เครือข่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตย

เครือข่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตย

สมชาย ปรีชาศิลปกุล เรื่อง

Shin Egkantrong ภาพประกอบ

 

ในห้วงระยะเวลาก่อน, ระหว่าง, และภายหลังการเลือกตั้งเมื่อ 24 มีนาคม 2562 เราต่างได้เห็นบทบาทขององค์กรจำนวนหนึ่งที่แสดงตนออกมาบ่อยครั้งมากขึ้น

บทบาทขององค์กรเหล่านี้ก็ได้ดำเนินไปในทิศทางที่สนับสนุน หรืออย่างน้อยที่สุดก็ไม่ขัดขวางต่อระบบอำนาจนิยมที่ดำรงอยู่ และในอีกด้านหนึ่ง ก็เป็นบทบาทที่ดูราวกับจะไม่สอดคล้องกับมาตรฐานในระบอบประชาธิปไตย เช่น การตีความว่าหัวหน้า คสช. ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ, การตีตกข้อกล่าวหาเรื่องโต๊ะจีนของพรรค พปชร. อย่างง่ายดาย, การยุบพรรคการเมืองโดยปราศจากการรับฟังข้อแก้ต่างของผู้ถูกกล่าวหา, การปฏิเสธการนับคะแนนจากต่างประเทศทั้งที่มิใช่ความผิดของผู้ออกเสียง เป็นต้น รวมถึงล่าสุดการแจ้งข้อกล่าวหาแก่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในข้อหาถือหุ้นในบริษัทสื่อสาร อันเป็นการดำเนินการอย่างรวดเร็ว

แม้บางองค์กรอาจยังไม่แสดงบทบาทอย่างชัดเจนในห้วงเวลานี้ แต่เป็นที่เข้าใจได้ว่าอีกไม่นาน ก็จะได้ออกมาแสดง ‘ปาฏิหาริย์’ กันอีกรอบ เป็นที่คาดหมายได้ว่าการทำหน้าที่ขององค์กรเหล่านี้ จะเป็นไปในทิศทางที่อยู่ในด้านตรงกันข้ามกับสถาบันการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งและมีเจตนารมณ์ต่อต้านการสืบทอดอำนาจ

การทำความเข้าใจถึงบทบาทหน้าที่ขององค์กรเหล่านี้ อาจกระทำได้ด้วยการพิจารณาถึงปฏิบัติการของแต่ละองค์กรว่าได้ทำหน้าที่ไปโดยสอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ของตนเองหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ในบทความนี้จะมุ่งพิจารณาบทบาทขององค์กรเหล่านี้ในฐานะที่เป็นเครือข่ายอันมีอุดมการณ์ เป้าหมาย และผลประโยชน์บางประการร่วมกัน เฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการยืนอยู่ตรงกันข้ามกับระบอบประชาธิปไตย หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือการทำหน้าที่ในฐานะ ‘ปฏิปักษ์ประชาธิปไตย’

 

กลับคืนสู่เวทีประชาธิปไตย

 

ภายหลังจากที่บทบาทลดต่ำลงภายใต้ระบอบอำนาจนิยม (อันเนื่องมาจากเป็นการปกครองและใช้อำนาจของ คสช. เป็นสำคัญ) มาบัดนี้เมื่อสังคมไทยกำลังเริ่มต้นที่จะหวนกลับคืนสู่ระบอบประชาธิปไตย ก็เป็นจังหวะเวลาที่ ‘เครือข่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตย’ จะเข้ามารับช่วงบทบาทหน้าที่ในการกำกับดูแลความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะบังเกิดขึ้น

การสร้างเครือข่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตย (หรือถูกเรียกและเข้าใจกันกว้างขวางว่า ‘องค์กรอิสระ’ อันมีนัยที่เป็นบวก) เป็นผลสืบเนื่องมาจากรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งมีความพยายามในการควบคุมการขยายตัวของระบบการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ผ่านการจัดตั้งองค์กรที่มาจากการสรรหา โดยบุคคลที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ และมีความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ ด้วยความเชื่อว่าจะสามารถทำให้การเมืองของไทยเดินหน้าไปได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ในระยะเริ่มต้น องค์กรต่างๆ เหล่านี้ยังมีจุดยึดโยงกับอำนาจอธิปไตยที่เป็นของประชาชนอยู่

อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งและการโต้กลับของฝ่ายอนุรักษ์/อำนาจนิยม ในช่วงทศวรรษ 2550 ได้ส่งผลให้การออกแบบและการจัดวางสถานะขององค์กรเหล่านี้มีความผันแปรไปอย่างไพศาล ประกอบกับกระแส Royal Judicial Activism นับตั้งแต่ 2549 เป็นต้นมา เป็นผลให้องค์กรเหล่านี้เคลื่อนไปสู่การเป็นเครือข่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตยที่เด่นชัดมากขึ้น

แม้จะมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทดแทนรัฐธรรมนูญ 2540 แต่ความล้มเหลวภายใต้รัฐธรรมนูญ 2550 ส่งผลให้รัฐธรรมนูญ 2560 พยายามที่จะสร้างอำนาจเหนือสถาบันการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งที่เข้มข้นกว่าเดิม ทั้งในแง่ของการควบคุมด้วยกฎเกณฑ์บรรทัดฐานนานาชนิด การมอบอำนาจให้องค์กรต่างๆ อย่างล้นเหลือในการแทรกแซงและขัดขวางกระบวนการประชาธิปไตย และด้วยการดำรงอยู่แบบลอยพ้นจากการตรวจสอบของประชาชน

แม้จะมีการตรวจสอบระหว่างกันเองอยู่บ้าง ดังเมื่อมีการโต้แย้งต่อองค์กรใดเกิดขึ้น ประชาชนก็สามารถไปยื่นให้อีกองค์กรหนึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบและวินิจฉัยการกระทำ (อันเป็นความเคลื่อนไหวทางการเมืองซึ่งเป็นที่นิยมกันอยู่ในปัจจุบันของหลายฝ่าย) แต่จะพบว่าปฏิบัติการขององค์กรเหล่านี้ดำเนินไปในทิศทางที่สอดคล้องกัน

เป็นเรื่องปกติที่ความไม่ชอบมาพากลขององค์กรหนึ่ง จะถูกรับรองไว้ด้วยคำวินิจฉัยของอีกองค์กรหนึ่ง ซึ่งล้วนแต่มีระดับความน่าเชื่อถือต่ำเตี้ยเรี่ยดินไม่ต่างกันแต่อย่างใด ซ้ำยังมิใช่ปฏิบัติการขององค์กรใดองค์กรเดียวเท่านั้น ย่อมไม่มีถ้อยคำใดเหมาะสมไปการขนานนามองค์กรเหล่านี้โดยรวมว่าเป็น ‘เครือข่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตย’

 

เครือข่ายพันลึกลอยน้ำ

 

ในหนังสือเรื่อง Toward Juristocracy: The origins and consequences of the new constitutionalism (2007) ของ Ran Hirschl ซึ่งได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับบทบาทของสถาบันตุลาการในหลายประเทศเปรียบเทียบกัน เขาเสนอว่า ในประเทศที่มีการเปลี่ยนผ่านจากระบอบอำนาจนิยมสู่ระบอบประชาธิปไตยบนการเลือกตั้งที่เท่าเทียมกันของผู้คน ความเปลี่ยนแปลงนี้มีผลให้ชนชั้นนำที่มีอำนาจดั้งเดิม ไม่สามารถควบคุมกำกับการเมืองแบบที่เคยเป็นมา ส่งผลให้การรักษาอำนาจของกลุ่มตนต้องหันไปใช้สถาบันอื่นทดแทน เฉพาะอย่างยิ่งสถาบันตุลาการ ซึ่งเคยถูกจัดวางให้อยู่ห่างจากความขัดแย้งทางการเมือง

สถาบันตุลาการได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองแบบหนึ่ง ซึ่ง Hirschl เรียกว่าเป็น ‘การธำรงอำนาจนำดั้งเดิม’ (hegemonic preservation) เพื่อต่อรองและรักษาอำนาจของชนชั้นนำดั้งเดิมกับชนชั้นนำกลุ่มใหม่ที่มีฐานมาจากการเลือกตั้ง ผ่านการวินิจฉัยข้อพิพาทในเรื่องต่างๆ เพื่อทำให้ความชอบธรรมของชนชั้นนำเดิมดำรงอยู่ต่อไป

แต่ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าสถาบันตุลาการในทุกสังคม จะต้องแปรสภาพไปทำหน้าที่ดังกล่าวในลักษณะเดียวกันเสมอไป หากยังคงขึ้นอยู่กับเงื่อนไขหรือปัจจัยภายในของแต่ละแห่ง ว่าเปิดโอกาสให้สถาบันตุลาการสามารถแสดงตัวได้มากน้อยเพียงใด

ในกรณีของสังคมไทย จะเห็นได้ว่าการทำหน้าที่ของสถาบันตุลาการ กลายเป็นอำนาจหนึ่งที่สำคัญในการจัดการกับชนชั้นนำหรือกลุ่มที่เติบโตขึ้นมากับระบบการเลือกตั้ง การยุบพรรคการเมือง การตัดสินลงโทษผู้นำทางการเมือง การตัดสิทธิในการรับสมัครการเลือกตั้ง เป็นต้น ล้วนเป็นตัวอย่างของการใช้อำนาจทางกฎหมาย ในการจัดการกับกลุ่มอำนาจใหม่จากการเลือกตั้ง

สำหรับการจัดวางตำแหน่งแห่งที่ของสถาบันตุลาการในพื้นที่การเมืองที่แผ่ขยายมากขึ้นของสังคมไทย การออกแบบโครงสร้างทางการเมืองยังทำให้เกิดองค์กรหลายองค์กรขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่ร่วมกันในการปกป้องอำนาจนำดั้งเดิม ดังเห็นชัดเจนนับตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่ง กกต. ปปช. และศาลรัฐธรรมนูญ ได้ทำหน้าที่สอดคล้องกันมาอย่างต่อเนื่อง

ดังนั้น การปกป้องอำนาจนำดั้งเดิมและการเป็นปฏิปักษ์ประชาธิปไตยในสังคมไทย จึงไม่ใช่เพียงแค่บทบาทขององค์กรใดองค์กรหนึ่งเป็นการเฉพาะ หากเป็นการทำงานร่วมกันเป็นเครือข่ายโดยอยู่ภายใต้อำนาจนำ ผลประโยชน์ และอุดมการณ์การเมืองที่ใกล้เคียงกัน

การพิจารณาถึงเครือข่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตย อาจมีส่วนใกล้เคียงกับแนวความคิดเรื่อง ‘รัฐพันลึก’ (Deep State) ของ Eugenie Marieau (ในวารสาร Journal of Contemporary Asia, vol.46, no.3, 2016) โดยกรอบการมองแบบรัฐพันลึก เสนอว่าบทบาทและตำแหน่งของฝ่ายต่างๆ ในรัฐชนิดนี้ นอกจากตำแหน่งที่เป็นทางการแล้ว กลุ่มคนเหล่านี้ยังมีบทบาทอีกแบบหนึ่งในลักษณะที่ไม่เป็นทางการ ไม่ชัดเจน ซึ่งอาจมีอิทธิพลต่อการปฏิบัติหน้าที่อันเป็นทางการอย่างสำคัญ

แต่เครือข่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตยที่ปรากฏตัวในสังคมการเมืองของไทย เป็นองค์กรที่ดำรงอยู่ในลักษณะที่เป็นทางการ ไม่ได้แอบซ่อน ไม่ได้ดำรงอยู่อย่างเร้นลึก เห็นได้อย่างชัดเจน และการทำหน้าที่ก็กล่าวอ้างอยู่บนการใช้อำนาจที่มีกฎระเบียบรองรับ

นอกจากนั้นแล้ว ในแง่ของความรับผิดชอบ ดูราวกับว่ารัฐพันลึกอาจไม่ต้องมีความชอบธรรมและความรับผิดต่อสังคม แต่เนื่องจากเครือข่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตยเป็นโครงสร้างที่ดำรงอยู่อย่างเป็นทางการ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือการโผล่ขึ้นมาจากอำนาจที่ไม่เป็นทางการ องค์กรในเครือข่ายเหล่านี้จึงต้องเผชิญกับการเรียกร้องถึงความชอบด้วยกฎหมาย ความรับผิด ในกรณีที่ไม่อาจทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพได้

แม้ว่ารัฐธรรมนูญ 2560 จะพยายามทำให้การควบคุมตรวจสอบเครือข่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตยเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่ด้วยภาวะที่เป็นทางการ ทำให้ไม่อาจหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบต่อสังคมได้ แม้ว่าความรับผิดอาจยังเบาบางอยู่ในขณะปัจจุบัน แต่อย่างไรก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องตอบคำถามถึงข้อสงสัยต่างๆ อาจมากบ้างน้อยบ้างขึ้นอยู่กับแต่ละสถานการณ์

แต่ในระยะยาว ความชอบธรรมและความรับผิดชอบต่อสาธารณะ จะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงอยู่อย่างมั่นคงขององค์กรเช่นนี้

 

อำนาจน้อยนิดมหาศาล

 

หากพิจารณาถึงพื้นที่ซึ่งประชาชนสามารถเข้าไปมีส่วนกำหนดในโครงสร้างทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ 2560 จะพบว่าพื้นที่ของโครงสร้างอำนาจอย่างเป็นทางการที่เปิดรองรับอำนาจประชาชนมีอยู่ไม่มากเท่าใด ซึ่งปรากฏอยู่เฉพาะกับอำนาจในการเลือกตั้งฝ่ายนิติบัญญัติเท่านั้น องค์กรจำนวนมากไม่ได้อยู่ภายใต้การตรวจสอบของประชาชนแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นองค์กรอิสระ ฝ่ายตุลาการ หรือแม้กับคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติก็ตาม

ถ้าพิจารณาเฉพาะในส่วนของอำนาจนิติบัญญัติ สมาชิกวุฒิสภาจากการแต่งตั้งมีจำนวนถึงหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิกรัฐสภา ส่วนประชาชนทั้งประเทศมีอำนาจเลือกได้อีกเพียงสองในสาม ยิ่งในสถานการณ์ที่ผลการเลือกตั้งไม่ได้เป็นไปแบบ ‘พลิกฟ้า คว่ำแผ่นดิน’ โดยคะแนนระหว่างคนที่สนับสนุนและคัดค้านระบอบอำนาจนิยมไม่แตกต่างกันมาก ก็ไม่ควรที่ฝ่ายชนชั้นนำดั้งเดิมจะต้องกังวลใจมากนักกับผลการเลือกตั้งที่เกิดขึ้น

แต่จากการเคลื่อนไหวของเครือข่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตยอย่างพร้อมเพรียง ณ ห้วงเวลานี้ ย่อมแสดงให้เห็นถึงความไม่มั่นใจในความเข้มแข็งและความศักดิ์สิทธิ์ของฝ่ายชนชั้นนำ เฉพาะอย่างยิ่งในห้วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านแห่งยุคสมัยที่ทำให้ศูนย์กลางของอำนาจเปลี่ยนแปลงไป ย่อมทำให้เกิดความไม่ชัดเจนถึงรูปแบบและความสัมพันธ์ของแต่ละฝ่ายว่าจะดำรงอยู่ในแบบใดต่อไป

อาจกล่าวได้ว่า การปรากฏตัวของพรรคอนาคตใหม่นำมาซึ่งความตื่นตระหนกในหมู่ชนชั้นนำมิใช่น้อย ลำพังการต่อรองและการใช้มาตรการทางกฎหมายของเครือข่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตยกับพรรคเพื่อไทย หรือพรรคที่แตกตัวออกมา ก็อาจพอจะทำให้สลายความเข้มแข็งทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยลงได้อยู่บ้าง ดังที่ได้เคยเกิดมากว่าทศวรรษ

แต่สำหรับพรรคอนาคตใหม่ มีความแตกต่างออกไปอย่างสำคัญ ความพยายามในการปกป้องอำนาจทางการเมืองให้ดำรงอยู่ด้วยเครือข่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตยแบบเดิมๆ ในเงื่อนไขที่สังคมเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก อาจเป็นภารกิจที่ไม่ประสบความสำเร็จได้โดยง่าย

ไม่ใช่เพียงเพราะความเป็นพรรคซึ่งนำเสนอภาพของคนรุ่นใหม่อย่างเดียว แต่เพราะข้อเสนอทางนโยบายที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่ตอบสนองต่อความต้องการของคนจำนวนไม่น้อยในสังคม การลงคะแนนให้อย่างเกินความคาดหมายย่อมสะท้อนให้เห็นว่า โลกและชีวิตที่ถูกนำเสนอโดยระบอบอำนาจนิยม ไม่ได้เป็นโลกและความใฝ่ฝันที่คนจำนวนมากต้องการ

ต้องไม่ลืมว่าคนกลุ่มนี้ คือผู้ที่กำลังเติบโตเป็นกำลังหลักของสังคมต่อไปในภายภาคหน้า และมีแต่จะขยายออกไปกว้างขวางมากขึ้นในอนาคต

นอกจากไม่มีทางปฏิเสธ ยังต้องนับรวมพลังเหล่านี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสังคม เฉกเช่นที่สังคมอารยะอื่นๆ กระทำกัน และนำพาสังคมไปสู่การจัดการความเห็นต่างอย่างสันติที่สุดภายใต้ระบอบประชาธิปไตย การยืนฝืนกระแสความเปลี่ยนแปลงนี้อย่างสิ้นคิด จะไม่ทำให้สังคมไทยก้าวเดินไปได้แต่อย่างใดเลย ทั้งยังอาจเป็นการปูทางสู่ความขัดแย้งให้รุนแรงขึ้น

คำถามสำคัญก็คือ สังคมไทยยังมีต้นทุนเพียงพอสำหรับการจัดการกับหายนะในลักษณะเช่นนี้อยู่อีกหรือไม่

MOST READ

Politics

16 Dec 2021

สิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับและถูกควบคุมตัว (ตอนที่ 1) : เหตุใดจึงต้องพบศาล และต้องพบศาลเมื่อใด

ปกป้อง ศรีสนิท อธิบายถึงวิธีคิดของสิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับกุมและควบคุมตัว และบทบาทของศาลในการพิทักษ์เสรีภาพปัจเจกชน

ปกป้อง ศรีสนิท

16 Dec 2021

Politics

25 Jan 2024

ผู้พิพากษาอาวุโสมีไว้มากมาย… ทำไม

‘ใบตองแห้ง’ ชวนสำรวจเงินเดือนของเหล่าผู้พิพากษาอาวุโส ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี และชวนตั้งคำถามว่า บทบาทหน้าที่ของผู้พิพากษาอาวุโสเหล่านี้คืออะไร สร้างประโยชน์ใดให้แก่กระบวนการยุติธรรมไทยบ้าง

อธึกกิต แสวงสุข

25 Jan 2024

Politics

23 Feb 2023

จากสู้บนถนน สู่คนในสภา: 4 ปีชีวิตนักการเมืองของอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล

101 ชวนอมรัตน์สนทนาว่าด้วยข้อเรียกร้องจากนอกสภาฯ ถึงการถกเถียงในสภาฯ โจทย์การเมืองของก้าวไกลในการเลือกตั้ง บทเรียนในการทำงานการเมืองกว่า 4 ปี คอขวดของการพัฒนาสังคมไทย และบทบาทในอนาคตของเธอในการเมืองไทย

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

23 Feb 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save