ปัญหาประการหนึ่งที่ผู้หญิงต้องเผชิญในชีวิตก็คือ การถูกปฏิบัติหรือกระทำที่ส่อไปในทางเพศจากฝ่ายชาย เช่น การมองด้วยสายตา การแสดงท่าที หรือการใช้ภาษา และมักเกิดขึ้นระหว่างฝ่ายชายผู้มีอำนาจเหนือกับหญิงที่อยู่ภายใต้อำนาจ แต่การกระทำในลักษณะเช่นนี้ยังไม่ได้เข้าข่ายเป็นการข่มขืนหรือการบังคับให้มีเพศสัมพันธ์โดยไม่สมัครใจ
ในระยะแรกที่มีการมองเห็นความยุ่งยากดังกล่าว ปรากฏการณ์นี้ได้ถูกเรียกว่า ‘No Name Problem’ อันหมายถึงปรากฏการณ์ที่ในมุมมองของผู้หญิงแล้วเป็นการกระทำที่สร้างความไม่สบายใจ ความกระอักกระอ่วน หรืออาจกลายไปเป็นความหวาดกลัวให้บังเกิดขึ้น แต่ผู้ถูกกระทำก็ไม่อาจบ่งบอกถึงการตกเป็นผู้ถูกกระทำได้ เพราะยังไม่มี ‘ชื่อเรียก’ ต่อสภาวะดังกล่าว ระบบกฎหมายในห้วงเวลานั้นก็ยังไม่สามารถกำหนดหรือจำแนกฐานความผิดอันชัดเจนให้บังเกิดขึ้น การกระทำอันเป็นความผิดทางเพศมีแต่การข่มขืนและการอนาจาร ซึ่งสามารถกำหนดลักษณะของความผิดได้อย่างชัดเจน
ต่อมาได้มีการกำหนดให้การกระทำชนิดนี้มีชื่อเรียกว่า ‘การคุกคามทางเพศ’ (sexual harassment) โดยให้หมายความถึงการกระทำอันไม่เป็นพึงปรารถนาโดยมีจุดมุ่งหมายในการมีเพศสัมพันธ์ และสร้างผลกระทบด้านลบด้านความรู้สึกหรือจิตใจแก่ทางฝ่ายหญิง (ในภายหลังจึงได้ขยายให้ครอบคลุมถึงบุคคลทุกเพศ โดยไม่จำกัดไว้เฉพาะแค่หญิงเพียงเพศเดียว)
แม้จะได้มีการกำหนดชื่อเรียกและความพยายามในการนิยามขอบเขตของการกระทำนี้ให้ชัดเจนมากขึ้น แต่การกระทำที่เรียกว่า ‘การคุกคามทางเพศ’ ก็ยังมีความยุ่งยากและความสลับซับซ้อนอยู่ไม่น้อย อย่างน้อยประเด็นที่ยังต้องถกเถียงมีดังนี้
ประเด็นแรก เนื่องจากการกระทำที่เรียกว่าการคุกคามทางเพศ มุ่งไปที่การกระทำซึ่งสร้างความเสียหายทางด้านจิตใจและอารมณ์ความรู้สึกให้เกิดขึ้นกับผู้หญิง การกระทำที่จะเป็นความผิดจึงไม่ใช่แค่การกระทำภายนอกเท่านั้น หากยังขึ้นอยู่กับมุมมองและความเข้าใจของทางฝ่ายหญิงเป็นสำคัญ การกำหนดความผิดเช่นนี้จึงมีลักษณะของความเป็น ‘อัตวิสัย’ (subjective) ซึ่งมีความแตกต่างเป็นอย่างมากจากการกระทำความผิดฐานอื่นๆ ที่มุ่งเน้นองค์ประกอบภายนอกของการกระทำในลักษณะ ‘ภววิสัย’ (objective) เช่น การล่วงล้ำอวัยวะเพศ, การจับเนื้อตัวร่างกายในบางแห่ง เป็นต้น
ความผิดที่มุ่งเน้นลักษณะมุมมองจากส่วนตัวจะเป็นปัญหาอย่างมากต่อการบ่งชี้ว่าการกระทำใดจะถือว่าเป็นการล่วงละเมิดทางเพศหรือไม่ ข้อโต้แย้งที่มักจะเกิดขึ้นก็คือ ทางฝ่ายชายจะให้เหตุผลต่อการกระทำของตนว่าเป็นบทสนทนา, การเชื้อเชิญ, การปฏิบัติ ฯลฯ ในลักษณะที่เป็นปกติทั่วไปและกระทำต่อบุคคลอื่นในลักษณะเดียวกัน แต่ทางฝ่ายหญิงอาจให้ความหมายต่อการกระทำนั้นๆ ว่าได้สร้างความกลัว ความไม่สบายใจให้เกิดขึ้น เป็นต้น
ไม่เพียงมุมมองอันแตกต่างระหว่างฝ่ายชายและฝ่ายหญิงเท่านั้น ในหลายเหตุการณ์ มุมมองจากฝ่ายหญิงเองก็อาจมีความแตกต่างกันเกิดขึ้น อันอาจเป็นผลมาจากประสบการณ์ ความรู้ความเข้าใจ ทัศนะต่อเรื่องเพศ ฯลฯ กรณีเช่นนี้ก็ยิ่งจะสร้างความยากลำบากให้เพิ่มมากขึ้น
ประเด็นที่สอง มาตรฐานทางด้านความสัมพันธ์และท่าทีในการปฏิบัติระหว่างเพศเป็นประเด็นที่ไม่หยุดนิ่ง มีความเคลื่อนไหว มีความเปลี่ยนแปลง ยิ่งในห้วงเวลาปัจจุบัน เส้นแบ่งของความถูกต้อง/ความผิดก็มีการปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว การปฏิบัติที่เคยเกิดขึ้นพอมาถึงปัจจุบันอาจกลายเป็นเรื่องที่ชวนอัศจรรย์ใจอย่างมาก
อาจารย์ที่เคารพนับถือ (ซึ่งเกษียณอายุราชการแล้ว) เล่าให้ฟังว่าในสมัยที่เรียนหนังสืออยู่นั้น การจับมือกันระหว่างชายและหญิงก็เป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตแล้ว ขณะที่ในปัจจุบันมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก นักศึกษาหญิงที่สนิทสนมและเคารพอาจารย์ผู้ชายบางคนเมื่อยามจบการศึกษาก็มาขอกอดเพื่อร่ำลา ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ได้รู้สึกว่ากระทำอะไรอันเป็นสิ่งที่ผิด
ท่าทีและความเข้าใจแบบใหม่ (ซึ่งไม่ได้จำกัดไว้ในมุมมองแบบสตรีนิยมเท่านั้น) ที่มีต่อเพศกำเนิด เพศภาวะ เพศวิถี ล้วนแต่ทำให้ขอบเขตของการกระทำแต่ละประเภทมีความพร่าเลือนมากยิ่งขึ้น
ระหว่างการแต๊ะอั๋งกับการสัมผัสอย่างเป็นมิตร, การฉวยโอกาสกับโอบกอดให้กำลังใจ, การใช้ภาษาแบบหมาหยอกไก่หรือการเริ่มต้นของการจีบระหว่างสองคน เป็นต้น แน่นอนว่าสำหรับการกระทำซึ่งเป็นการคุกคามทางเพศก็ย่อมต้องเป็นความผิด แต่การกระทำชนิดไหน อย่างไร และโดยใคร ล้วนแต่ต้องอาศัยการไตร่ตรองและการขบคิดว่าความหมายของการกระทำนั้นๆ คืออะไรกันแน่
ดังนั้น เมื่อเกิดข้อถกเถียงในแต่ละเหตุการณ์ จำเป็นต้องมีการเปิดเผยข้อมูล (แบบไม่ต้องระบุตัวตน) ของการกล่าวหา การโต้แย้ง และการให้เหตุผลของแต่ละฝ่ายว่ามีพยานหลักฐานและมุมมองอย่างไรต่อกรณีปัญหาที่เกิดขึ้น ลำพังเพียงแค่ผลของการตัดสินไม่ว่าจะกระทำโดยองค์กรใดล้วนแต่จะไม่สู้เป็นประโยชน์ต่อสังคมมากนัก แต่การได้มองเห็นว่าเขาทำอะไร อย่างไร ภายใต้เงื่อนไขแบบใด ล้วนแต่มีความสำคัญที่จะช่วยให้สามารถตัดสินใจได้ว่าการกระทำเช่นนี้ควรถูกจำแนกเป็นการคุกคามทางเพศหรือไม่ รวมไปถึงเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการสร้างแนวทางปฏิบัติ (code of conduct) ให้กับบุคคลที่เป็นสมาชิกในกลุ่มได้รับทราบในการจัดวางความสัมพันธ์ของตนกับคนรอบข้าง
ต่อกรณีข้อกล่าวหาเรื่องการคุกคามทางเพศที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ต้องยอมรับว่าปรากฏการณ์นี้ไม่ได้จำกัดไว้เพียงเฉพาะในแวดวงนักการเมือง หลายวงการก็มีปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ระหว่างอาจารย์และลูกศิษย์ นักกิจกรรมทางสังคมด้วยกัน สื่อมวลชนและนักการเมือง เป็นต้น สิ่งที่ควรต้องร่วมกันขบคิดและแก้ไขก็คือ การขีดเส้นมาตรฐานในความสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิงให้พอจะมองเห็นได้ แน่นอนว่าการขีดเส้นดังกล่าวนี้อาจไม่ใช่สิ่งที่กระทำได้โดยง่าย แต่ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ อย่างน้อยก็เพื่อให้แต่ละฝ่ายพอจะตระหนักรู้ได้ว่ากำลังกระทำในสิ่งที่ขัดกับมาตรฐานอันเป็นที่ยอมรับกันอยู่หรือไม่
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิงในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงยากจะกำหนดได้อย่างชัดเจนและตายตัวในทุกกรณี เส้นมาตรฐานจึงต้องสามารถที่จะขยับได้ตามมุมมองที่เปลี่ยนไปได้เสมอ ทั้งต้องไม่กลายไปเป็นเส้นแบ่งที่ตายตัวอันยากต่อการเปลี่ยนแปลงเฉกเช่นศีลธรรมในแบบที่เราคุ้นเคย