สร้างโอกาส-แข่งขัน-เท่าเทียม: เปิดบทสนทนาเพื่อปฏิรูปตลาดไทย กับฉัตร คำแสง

ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจไทยที่ซบเซา ตัวเลขทางเศรษฐกิจไทยยังคงไม่ฟื้นกลับสู่ระดับก่อนการระบาดของโรคโควิด-19 อีกทั้งการควบรวมธุรกิจในช่วงปีที่ผ่านยังเร่งให้เกิดการผูกขาดและถ่างความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย

ขณะที่เศรษฐกิจไทยกำลังชราและชะลอตัวลง การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศใกล้เคียงในภูมิภาคอาเซียนอย่างเวียดนามและอินโดนีเซียกลับก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้งในฐานะฐานการผลิตใหม่ของโลก ปัญหาทางเศรษฐกิจเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความน่ากังวลและความจำเป็นให้เกิดการปฏิรูปสถาบัน เพื่อให้เศรษฐกิจไทยได้เติบโตอย่างเต็มศักยภาพ มีประสิทธิภาพและเป็นธรรม พร้อมรับกับการแข่งขันทางเศรษฐกิจกับนานาประเทศ

ฉัตร คําแสง ผู้อำนวยการ 101 PUB – 101 Public Policy Think Tank ชวนเปิดบทสนทนาประเด็นร้อนสถานการณ์เศรษฐกิจไทยและข้อเสนอแนะต่อการปฏิรูปตลาดผ่านการนำเสนอในหัวข้อ ‘3 โจทย์ปฏิรูปตลาด สร้างโอกาส-แข่งขัน-เท่าเทียม’ ณ งานเสวนา ‘ปฏิรูปตลาด: สร้างโอกาส-แข่งขัน-เท่าเทียม’ ที่จัดขึ้นโดย Center for International Private Enterprise และ 101 PUB

ถดถอย-เหลื่อมล้ำ: วิกฤติเศรษฐกิจไทยในวันที่ซบเซา

ในช่วงต้น ฉัตรฉายภาพกว้างของเป้าหมายในการพัฒนาเศรษฐกิจว่าในท้ายสุดเป็นความเชื่อแบบอมาตยา เซน กล่าวคือ “การสร้างเสรีภาพให้คนได้ทำในสิ่งที่อยากจะทำและพัฒนาขีดความสามารถได้อย่างเสมอหน้า” หลายครั้งมักมีการพูดกันว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจจะต้องแลกกับความเท่าเทียม หมายถึงสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจก่อนและสร้างความเท่าเทียมภายหลัง แต่งานวิจัยในหลายประเทศพบว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจสามารถเกิดควบคู่กับการสร้างความเท่าเทียม นอกจากนี้หลายประเทศที่เติบโตทางเศรษฐกิจสูงได้ในระยะยาว มีความเหลื่อมล้ำน้อยลง เช่น กลุ่มประเทศเสือเศรษฐกิจเอเชีย

ฉัตรให้ความเห็นว่าในการพิจารณาเรื่องการสร้างการเติบโตและความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการสร้างพลวัตทางเศรษฐกิจ โดยมีปัจจัยที่ต้องพิจารณา ดังต่อไปนี้ 1) การสร้างความซับซ้อนทางเศรษฐกิจ 2) การเพิ่มมูลค่าของงาน และ 3) ผลิตภาพแรงงาน กล่าวคือพัฒนาสินค้าและบริการให้มีความซับซ้อน เป็นที่ต้องการของตลาดโลก และมีมูลค่าสูงผ่านการใช้นวัตกรรมและเพิ่มผลิตภาพของแรงงาน

ย้อนกลับมามองสถานการณ์ประเทศไทย พบว่าดัชนีความซับซ้อนทางเศรษฐกิจ (Economic Complexity Index) ที่สะท้อนขีดความสามารถของประเทศไทยในเชิงเศรษฐกิจเคยมีพลวัตที่ดีในช่วงต้นทศวรรษที่ 2000 กลับมีดัชนีความซับซ้อนทางเศรษฐกิจอยู่ในระหว่าง 1.0-1.3 ในช่วง ค.ศ. 2011- 2021 ชี้ให้เห็นถึงขีดความสามารถของประเทศไทยในเชิงเศรษฐกิจที่ย่ำอยู่กับที่ สอดคล้องกับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงก่อนวิกฤติต้มยำประเทศไทยเคยมีอัตราการเติบโตของ GDP เฉลี่ยร้อยละ 8 และลดลงมาเหลือเฉลี่ยร้อยละ 5 ในช่วงหลังต้มยำกุ้ง ระหว่าง ค.ศ.1999-2008 ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นช่วงเศรษฐกิจดีของประเทศไทย หลังจากนั้นเศรษฐกิจไทยก็เผชิญความผันผวนจากปัญหาเศรษฐกิจโลก น้ำท่วมใหญ่ และปัญหาเสถียรภาพทางการเมืองภายใต้การรัฐประหาร ทำให้ช่วง ค.ศ. 2012-2019 อัตราการเติบโตของ GDP เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3 ปัจจุบันอัตราการเติบโต GDP ค.ศ. 2022-2023 ของไทยเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 2.5 ยังไม่ฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนการแพร่ระบาดโควิด-19

ในอีกด้านฉัตรยังสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่ยังคงเรื้อรั้งผ่านดัชนีจีนี (Gini Index) ความเหลื่อมล้ำทั้งในด้านรายได้ และความเหลื่อมล้ำในด้านความมั่งคั่งยังคงมีตัวเลขที่สูง แม้จะเคยมีบางช่วงที่ลดลง เนื่องจากพลวัตทางเศรษฐกิจดี แต่ปัจจุบันตัวเลขกลับเด้งขึ้นมา

“ประเทศไทยกำลังเจอปัญหาใหญ่ในเชิงเศรษฐกิจ เรียกว่าเป็นวิกฤตแล้วกันนะครับ แต่ว่าไม่ใช่วิกฤตในรูปแบบที่เป็น demand-side ที่ต้องไปทำการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่มันคือวิกฤตในเชิงโครงสร้างที่เราจะต้องแก้ไขกันอย่างจริงจัง” ฉัตรกล่าว และมีข้อเสนอถึงการสร้างพลวัตทางเศรษฐกิจ แก้ปัญหาคอขวดเรื่องการแข่งขัน 3 ข้อเสนอ ดังนี้

1.   สร้างสภาพแวดล้อมเพื่อสร้างความซับซ้อน

2.   สร้างวัฒนธรรมในการถ่ายทอดเทคโนโลยี

3.   สร้างการแข่งขันในเศรษฐกิจ ผ่านกลไกความรับผิดชอบและแรงจูงใจให้พัฒนา

อำนาจเหนือตลาด: ตัวการลดแรงจูงใจในการพัฒนาธุรกิจ             

จากข้อเสนอสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อสร้างความซับซ้อนและสร้างวัฒนธรรมในการถ่ายทอดเทคโนโลยี ที่ผ่านมารัฐบาลไทยพยายามจะสร้างความซับซ้อนทางเศรษฐกิจผ่านการดึงดูดการลงทุนและวางเงื่อนไขเรื่องถ่ายทอดเทคโนโลยี ซึ่งมีทั้งที่ประสบความสำเร็จและไม่ประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ดีฉัตรชี้ว่าปัญหาสำคัญที่ทำให้การสร้างความซับซ้อนทางเศรษฐกิจ ทั้งในเชิงนโยบายและในทางปฏิบัติไม่เกิดประสิทธิภาพที่ดีนัก เนื่องจากการมีอำนาจเหนือตลาด ทำให้หลายบริษัทอาจขาดแรงจูงใจในการพัฒนาสินค้าและบริการในภาวะที่ไร้แรงกดดันทางการแข่งขันทางเศรษฐกิจ

ตัวชี้วัดหนึ่งของอำนาจเหนือตลาดคือการกระจุกตัวของส่วนแบ่งรายได้ โดย ค.ศ. 2004 กลุ่มบริษัทจดทะเบียนที่มีรายได้สูงสุดกลุ่ม 5% บนถือครองส่วนแบ่งรายได้ประมาณ 85% ของรายได้บริษัทจดทะเบียนทั้งหมด และจากข้อมูล ค.ศ. 2016 กลุ่มบริษัทดังกล่าวยังขยับถือครองส่วนแบ่งรายได้ขึ้นเป็นประมาณ 90% ของรายได้บริษัทจดทะเบียนทั้งหมด นอกจากนี้หากพิจารณารายอุตสาหกรรมยังพบว่าในหลายอุตสาหกรรมมีการกระจุกตัวเพิ่มขึ้น จากเดิมที่เป็นกลุ่มอุคสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูง การกระจุกตัวต่ำก็เริ่มขยับมาเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่กระจุกตัวปานกลาง กลุ่มอุตสาหกรรมที่กระจุกตัวปานกลางก็ขยับเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการกระจุกตัวสูง อย่างไรก็ดีฉัตรชี้ว่าการกระจุกตัวไม่ได้แปลผันโดยตรงว่าตลาดจะแข่งขันไม่ได้ แต่ก็เป็นเรื่องที่มักเกิดร่วมกัน

ไม่เพียงเท่านั้น อำนาจเหนือตลาดและภาวะไร้แรงกดดันทางการแข่งขันยังสะท้อนผ่านราคาต่อต้นทุนที่เพิ่มต่อเนื่อง โดยเฉพาะในบริษัทใหญ่ ในงานวิจัยของทศพล อภัยทานและคณะที่ศึกษาแนวโน้มของการแข่งขันในภาคธุรกิจไทยและผลกระทบของอำนาจตลาดต่อการตัดสินใจของบริษัท โดยวัดอำนาจตลาดจาก Markup หรือสัดส่วนระหว่างราคาขายและต้นทุนผันแปรหน่วยสุดท้าย ซึ่งสะท้อนความสามารถของบริษัทในการตั้งราคาให้สูงหรือกดราคาปัจจัยการผลิตให้ต่ำลง พบว่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมากลุ่มบริษัทบนสามารถเก็บ Markup ในสัดส่วนที่สูงขึ้นกว่ากลุ่มอื่น โดยเพิ่ม +14.1% สาเหตุสำคัญที่เป็นเช่นนั้นคือการมีเครือข่ายการถือหุ้นในเศรษฐกิจ และในบางกลุ่มบริษัทยังสามารถเก็บ Markup ได้มากขึ้นหากเป็น 1) กลุ่มธุรกิจบริการที่เจอการแข่งขันยาก 2) เครือข่ายในอุตสาหกรรมเดียวกันที่มีบริษัทลูก ทำให้สามารถสร้างอำนาจต่อรองได้ หรือ 3) เครือข่ายที่มีรายได้สูง

นอกจากนี้ข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้ายังสะท้อนให้เห็นว่าภาคธุรกิจไทยในช่วงการฟื้นตัวจากโควิด-19 ยังคงมีความกระจุกตัวและอำนาจเหนือตลาดสูงอย่างต่อเนื่อง เมื่อพิจารณาอัตราการเติบโตของรายได้ระหว่างค.ศ. 2020-2021 และ 2021-2020 ธุรกิจขนาดเล็ก มีอัตราการเติบโตของรายได้ 1.3% และเพิ่มขึ้นเป็น 4.9% ในปีถัดมา ขณะที่ธุรกิจขนาดใหญ่เติบโตขึ้นจาก 11.8% เป็น 22.4% สอดคล้องกับอัตรากำไรสุทธิที่ธุรกิจขนาดใหญ่ได้ผลกระทบทางลบน้อยกว่าธุรกิจขนาดเล็กในช่วง ค.ศ. 2020 โดยมีอัตรากำไรสุทธิ -2.1% ขณะที่ธุรกิจขนาดเล็ก มีอัตรากำไรสุทธิ -4.6% และในปี ค.ศ. 2022 ธุรกิจขนาดใหญ่ฟื้นตัวจากโควิด-19 มีอัตรากำไรสุทธิ 5.9% ขณะที่ธุรกิจขนาดเล็กมีอัตรากำไรสุทธิ 4.7%

ฉัตรให้ความเห็นว่าเมื่อพูดถึงประเด็นอำนาจเหนือตลาดมักย้อนไปถึงเรื่องชาตินิยมทางเศรษฐกิจที่ในอดีตมองว่าการสร้างบริษัทแห่งชาติขนาดใหญ่ เพื่อให้ประเทศที่มีขนาดเล็กสามารถไปแข่งขันในเวทีต่างชาติ แต่งานวิจัยหลายชิ้นพบว่าเมื่อบริษัทแห่งชาติขนาดใหญ่เกิดขึ้นและมีอำนาจเหนือตลาดจะไปลดแรงจูงใจในการพัฒนาธุรกิจ ทำให้ราคาต่อต้นทุนสูงขึ้นมีโอกาสที่จะลงทุนพัฒนาสินค้าและส่งออกน้อยลง

“จริงๆ แล้วอำนาจเหนือตลาดไม่ใช่กลไกการกำกับดูแลในการสร้าง national champion ที่ถูกต้องถูกทางสักเท่าไรนัก สุดท้ายรัฐต้องหากลไกความรับผิดรับชอบและแรงจูงใจในการที่ทำให้ภาคธุรกิจพัฒนา ซึ่งก็คือระบบการแข่งขัน อย่างในประเทศเกาหลี ญี่ปุ่น เวลาที่รัฐบาลจะให้ความช่วยเหลือภาคธุรกิจ มักจะวางเงื่อนไขด้วยการที่ให้สินค้าต้องไปแข่งกับโลกได้ และส่วนใหญ่เขาจะใหญ่ในธุรกิจที่เป็น tradeable ในธุรกิจที่สามารถสะสมความรู้ความสามารถ สิ่งเหล่านี้ก็จะแตกต่างกับธุรกิจในไทยที่ใหญ่ ซึ่งความใหญ่หลายๆ ครั้ง มักจะเป็นความใหญ่ในธุรกิจแบบ non-tradable” ฉัตรกล่าว

รัฐ: ไม่ทำหน้านี้แต่กลับคอยซ้ำเติมปัญหา

ฉัตรยังชี้ว่าไม่เพียงอำนาจเหนือตลาด ปัจจัยที่รัฐสร้างขึ้นยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การแข่งขันทางเศรษฐกิจในประเทศไทยยังไม่ไปไกลเท่าที่ควร

1) กลไกของภาครัฐเพิ่มต้นทุนในการทำธุรกิจขนาดเล็ก

ประเทศไทยวางกฎเกณฑ์ในลักษณะรัฐเป็นใหญ่ มีกฎหมายจำนวนมากที่อาจสร้างอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจขนาดเล็ก โดยประเทศไทยมีพ.ร.บ. 910 ฉบับ  พ.ร.ก. พ.ร.ฎ. และกฎกระทรวงรวม14,721 ฉบับ และมีประกาศ ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่ง รวมกัน 100,000+ ฉบับ จากงานศึกษาทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการอนุญาตเพื่อปรับปรุง ปรับลดกฎหมายที่ไม่จำเป็นหรือล้าสมัยของ TDRI ค.ศ. 2019 พบว่ากระบวนการอนุญาตประกอบธุรกิจหรือกิจกรรมที่กระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมทั้งหมดมีมากถึง 1,094 งาน สร้างต้นทุนแก่ประชาชนและธุรกิจ 2.4 แสนล้านบาท/ปี ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นกับทั้งทางผู้ประกอบการ และภาครัฐในการบังคับใช้กฎหมาย

2) ปัญหาการกำกับดูแลของหน่วยงานภาครัฐที่ยังไม่เข้มแข็งพอในการสร้างบรรยากาศของเสรีภาพในการประกอบธุรกิจและการเปิดการแข่งขันอย่างเสรี  

กรณี: การอนุญาตควบรวม ซีพี + เทสโก้ โดย สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (สำนักงาน กขค.)

สำนักงาน กขค. ทำหน้าที่ในการส่งเสริม พัฒนา และกำกับดูแลการประกอบธุรกิจในประเทศไทย ตามพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 แต่คุณภาพการทำงานยังคงน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะการอนุญาตควบรวม ซีพี + เทสโก้ ซึ่งถือเป็นการควบรวมร้านค้าปลีกที่มีผลกระทบต่อการแข่งขันในตลาดค้าปลีก โดยฉัตรให้ความเห็นถึงปัญหาการดำเนินงานว่าคณะกรรมการ กขค. พิจารณาขอบเขตตลาดไม่ครบถ้วน มองด้วยขอบเขตในระดับประเทศ ในขณะที่กรณีจากต่างประเทศมักจะพิจารณาในระดับพื้นที่หรือระดับรัศมีของห้างที่อยู่ใกล้ชิดกัน นอกจากนี้ในการพิจารณาการควบรวมยังไม่ได้ใช้ข้อมูลหลักฐานอย่างเต็มที่ สรุปการศึกษาแบบมองโลกในแง่ดีและวางเงื่อนไขที่ไม่ตอบข้อกังวล เช่น ‘การห้ามกระทำการรวมธุรกิจกับผู้ประกอบธุรกิจรายอื่นในตลาดร้านค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่สินค้าอุปโภคบริโภค เป็นระยะเวลา 3 ปี ซึ่งถือว่า ทำให้สบายใจได้ว่า ที่ผ่านมา ดำเนินธุรกิจมาเช่นไร ก็จะยังคงมีจำนวนผู้เล่นครบถ้วนแบบเดิม ไม่มีการควบรวมธุรกิจรายอื่น ดังนั้น การแข่งขันจะยังสมบูรณ์เช่นเดิม’ ซึ่งเป็นการวางเงื่อนไขแบบมองโลกในแง่ดีและไม่ได้สะท้อนการแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้างการแข่งขัน

กรณี: การปฏิเสธอำนาจการพิจารณาการควบรวม ทรู + ดีแทค ของกสทช.

กสทช. ได้ออกมาปฏิเสธอำนาจและหน้าที่ของตนเองในเรื่องพิจารณาการควบรวม ทรู + ดีแทค โดยแจ้งว่ากสทช. ไม่มีอำนาจและทำหน้าที่เพียงรับทราบการควบรวม ทั้งที่ในงานวิจัยไม่ว่าจะเป็นจากที่ปรึกษาอิสระ งานวิจัยของนักวิชาการในประเทศไทย และงานวิจัยจากที่ปรึกษาต่างประเทศชี้ตรงกันว่าการควบรวมของทั้งสองกิจการโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่จะทำให้เกิดการกระจุกตัวสูงขึ้นและส่งผลกระทบต่อการแข่งขัน นอกจากนี้เมื่อปล่อยให้เกิดการควบรวมแล้ว กสทช. ก็ไม่ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ในการติดตามการทำงานตามเงื่อนไขเรื่องการกำกับราคาตามต้นทุน และไม่ได้มองผลลัพธ์ของตลาดโดยตรง การกำกับดูแลไม่ได้มองไปที่ผลลัพธ์ในเชิงของการแข่งขันอย่างเต็มที่

3) ปัญหาเชิงนโยบายในการมุ่งส่งเสริม SME ที่ยังผิดทาง

“ประเทศไทยมักจะไม่ชอบพูดเรื่องของการแข่งขันกันมากนัก เพราะการแข่งขันมีเหมือนลักษณะของความที่ต้องไปชนกับใครบางคน แต่เรามักจะพูดไปถึงเรื่องของการส่งเสริม SME แทน ทำอย่างไรให้คนอื่นโต โดยที่เราอาจจะไม่ได้มองตัวโครงสร้างตลาดมากนัก ซึ่งนอกจากจะหลบปัญหาในเชิงโครงสร้าง มันยังมีลักษณะของความผิดที่ผิดทางอยู่พอสมควร” ฉัตรกล่าว

งานวิจัยของอาจารย์รศ. ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัน พบว่าการให้มาตรการทางภาษีเป็นพิเศษสำหรับ SME แม้ว่ากำไรเพิ่มให้ได้ไม่เยอะ แต่ว่าก็จะทำให้เกิดปัญหาว่าถ้าเกิดจะใกล้ขั้นบันไดภาษี ถ้ารายได้เกินกว่าที่กำหนดจะโดนภาษีแพงขึ้น ธุรกิจขนาดเล็กจะพยายามไม่โตไปกว่าเดิม ทำให้ธุรกิจ SME ไม่สามารถพัฒนาขีดความสามารถและเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในระยะยาว

ฉัตรยังตั้งข้อสังเกตว่าที่ผ่านมาการส่งเสริม SME จะเน้นในเรื่องการเพิ่มสัดส่วน SME ในระบบ เพื่อให้มีจำนวนมากขึ้นในตลาด ซึ่งแตกต่างกันกลับการผลักดันให้ SME เติบโตไปเป็นบริษัทรายใหญ่และสามารถแข่งขันได้อย่างเท่าเทียม

“สุดท้ายก็คงจะวนกลับมาในเรื่องของแรงจูงใจว่าประเทศไทยเรากำลังกำลังสร้างการแข่งขันอะไรอยู่ เราสร้างการแข่งขันในการวางเครือข่ายรักษาอำนาจทางการตลาด หรือว่าเรากำลังสร้างการแข่งขันในการหลบการกำกับดูแล เราสร้างการแข่งขันในเรื่องของการหาช่องหลบในกฎหมาย หรือว่าสร้างการแข่งขันในเรื่องของการรับการส่งเสริม หรือว่าเราอยากจะสร้างการแข่งขันในการพัฒนาขีดความสามารถจริงๆ ” ฉัตรทิ้งท้าย เพื่อเปิดบทสนทนาเรื่องการสร้างพลวัตทางเศรษฐกิจ และปฏิรูปตลาด

MOST READ

Political Economy

17 Aug 2023

มือที่มองไม่เห็นของ อดัม สมิธ: คำถามใหญ่ว่าด้วย ‘ธรรมชาติของมนุษย์’  

อั๊บ สิร นุกูลกิจ กะเทาะแนวคิด ‘มือที่มองไม่เห็น’ ของบิดาแห่งวิชาเศรษฐศาสตร์ อดัม สมิธ ซึ่งพบว่ายึดโยงถึงความเป็นไปตามธรรมชาติของมนุษย์

อั๊บ สิร นุกูลกิจ

17 Aug 2023

Political Economy

12 Feb 2021

Marxism ตายแล้ว? : เราจะคืนชีพใหม่ให้ ‘มาร์กซ์’ ในศตวรรษที่ 21 ได้หรือไม่?

101 ถอดรหัสความคิดและมรดกของ ‘มาร์กซ์’ ผู้เสนอแนวคิดสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ผ่าน 3 มุมมองจาก เกษียร เตชะพีระ, พิชิต ลิขิตสมบูรณ์ และสรวิศ ชัยนาม ในสรุปความจากงานเสวนา “อ่านมาร์กซ์ อ่านเศรษฐกิจการเมืองไทย” เพื่อหาคำตอบว่า มาร์กซ์คิดอะไร? มาร์กซ์ยังมีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 21 หรือไม่? และเราจะมองมาร์กซ์กับการเมืองไทยได้อย่างไรบ้าง

ณรจญา ตัญจพัฒน์กุล

12 Feb 2021

Economy

15 Mar 2018

การท่องเที่ยวกับเศรษฐกิจไทย

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ตั้งคำถาม ใครได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวบูม และเราจะบริหารจัดการผลประโยชน์และสร้างความยั่งยืนให้กับรายได้จากการท่องเที่ยวได้อย่างไร

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย

15 Mar 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save