่าเรื่องนั้นเรื่องนี้เป็นอำนาจและหน้าที่ของใคร เราจึงได้เห็นการ ‘โยนงาน’ กันไปมาระหว่าง ศบค.-กระทรวงสาธารณสุข-กทม. อยู่บ่อยครั้ง เช่น กรณีที่รัฐมนตรีสาธารณสุขกล่าวว่าปัญหาการกระจายวัคซีนในแต่ละพื้นที่ เป็นเรื่องของ ศบค. และผู้ว่าราชการจังหวัด หรือเมื่อมีการเลื่อนฉีดวัคซีนเมื่อต้นเดือนมิถุนายน จนโรงพยาบาลแห่งหนึ่งไล่ให้ไปถามสาเหตุจากรัฐมนตรีสาธารณสุข แต่รัฐมนตรีกลับบอกว่ากระทรวงมีหน้าที่แค่จัดสรร ส่วนหน้าที่บริหารจัดการเป็นของ กทม.

ความสับสนเช่นนี้ยังเกิดขึ้นในเหตุไฟไหม้โรงงานกิ่งแก้ว เมื่อปรากฏภาพ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ติดตามการควบคุมเพลิงและพูดคุยสั่งการกับเจ้าหน้าที่นอกขอบเขตอำนาจของตนเอง ทั้งที่ควรเป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีมหาดไทยในฐานะผู้กำกับดูแลหน่วยงานด้านผังเมืองและการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

ปัญหาเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นถึงทั้งปัญหาการบริหารจัดการราชการที่รวมศูนย์แต่ขาดเอกภาพในการรับมือกับประเด็นที่ซับซ้อน และปัญหาการดำเนินงานทางการเมืองที่อยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ ที่พร้อมแบ่งตำแหน่งและความรับผิดชอบงานตามโควตาของแต่ละ ‘มุ้ง’ ทางการเมือง มากกว่าแบ่งตามความเชี่ยวชาญและความเหมาะสมต่อหน้าที่

6. ต้องจัดสรรงบประมาณอย่างเหมาะสมในการคุ้มครองประชาชนจากภัยคุกคามที่มีอยู่จริง

เพื่อรับมือสถานการณ์วิกฤต จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีอุปกรณ์เครื่องมือเพียงพอ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อได้รับงบประมาณที่พอเพียง แต่ความเป็นจริงของประเทศไทย ผู้ที่ ‘ทำงานเพื่อชาติ’ จริงๆ มักได้รับจัดสรรงบประมาณน้อยกว่าพวกที่อ้างชาติในการทำงาน

เห็นได้จากอาสาสมัครที่เข้าไปช่วยดับเพลิงโรงงานกิ่งแก้ว หลายคนขาดความพร้อมเรื่องเครื่องมืออุปกรณ์ แต่ยอมควักเงินซื้อเพื่อหาสิ่งป้องกันตัวตามกำลัง ทำให้แทนที่จะได้สวมหน้ากากป้องกันสารพิษ กลับได้สวมเพียงหน้ากากอนามัย แทนที่จะได้สวมรองเท้าสำหรับงานสาธารณภัย กลับต้องสวมรองเท้าธรรมดาจนร่างกายได้รับบาดเจ็บ และน่าเศร้าที่สุดคือมีผู้ที่ต้องสูญเสียชีวิตจากความเสียสละครั้งนี้

น่าหดหู่ใจเมื่อเหตุการณ์ที่กล่าวมาเกิดขึ้นในประเทศที่มีเงินมากพอที่จะซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์เติมกองทัพโดยอ้างเรื่อง ‘ความมั่นคง’ และมากพอที่จะรองรับการเกณฑ์คนไปเป็นทหารปีละกว่าหนึ่งแสนคนโดยอ้างเรื่อง ‘การรับใช้ชาติ’ แต่กลับขาดแคลนงบประมาณสำหรับคนที่ทำงานด้านสาธารณภัยซึ่งใกล้ชิดกับความเดือดร้อนของประชาชนโดยตรงมากกว่า

เช่นเดียวกันกับการระบาดของโควิดซึ่งเป็นวิกฤตระดับโลกที่อาจรุนแรงที่สุดในรอบ 100 ปี และท่ามกลางการระบาดระลอกสามในประเทศไทยที่ยังไม่มีแนวโน้มคลี่คลาย แต่รัฐบาลไทยกลับรับมือด้วยการจัดทำงบประมาณที่ตัดลดงบประมาณสาธารณสุขเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี ตรงกันข้ามกับงบประมาณกลาโหม ที่แม้ภาพรวมจะได้รับการจัดสรรน้อยลงเช่นเดียวกับกระทรวงอื่น แต่ส่วนที่ยังเพิ่มขึ้นคือรายจ่ายบุคลากร ภายใต้บริบทของโลกยุคใหม่ที่ภัยคุกคามต่อความมั่นคง ได้เปลี่ยนรูปแบบมาเป็นภัยที่ไม่สามารถป้องกันได้จากขนาดกองทัพหรือปริมาณกำลังพลทหารอีกต่อไป

7. ต้องใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและข้อมูลในการให้บริการประชาชน

พล.อ.ประยุทธ์ พร่ำพูดถึงไทยแลนด์ 4.0 หรือการพัฒนาเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมมาหลายปี แต่พอถึงเวลาที่ประเทศต้องพึ่งนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีในการจัดการปัญหาเข้าจริงๆ กลับพบว่าเราเป็นได้แค่ไทยแลนด์ 0.4

ในวันที่ประชาชนเข้าถึงเทคโนโลยีมากกว่าหลายประเทศเพื่อนบ้าน และในวันที่รัฐเก็บข้อมูลจากประชาชนมหาศาล แต่การลงทะเบียนฉีดวัคซีนก็ยังคงประสบปัญหาเช่นเดียวกับการลงทะเบียนรับสิทธิ์อื่นๆ จากภาครัฐในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะทั้งระบบล่ม ลงทะเบียนไม่ได้ ต้องใส่ข้อมูลซ้ำซ้อน การไม่แจ้งเตือนผู้จองคิววัคซีนเมื่อถูกเลื่อน หรือแม้กระทั่ง การมีอยู่ของกี่สิบแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ที่ทำให้ผู้ลงทะเบียนรู้สึกสับสน

การนำเทคโนโลยีมาใช้ในเหตุการณ์ภัยพิบัติก็ไม่มีให้เห็นจากภาครัฐ ทั้งที่เครื่องมือหนึ่งที่สำคัญในการช่วยลดความเสียหายต่อประชาชน คือระบบแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉิน (emergency alert) ที่หน่วยงานรัฐจะส่งข้อความไปยังโทรศัพท์มือถือของประชาชนตามพิกัดของผู้ใช้ โดยไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต น่าผิดหวังที่ประเทศไทยยังไม่มีระบบนี้ สิ่งที่เป็นที่พึ่งของประชาชนในวันนั้น (นอกจาก SOS Alert ของ Google Map) กลับเป็นระบบแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉินที่ถูกเขียนโดยภาคประชาชนกันเอง (โดยคุณปาล์ม นิธิกร บุญยกุลเจริญ) ผ่าน Longdo Map API  ซึ่งช่วยให้คนสามารถเข้าไปตรวจสอบพิกัดของตัวเอง เพื่อประเมินความจำเป็นในการอพยพได้

8. ต้องสื่อสารกับประชาชน ด้วยความชัดเจน รวดเร็ว และเห็นอกเห็นใจ

ท่ามกลางวิกฤต คำพูดของผู้นำมีความหมายอย่างยิ่งว่าจะช่วยฟื้นสถานการณ์ให้ดีขึ้นหรือซ้ำเติมให้แย่ลง สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ เขาพิสูจน์มาหลายต่อหลายครั้งว่าไร้ซึ่งความสามารถในการสื่อสารที่แสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจประชาชน

แม้ในวันที่ผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากโควิดเพิ่มจำนวนขึ้นต่อเนื่อง ในวันที่คนทำมาหากินรอความชัดเจนว่าร้านของเขาจะเปิดค้าขายได้หรือไม่ ในวันที่แพทย์พยาบาลเหน็ดเหนื่อยจนแทบจะแบกภาระหน้าที่ไม่ไหว แทนที่ประยุทธ์จะแสดงภาวะผู้นำที่ร่วมทุกข์ร่วมสุข แถลงด้วยถ้อยคำที่ระมัดระวังและด้วยท่าทีสำรวม แต่ตรงกันข้าม ประยุทธ์กลับพูดจาหยอกล้อกับสื่อ พูดไปหัวเราะไป ราวกับไม่รู้ร้อนรู้หนาวถึงความเป็นความตายนอกทำเนียบรัฐบาล ร้ายแรงที่สุดคือการล้อมวงกินข้าวพักผ่อนริมทะเลภูเก็ตในขณะที่ประชาชนหลายพื้นที่ถูกสั่งห้ามกินข้าวนอกบ้าน และยังปฏิเสธตอบนักข่าวเมื่อถูกถามถึงจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิดที่สูงสุดนับแต่เกิดการระบาด

เมื่อหันไปมองเหตุการณ์ไฟไหม้โรงงานกิ่งแก้ว ก็ยิ่งเห็นถึงความล่าช้าของนายกฯ ในการสื่อสารต่อสาธารณะ ทั้งแผนที่ชัดเจนในการปฏิบัติการ การสื่อสารเพื่อปลอบโยนความรู้สึกของประชาชน หรือการสื่อสารเพื่อแสดงวิสัยทัศน์ว่า ในฐานะผู้นำรัฐบาล ประเทศไทยได้เรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และในระยะยาวจำเป็นต้องมีการแก้ไขเรื่องใดเพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

9. ต้องไม่ปล่อยให้เรื่องบานปลายกลายเป็นวิกฤตแล้วจึงคิดมาแก้เฉพาะหน้า

ผมเชื่อว่าคงไม่มีมนุษย์คนไหนอยากให้สองวิกฤตนี้เกิดขึ้น แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าที่สองวิกฤตนี้สร้างความเสียหายเกินกว่าที่ควรเป็น มีส่วนมาจากการที่รัฐบาลปล่อยปละละเลยปัญหาที่คุกรุ่นมานาน จนมาถึงวันนี้ที่ทุกอย่างปะทุออกมา

ประเทศไทยพบว่าเราควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อได้ดีในช่วงเริ่มต้น (ถึงแม้การล็อกดาวน์ในระลอกแรก อาจถูกทักท้วงว่าเป็นมาตรการที่มี ‘ราคา’ สูงเกินไปในด้านเศรษฐกิจ) และมีเวลามากพอสำหรับเตรียมการรับมือหากมีการระบาดระลอกใหม่ แต่น่าเสียดายที่เวลาเหล่านั้นถูกใช้หมดไปอย่างประมาทเลินเล่อ จนปัจจุบันมีประชาชนที่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ และอีกจำนวนมากถูกเลื่อนฉีดเพราะไม่มีวัคซีน ภายใต้การเกิดขึ้นและกระจายตัวของโควิดสายพันธุ์ใหม่ๆ ไปตามพื้นที่ต่างๆ จนเกินควบคุม จนล่าสุด Nikkei ให้คะแนนประเทศไทยเป็นอันดับท้ายๆ ของโลก (118 จาก 120 ประเทศ) ในด้านการฟื้นตัวจากโควิด (COVID-19 Recovery Index)

ด้วยเหตุผลเดียวกัน เหตุการณ์ไฟไหม้โรงงานกิ่งแก้วก็มาจากปัญหาเดิมๆ ที่เรื้อรังมานาน ไม่ว่าจะเป็นการวางผังเมืองที่ไม่มีความรัดกุมพอในการป้องกันไม่ให้โรงงานและที่พักอาศัยตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกัน หรือปัญหาเรื่องการรับมือกับสภาวะฉุกเฉิน ที่ยังขาดแผนปฏิบัติการที่มีความชัดเจน และขาดการอบรมแนวทางการรับมือนี้กับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องและประชาชนในพื้นที่

มาตรการล็อกดาวน์ที่คาดว่าจะถูกประกาศในเร็ววันนี้ (ซึ่งอาจไม่มาควบคู่กับการเยียวยาที่เพียงพอ ครอบคลุม และทันท่วงที) เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการปล่อยให้ปัญหาบานปลาย ก่อนที่จะมาคิดแก้เฉพาะหน้า ในวันที่สมการมีความท้าทายกว่าเดิมหลายเท่า

ทั้ง 9 ปัญหานี้ อาจไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับการบริหารงานของรัฐบาลภายใต้ระบอบประยุทธ์ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา แต่ทั้ง 9 ปัญหานี้ ถูกฉายภาพให้เห็นชัดขึ้นจากสองวิกฤตที่ประชาชนต้องเผชิญในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และอาจทำให้เราตระหนักยิ่งขึ้นว่าความเลวร้ายของระบอบประยุทธ์ที่ซุกซ่อนและทับถมยาวนานกว่า 7 ปี อาจผุดขึ้นมาสร้างความเสียหายต่อตัวเราและคนที่เรารักอย่างคาดไม่ถึง

ถึงแม้การกำจัดระบอบประยุทธ์อาจไม่สามารถทดแทนหลายพันชีวิตที่ต้องจากไปเพราะโรคร้าย และไม่สามารถเยียวยาความรู้สึกของประชาชนที่ต้องสูญเสียบ้านที่ผูกพัน แต่ประเทศไทยที่ไม่มีระบอบประยุทธ์ จะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้แก่คนรุ่นหลัง เพื่อให้ประเทศเราไม่เดินซ้ำรอยกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากสองวิกฤตนี้

MOST READ

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

21 Nov 2018

เมื่อโรคซึมเศร้าทำให้อยากจากไป

เรื่องราวการรับมือกับความคิด ‘อยากตาย’ ผ่านประสบการณ์ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า คนเคียงข้าง และบทความจากจิตแพทย์

ศุภาวรรณ คงสุวรรณ์

21 Nov 2018

Politics

31 Jul 2018

30 ปี การสิ้นสุดของระบอบเปรมาธิปไตย (1) : ความเป็นมา อภิมหาเรื่องเล่า และนักการเมืองชื่อเปรม

ธนาพล อิ๋วสกุล ย้อนสำรวจระบอบเปรมาธิปไตยและปัจจัยสำคัญเบื้องหลัง รวมทั้งถอดรื้ออภิมหาเรื่องเล่าของนายกฯ เปรม เพื่อรู้จัก “นักการเมืองชื่อเปรม” ให้มากขึ้น

ธนาพล อิ๋วสกุล

31 Jul 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save