สถิติมาราธอนในปัจจุบัน คือ 2 ชั่วโมง 2 นาที กับอีก 57 วินาที ผู้ทำสถิติคือ เดนนิส คิเมตโต (Dennis Kimetto) ทำไว้ที่เบอร์ลินมาราธอนในปี 2014
คำถามก็คือ เป็นไปได้หรือเปล่าที่จะมีใครสักคน วิ่งมาราธอนได้เสร็จสิ้นภายในเวลา 2 ชั่วโมง?
ทุกวันนี้ การวิ่งกลับมา ‘ฮิต’ ขนานใหญ่อีกครั้ง เหตุผลสำคัญอันหนึ่งก็คือ การวิ่งระยะทางไกลๆนั้น มันเหมาะกับ Ageing Sociey หรือสังคมผู้สูงวัยเป็นอย่างมาก
ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น?
ถ้าไปดูการแข่งขันมาราธอนรายการใหญ่ๆ เราจะพบว่าแต่ละรายการ คนที่วิ่งสำเร็จ (เรียกว่า ฟินนิชเชอร์ หรือ Finishers) นั้น มีมากกว่าคนที่วิ่งไม่จบ อย่างในบอสตันมาราธอนที่ถือว่าเป็นรายการยิ่งใหญ่ที่สุดรายการหนึ่งของโลก คนที่เข้าแข่งขันต้องมีคุณสมบัติถึง (เรียกว่าควอลิฟายด์) มีคนที่วิ่งจบมากถึง 97%
และต่อให้เป็นรายการที่ไม่ต้องควอลิฟายด์ เช่นโตเกียวมาราธอนหรือที่อื่นๆ คนที่วิ่งจบก็มีมากถึงเกิน 90% ทั้งนั้น
แล้วคุณรู้ไหมว่าคนที่วิ่งจบเป็นคนอายุเท่าไหร่?
เขาบอกว่า ตามสถิติแล้ว ถ้าเทียบกันระหว่างคนที่อายุเข้าใกล้ 50 ปี กับคนที่อายุอยู่แถวๆ 20 ปี โอกาสที่คนวัยใกล้ๆ 50 ปี จะวิ่งจบมาราธอนนั้นมีมากกว่าเยอะเลย
การวิ่งระยะทางไกลๆ อย่างวิ่งมาราธอนนี่ เป็นกีฬาที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะคนหนุ่มสาวเท่านั้น เพราะต้องฝึกความอดทนมากกว่าแค่สมรรถนะของร่างกาย เป็นกีฬาที่ถ้าไม่อึด ไม่ลุกขึ้นมาทำเป็นประจำ ไม่ขยันฝึก และไม่มีจิตใจที่ ‘นิ่ง’ มากพอ จะทำได้ไม่ดี นั่นทำให้คนหนุ่มสาวที่ยังอยู่ในวัยกระวนกระวายแสวงหา วิ่งสู้คนที่อายุมากขึ้นมาหน่อยไม่ได้
มันคือกีฬาที่ต้องการวุฒิภาวะ!
อย่างเดนนิส คิเมตโต นักวิ่งมาราธอนชาวเคนยาที่เป็นเจ้าของสถิติโลก ก็ทำสถิตินี้ไว้ตอนอายุ 30 ปีพอดี คือไม่ได้ทำสถิติตอนอายุยังน้อยยี่สิบกว่าปีเหมือนกีฬาอื่นๆ
การวิ่งใน 2 ชั่วโมง 2 นาที 57 วินาทีของเขานั้น แปลว่าในหนึ่งกิโลเมตร เขาใช้เวลาวิ่งเท่ากับ 2 นาที 55 วินาที หรือถ้าคิดเป็นความเร็ว ก็คือวิ่งด้วยความเร็วเฉลี่ย 20.54 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเผลอๆ จะเร็วกว่าการขี่จักรยานของหลายคนด้วยซ้ำไป
แต่การจะวิ่งให้ได้เร็วในระดับจบมาราธอนใน 2 ชั่วโมงนั้น ต้องบอกว่าเป็นเรื่องยากมาก เพราะนักวิ่งจะต้อง ‘ฝ่ากำแพง’ การวิ่งให้เร็วขึ้นไปอีก ในการวิ่งระดับนี้ แต่ละวินาทีที่วิ่งได้เร็วขึ้น ต้องถือว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ แต่หลายฝ่ายก็ตั้งเป้าเอาไว้ว่า จะต้องพยายามทำให้นักวิ่งวิ่งจบมาราธอนภายใน 2 ชั่วโมงให้ได้ ภายในเวลา 5 ปีข้างหน้า
โดยสิ่งสำคัญที่มีส่วนอย่างยิ่งในการวิ่งให้ได้ตามเป้าหมายนี้ – ก็คือรองเท้า!
บริษัทรองเท้ากีฬาดังๆ ทั้งหลายในโลก ต่างกำลังพุ่งเป้าไปยังสิ่งที่เรียกว่า Running Economy หรือ ‘เศรษฐศาสตร์การวิ่ง’ ซึ่งไม่ได้หมายถึงตัวเงิน แต่หมายถึงการคำนวณอัตราการใช้และจ่ายพลังงาน เพื่อลด ‘การรั่วไหล’ ของพลังงานของนักวิ่งให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ เช่นพลังงานที่ใช้ในการยืดและหดข้อต่อต่างๆ มันจะส่งแรงกระแทกลงมาที่พื้นมากเกินไป แต่การออกแบบรองเท้าที่ดีจะช่วยลดการสูญเสียนี้ได้
นอกจากนี้ การพุ่งเป้าไปที่การฝึกให้ร่างกายใช้ออกซิเจนอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด (การใช้ออกซิเจนของนักวิ่งเรียกว่า VO2 max) คือการดูว่าหัวใจปั๊มเลือดได้มากแค่ไหน แล้วกล้ามเนื้อเอาออกซิเจนที่หัวใจปั๊มให้นั้น ไปใช้ได้มากแค่ไหน เต็มประสิทธิภาพหรือเปล่า แม้ว่าจะเป็นเรื่องทางพันธุกรรม แต่ก็สามารถฝึกฝนได้ด้วย
ในช่วงเวลาเกือบสองทศวรรษที่ผ่านมา มนุษย์เราทำลายสถิติการวิ่งมาราธอน ทำให้สถิติลดลงไปได้ราว 3 นาที ดังนั้น การจะลดสถิติของเดนนิสลงไปอีกเกือบๆ สามนาทีเพื่อให้ต่ำกว่าสองชั่วโมง จึงไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ในคราวเดียว
แต่ด้วยเทคโนโลยีและการฝึกฝนยุคใหม่ เชื่อว่าความปรารถนานี้ไม่น่าอยู่ไกลเกินเอื้อม
เอ้า! ฮึบๆ สู้ต่อไป นักวิ่งมาราธอนทั้งหลาย!
อ่านเพิ่มเติม
บทความเรื่อง How Fast is the New Marathon World Record, Really? ของ Kit Fox จาก Men’s Fitness
บทความเรื่อง Can a marathon be run in under two hours? ของ Dr. Sanjay Gupt จาก CNN, April 17, 2017