“เจอกัญทุกที่ แต่ไม่มีใครรับร้องทุกข์?” เมื่ออาหารกัญชาทำให้ผู้บริโภคไม่ปลอดภัย

ครบหนึ่งขวบปีกับอีกเศษเดือนของการปลดล็อกกัญชาวันที่ 9 มิถุนายน 2565 ภายใต้ภาวะสุญญากาศทางนโยบายอันยาวนาน ไร้วี่แววพระราชบัญญัติกัญชา กัญชง หรือกฎหมายใดเข้ามากำกับควบคุมโดยเฉพาะ ทำให้สังคมไทยได้ทำความรู้จักพืชชนิดนี้ในหลากหลายรูปแบบ นอกเหนือไปจากการใช้เพื่อทางการแพทย์ตามความตั้งใจเดิมของพรรคการเมืองผู้ริเริ่มเสนอการปลดล็อก เราได้เห็นกัญชาผสมลงในเครื่องดื่ม อาหารคาว ขนมหวาน ซึ่งนับวันจะแนบเนียนและเย้ายวนใจขึ้นเรื่อยๆ

ถึงขนาดที่ผู้ปกครองของเด็กชายวัย 6 ขวบ ผู้อาศัยในกรุงเทพมหานคร ไม่ทันคาดคิดว่าขนมรูปน่องไก่ที่เด็กชายซื้อมารับประทานจะมีส่วนผสมของกัญชา จนได้เห็นว่าอาการสมาธิสั้นที่ลูกของพวกเขาประสบอยู่รุนแรงขึ้น เด็กชายไม่อาจอยู่นิ่ง ไม่ฟังและไม่ตอบคำถามใคร ได้แต่กระโดดโลดเต้นปีนป่ายมากกว่าปกติ ก่อนหลับใหลไปกว่า 11 ชั่วโมง

ขณะที่เด็กหญิงวัย 8 ขวบและครอบครัวในจังหวัดนครพนม เพิ่งเข้าใจความหมายของประโยค ‘high to high BKK’ บนหน้าซองขนมเยลลี่ที่ญาติซื้อมาฝาก หลังเธอเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน และหลับปลุกไม่ตื่น ถึงขั้นต้องมาพบแพทย์และเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล

ส่วนเด็กชายวัยไล่เลี่ยกันอีกคนในจังหวัดสกลนคร แค่รับขวดน้ำชาแบรนด์ดังจากคนแปลกหน้ามาดื่มด้วยความไร้เดียงสา แต่เผอิญมีสาร THC ของกัญชาเจือปนในนั้น ทำให้เขาเป็นลมหมดสติ หัวใจเต้นเร็ว ตกอยู่ในภาวะวิกฤต ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจในโรงพยาบาล 2 วันเต็มๆ กว่าจะรู้สึกตัว

3 กรณีข้างต้น คือส่วนหนึ่งจาก 30 กรณีผู้ป่วยเด็กจากกัญชา ในรายงานของราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยและสมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ข้อมูลตั้งแต่ 21 มิถุนายน 2565 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งเหตุการณ์ทำนองนี้มิได้ส่งผลเพียงเยาวชนเท่านั้น แม้แต่คนเป็นผู้ใหญ่ยังเกิดพลาดพลั้งรับประทานกัญชาและประสบอาการแพ้รุนแรงได้ ดังที่ปรากฏในข่าว ‘สาวเตือนภัย! ซื้อต้มจืดมะระไม่รู้แม่ค้าใส่ใบกัญชา สุดท้ายแพ้หนักจนเข้า รพ.’ ‘หนุ่มกินก๋วยจั๊บใส่กัญชา แพ้หนักต้องหามเข้า รพ. จ่อแจ้งความ หากร้านไม่รับผิดชอบ’ และอื่นๆ อีกมากมาย

‘อาหาร’ เป็นสิ่งที่ใกล้ตัวและเข้าถึงคนทุกกลุ่มทุกช่วงวัย เมื่ออาหารถูกปรุงด้วยส่วนผสมใหม่ ที่หลายคนยังปราศจากความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพืชชนิดนี้ อีกทั้งผู้บริโภคไม่ได้รับคำเตือนที่เหมาะสมแก่การตัดสินใจ จึงกลายเป็นคำถามน่าขบคิดว่าเราจะจัดการกับอาหารผสมกัญชาอย่างไร อยู่ร่วมกับมันอย่างไร มีสิทธิ์เลือกหรือได้รับการคุ้มครองมากน้อยแค่ไหน ในตอนที่ยังไม่มีหน่วยงานใดออกหน้ารับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภค


อาหารผสมกัญชา ที่ผ่านมารัฐ ‘เอาอยู่’ ไหม?


“ปัจจุบันอาหารมีสารเคมีและสิ่งปนเปื้อนมากมาย เรายังจัดการไม่ได้ และระบบการดูแลความปลอดภัยของผู้บริโภคยังไม่ทั่วถึง ยิ่งพอมีกัญชาเข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วความปลอดภัยของผู้บริโภคจะเป็นอย่างไร”

นับตั้งแต่แว่วข่าวนโยบายกัญชาเพื่อทางการแพทย์นำโดยพรรคภูมิใจไทย มาถึงกระบวนการปลดล็อกจากรายชื่อยาเสพติดที่ดำเนินการรวดเร็วฉับไว มลฤดี โพธิ์อินทร์ นักวิชาการ ผู้ขับเคลื่อนการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคด้านด้านอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพ ของสภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) คือหนึ่งในคนที่ติดตามความเป็นไปและผลกระทบจากสภาพการณ์ ‘กัญชาเสรี’ อย่างใกล้ชิด

หากย้อนมองเส้นทางการปลดล็อกเริ่มแรกจากการประกาศใช้พระราชบัญญัติยาเสพติด ฉบับที่ 7 ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562 เพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ มลฤดีเล่าว่า ณ ตอนนั้นยังไม่น่ากังวลมากนัก เพราะเป็นการปลดล็อกเพียงบางส่วน ช่อดอก ใบติดช่อดอก และเมล็ดกัญชายังถูกควบคุมในฐานะยาเสพติด  แต่ต่อมา เมื่อประกาศกระทรวงสาธารณสุขในปี 2563 อนุญาตให้ชุมชนปลูกกัญชาได้บ้านละ 6 ต้น ภายใต้เงื่อนไขต้องขอจัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชน ส่งผลให้ภายหลังเกิดกระบวนการถอดกัญชาออกจากยาเสพติดประเภทที่ 5 ซึ่งมีผลอย่างเป็นทางการในเดือนมิถุนายน 2565

“ความกังวลของเราเริ่มชัดเจนมากขึ้นว่ากัญชาจะถูกใช้อย่างเสรีเมื่อมีประกาศจะปลดล็อกออกมาทั้งต้น หลังจากที่กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศมาแล้ว (วันที่ 8 ก.พ. 2565) ทางสภาองค์กรของผู้บริโภคได้ทำหนังสือแสดงข้อห่วงใยถึงคุณอนุทินว่าถ้าเกิดปล่อยให้กัญชาเสรีโดยไม่มีการควบคุม ปัญหาที่ตามมาจะกระทบผู้บริโภคในวงกว้างมาก ไม่ว่าจะเป็นเด็กและเยาวชนหรือกระทั่งคนทั่วไป”

ใจความสำคัญของหนังสือฉบับนั้นระบุความเสี่ยงของการปลดล็อกกัญชาว่าบรรดาผู้ประกอบการอาจนำส่วนต่างๆ ของต้นกัญชากัญชง โดยเฉพาะช่อดอกที่มีสาร THC (Tetrahydrocannabinol) ปริมาณมากผสมลงในอาหารเพื่อจำหน่ายได้อย่างอิสระ ทำให้อาจเกิดอันตรายต่อผู้บริโภค อีกทั้งยังทวงถามถึงมาตรการตรวจสอบสาร THC ในอาหารผสมกัญชาว่าเกินกำหนด 0.2% หรือไม่จากทางกรมอนามัย

“เราคิดว่าพอปลดล็อกกัญชาออกมาแล้ว ประชาชนจะเกิดความอยากลอง เด็กจะเกิดความอยากลอง แต่เราไม่รู้เลยว่าในความอยากลองนั้น ผู้บริโภคจะแพ้สารที่อยู่ในกัญชาหรือเปล่า” มลฤดีอธิบายว่าก่อนหน้านี้กัญชามีสถานะเป็นยาเสพติด ทำให้แทบไม่มีใครนำมาผสมลงในอาหารทั่วไป และแทบไม่มีงานวิจัยยืนยันได้แน่ชัดว่าเมื่อบริโภคเข้าไปแล้วจะเกิดผลอย่างไรตามมาบ้าง “สิ่งนี้เป็นสิ่งใหม่มากสำหรับการนำมาผสมในอาหาร”


มลฤดี โพธิ์อินทร์


สาเหตุที่สภาองค์กรของผู้บริโภคจริงจังกับเรื่องกัญชาในอาหารเป็นพิเศษเพราะ ‘อาหารเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้’ ไม่ว่าจะเป็นเด็กและเยาวชน คนตั้งครรภ์ คนแก่ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว

“การใช้กัญชาเป็นยายังเข้าถึงได้แค่กลุ่มคนที่เข้ารับการรักษาและเลือกใช้ แต่ความเสี่ยงจากกัญชาไปถึงทุกคนได้ผ่านอาหาร เราจึงจริงจังมากว่าใครจะสามารถตรวจสอบได้บ้างอาหารที่เรากิน เครื่องดื่มที่เราดื่มมีสาร THC น้อยกว่า 0.2% หรือไม่ ผลิตภัณฑ์อาหารผสมกัญชาที่ต้องขออนุญาต อย. ก่อนและหลังการได้รับอนุญาตมีการควบคุมสาร THC ให้ไม่เกิน 0.2% ไหม

“จากการทำงานติดตามดูแลเรื่องสารตกค้างหรือสารอันตรายต่อผู้บริโภคในอาหารมา ไม่ว่าจะเป็นสารกันบูด บอแรกซ์ หลายครั้งผลิตภัณฑ์มีปริมาณสารเกินกว่ากำหนดหลังจากขออนุญาต อย. มาแล้ว” มลฤดีแบ่งปันประสบการณ์

หลังจากส่งหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและกรมอนามัย ด้วยความที่ท้ายเอกสารหนังสือแสดงข้อห่วงใยลงชื่อของมลฤดีในฐานะผู้ติดต่อประสานงาน เธอจึงทราบว่าต้องรอนานเกือบสองเดือนกว่ากรมอนามัยจะส่งหนังสือตอบกลับมาในวันที่ 3 สิงหาคม 2565 ใจความว่า กรมอนามัยได้ออกประกาศควบคุมการใช้ใบกัญชามาปรุงอาหารให้ผู้ประกอบกิจการร้านอาหาร รวมถึงให้แสดงคำเตือนสำหรับเด็ก หญิงมีครรภ์ และหญิงให้นมบุตรแล้ว อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานเฉพาะทำหน้าที่ตรวจสอบสาร THC ในอาหาร และกรมอนามัยไม่มีอำนาจลงโทษผู้ประกอบการหากเกิดข้อร้องเรียนจากผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบ

“เขาบอกว่าประกาศตัวนี้ไม่มีอำนาจทางกฎหมาย ถ้าเกิดคุณไม่ติดประกาศ ไม่ติดฉลาก ไม่แสดงคำเตือน กรมอนามัยก็ไม่มีสิทธิ์ลงโทษอะไรเลย” มลฤดีเล่า “เราจึงผลักดันให้ยกเลิกประกาศของกรมอนามัย แล้วเปลี่ยนเป็นประกาศของกระทรวงสาธารณสุขแทน เพื่อให้มีอำนาจทางกฎหมายควบคุมว่าถ้าร้านอาหารไม่แสดงฉลาก ไม่ติดคำเตือนว่าใช้กัญชาเป็นส่วนผสมเท่าไหร่ ใช้ในอาหารอะไรบ้าง จะมีความผิดทางกฎหมายตามประกาศของพระราชบัญญัติอาหาร”

ครั้นถามว่าอันที่จริงกรมกองใดของรัฐมีหน้าที่กำกับดูแลเรื่องกัญชา มลฤดีให้คำตอบว่าภายใต้ร่มใหญ่ชื่อกระทรวงสาธารณสุข สามารถแบ่งแยกย่อยได้ดังนี้

“ถ้าเป็นผลิตภัณฑ์อาหารและยาต้องมีเลขอนุญาต สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จะเป็นคนดูแล ซึ่งทาง อย. ก็ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขมาควบคุมหนึ่งฉบับให้ผู้ที่ใช้ส่วนประกอบของกัญชาเป็นส่วนผสมในอาหารของอุตสาหกรรมต้องมาขออนุญาต จดแจ้งเลขทะเบียนกับ อย. ต้องใช้ฉลากแจ้งว่าผลิตภัณฑ์มีส่วนผสมของกัญชา”

มลฤดีเสริมว่าหากผลิตภัณฑ์ไม่มีการจดแจ้งเลขทะเบียน ตามกฎหมายจะมีความผิดเรื่องการจำหน่ายอาหารที่ไม่ขึ้นทะเบียน อย. มีโทษทั้งจำและปรับ รวมถึงถ้าผู้บริโภคได้รับอันตรายจากการบริโภคอาหาร เข้าข่ายเป็นอาหารที่ไม่มีความปลอดภัย ควรได้รับโทษตามมาตราในพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ.2522 อีกเช่นกัน

ด้านร้านอาหาร เครื่องดื่ม และเบเกอรี่ทั่วไป มลฤดีอธิบายว่าอยู่ภายใต้การดูแลของกรมอนามัย ซึ่งร้านเหล่านั้นต้องขอรับใบอนุญาตหรือหนังสือรับรองการจัดตั้งสถานที่จำหน่ายอาหารกับสำนักงานเขต รวมถึงต้องใช้กัญชาจากแหล่งผลิตและแหล่งจำหน่ายที่ขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตรเท่านั้นจึงจะถูกต้องตามกฎหมาย

แม้จะมีหน่วยงานแยกย่อยร่วมกันกำกับแต่ละส่วนตามแบบฉบับรัฐไทย แต่มลฤดีมองว่าในเมื่อช่องโหว่สำคัญคือการอนุญาตให้ครัวเรือนทั่วไปปลูกกัญชา ทำให้มาตรการควบคุมที่มีอยู่อาจใช้ไม่ได้ผลเท่าที่ควร และถึงจะกำหนดว่าผู้ปลูกต้องจดแจ้งผ่านแอปพลิเคชัน ‘ปลูกกัญ’ ทว่าการลงทะเบียนนั้นเป็นเพียงการแจ้งข้อมูล ไม่มีกระบวนการพิจารณาคุณสมบัติผู้ปลูกใดๆ ชวนให้ขบคิดว่าลำพังประกาศจากหน่วยงานรัฐจะสามารถกำกับถึงขั้นการประกอบอาหารในครัวเรือนหรือร้านค้าชุมชนขนาดเล็กได้ดีแค่ไหน

หากอ้างอิงข้อมูลจากรายงานวิจัยความรู้ความเข้าใจและความตระหนักของผู้ประกอบการร้านอาหารและวิสาหกิจชุมชนต่อมาตรการทางกฎหมายและกรรมวิธีการผลิตอาหารที่มีกัญชาเป็นส่วนผสม โดย ผศ.ดร.ภญ.อุษาวดี สุตะภักดิ์ และ อ.ดร.ภก.ธีรพงศ์ ตั้งใจ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ ที่สำรวจกลุ่มตัวอย่างผู้ประกอบการ 320 คนในจังหวัดเชียงใหม่ จะพบว่ามีผู้ประกอบการกว่า 12.6% เข้าใจว่าสามารถทุกส่วนของกัญชา ไม่ว่ายอดหรือช่อดอก มาใช้ประโยชน์ ผสมลงอาหาร เครื่องดื่ม ขนมได้โดยไม่จัดเป็นยาเสพติด ขณะที่ 23.9% คิดว่านำกัญชาจากแหล่งใดก็ได้ เช่น กัญชาที่มาจากการปลูกในครัวเรือน มาประกอบอาหารเพื่อจำหน่าย และผู้ประกอบการเกิน 50% ไม่ทราบว่าการผสมกัญชาลงในอาหารต้องระมัดระวังเรื่องสารปนเปื้อน อย่างสารโลหะหนัก สารเคมีกำจัดศัตรูพืช หรือเชื้อจุลินทรีย์ที่มีโทษ – สิ่งนี้คงสะท้อนภาพใหญ่ในสังคมได้ว่าผู้ประกอบการหลายคนอาจยังไม่เข้าใจวิธีการใช้ ‘ส่วนผสม’ ใหม่ที่ดีพอ และบรรดาประกาศ ข้อแนะนำ หรือการบังคับใช้บทลงโทษของรัฐอาจจะยัง ‘เอาไม่อยู่’ อย่างที่เคยหวังไว้


เมื่อเด็กเข้าถึงกัญชาง่าย ทั้งในโลกจริงและออนไลน์


ในสภาพการณ์กัญชาเสรีเช่นที่เป็นอยู่ หลายฝ่ายต่างเห็นพ้องต้องกันว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบและน่ากังวลมากที่สุดคงหนีไม่พ้นกลุ่มเด็กและเยาวชนไทย ข้อมูลที่รวบรวมโดยศูนย์ คิด for คิดส์ ระบุว่ามีงานศึกษาหลายชิ้นกล่าวถึงปัญหาด้านพัฒนาการทางสมองของเด็กและเยาวชนที่ได้รับกัญชาปริมาณมากและต่อเนื่อง เช่น ความสามารถในการรู้คิด การจดจำ และตัดสินใจแย่ลง ระดับเชาวน์ปัญญา (ไอคิว) และศักยภาพในการเรียนรู้อาจลดลง รวมถึงเสี่ยงต่อโรคทางจิตเวช อย่างหูแว่ว วิตกกังวล หรือซึมเศร้า

อีกทั้งยังมีข้อค้นพบว่าหากเยาวชนเริ่มใช้กัญชาเร็ว อาจนำไปสู่การทดลองใช้หรือติดสารเสพติดชนิดอื่นๆ ที่รุนแรงมากขึ้น ปัจจุบันจึงมีมาตรการห้ามจำหน่ายกัญชาแก่บุคคลอายุต่ำกว่า 20 ปี แต่มลฤดีกลับเล่าว่า “เราเคยทดลองให้เด็กไปซื้อเครื่องดื่มผสมกัญชาในร้านสะดวกซื้อ พนักงานก็ไม่ได้ขอดูบัตรประชาชนเลย” แสดงให้เห็นว่าร้านค้าส่วนหนึ่งไม่รู้ถึงข้อห้าม หรือไม่ทราบว่าผลิตภัณฑ์ใดมีส่วนผสมของกัญชา

ขณะเดียวกัน ดังที่เคยปรากฏในข่าวว่ามีการตั้งร้านขายกัญชาหน้าโรงเรียนชื่อดังย่านสีลม และมีนักเรียนสามารถนำกัญชาเข้าไปจำหน่ายในสถานศึกษาแห่งหนึ่งของจังหวัดลำปางจนผู้ปกครองต่างร้องเรียนเรื่องบุตรหลานเสพติดกัญชากันจำนวนมาก ก็สะท้อนให้เห็นถึงความหละหลวม ไร้มาตรการกำหนดจุดจำหน่ายและไม่มีการตรวจสอบพื้นที่ของเยาวชนซึ่งควรปลอดกัญชาอย่างเคร่งครัด

ยิ่งไปกว่านั้น มลฤดีชี้ว่า “ที่น่าเป็นห่วงมากคือผลิตภัณฑ์ที่ขายในโลกออนไลน์ เพราะยังไม่มีการควบคุม เราจะเห็นคุกกี้ ขนมเบเกอรี่ใส่กัญชาที่เข้าถึงได้ง่ายมาก แล้วยังมีคนช่วยรีวิวแนะนำอาหารผสมกัญชา”

ใน ‘การประชุมวิชาการศูนย์ศึกษาปัญหาการเสพติด (ศศก.) : เพื่อการพัฒนาศักยภาพการวิจัย และนักวิชาการการเสพติด ครั้งที่ 9’ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565 ผศ.ดร.ศรีรัช ลาภใหญ่ นักวิชาการด้านนิเทศศาสตร์อิสระ นำเสนอผลการศึกษาส่วนหนึ่งเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์กัญชาในโซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มค้าขายสาธารณะว่า เมื่อสำรวจตลาดออนไลน์ของประเทศไทยปี 2564-2565 พบว่ามีผลิตภัณฑ์ผสมกัญชารูปแบบต่างๆ มากมาย พ้นไปจากกัญชาสดหรือผสมลงในบุหรี่ไฟฟ้าแล้ว ยังมีขนมอบ เยลลี่ ช็อกโกแลต ที่แลดูจะได้รับความนิยมอย่างมาก

ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีกระบวนการทำการตลาดอย่างเป็นระบบ กล่าวคือมีการคิดค้นชื่อแบรนด์ ออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้สวยงามน่าดึงดูด สีสันสดใสให้เชื่อว่าเป็นสิ่งปราศจากอันตราย มีการใช้คำโฆษณาเช่น ‘เยลลี่อวกาศ’ ‘ได้กลิ่นก็ลอยแล้ว’ ‘มีความสุขทุกช่วงเวลา’ ‘สายปาร์ตี้ต้องไม่พลาด’ เพื่อสร้างมายาคติเรื่องความมึนเมาให้ผู้บริโภคเข้าใจว่าเป็นความสุขของคนสมัยใหม่ อาการเคลิบเคลิ้มจากการเสพของมึนเมาคือการปลดปล่อย การหลุดพ้น หรือเสรีภาพ ผู้ผลิตหลายเจ้ายังอ้างการขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ที่ส่วนใหญ่มักนำผลิตภัณฑ์ไปจดแจ้งเพียงเพื่อเสริมคำโฆษณาว่าปลอดภัย มีมาตรฐานเพียงพอจะจัดจำหน่าย ใช้บริโภคได้

และเช่นเดียวกับสินค้าประเภทอื่นๆ เจ้าของผลิตภัณฑ์กัญชาเองก็จัดโปรโมชันส่งเสริมการขายออนไลน์ เช่น ลดราคา ส่งฟรี รวมถึงใช้อินฟลูเอนเซอร์ คำรีวิวช่วยในการจำหน่าย ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกเผยแพร่ผ่านช่องทางแพลตฟอร์มออนไลน์ประเภทต่างๆ โดยไม่มีการปิดกั้น กลั่นกรอง หรือตรวจสอบโดยหน่วยงานใดเลย แม้ว่าผลิตภัณฑ์หลายชิ้นจะเข้าข่ายโฆษณาเกินจริงก็ตาม

อนึ่ง งานศึกษาชิ้นดังกล่าวจัดทำและเผยแพร่ก่อนการประกาศปลดล็อกกัญชาทั้งต้นในเดือนมิถุนายน 2565 ดังนั้นจึงน่ากังวลว่าสถานการณ์ปัจจุบันอาจมีผู้ค้าผลิตภัณฑ์กัญชาจำนวนมากขึ้นกว่าเดิม หลากหลายยิ่งกว่าเดิม ซึ่งจะนำมาสู่การแข่งขันทางการค้าผ่านการลดราคา ออกแบบหีบห่อ และปล่อยโฆษณาบนสื่อออนไลน์ที่เยาวชนเข้าถึงได้ – และถ้าหากมีเยาวชนซื้อขายผลิตภัณฑ์กัญชาจริง ก็อาจไม่สามารถเอาผิดผู้ขาย หรือทวงถามความรับผิดชอบจากใครได้เลย


ผู้บริโภคต้องมีสิทธิได้รับอาหารที่ปลอดภัย


“ตอนนี้เรายังไม่ได้ทำการสำรวจแน่ชัดว่าแต่ละชุมชนมีร้านค้าที่ใช้กัญชาในอาหารมากน้อยแค่ไหน แต่เท่าที่สังเกตจากโซเชียลมีเดียหรือค้นหาบนอินเทอร์เน็ต จะเห็นว่ามีร้านอาหาร เครื่องดื่ม เบเกอรี่เปิดใหม่จำนวนมากที่มีเมนูกัญชา”

แม้ดูเหมือนว่ากระแสของอาหารกัญชายังคงอบอวลอยู่ในสังคมไทยและมีผู้ได้รับผลกระทบจากการบริโภคกัญชาโดยไม่ตั้งใจจำนวนไม่น้อย แต่มลฤดีเผยว่าที่ผ่านมายังไม่มีใครติดต่อสภาองค์กรของผู้บริโภคเพื่อร้องเรียนอย่างจริงจัง ส่วนใหญ่เพียงโทรเข้ามาสอบถามหรือขอคำปรึกษาเกี่ยวกับอาการที่พบจากการรับประทานอาหารผสมกัญชา ซึ่งเธอมองว่าสาเหตุหนึ่งคือยังไม่มีหน่วยงานรัฐที่ออกตัวรับเรื่องร้องเรียนจากกรณีเหล่านี้ ทำให้ผู้บริโภคไม่มั่นใจว่าสุดท้ายตนมีสิทธิได้รับการคุ้มครองมากน้อยแค่ไหน

“ตอนนี้ไม่มีช่องทางรับเรื่องร้องเรียนของผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากการบริโภคกัญชา ทำให้ผู้บริโภคไม่กล้าเรียกร้องสิทธิ์ของตัวเองเรื่องนี้ เพราะเขาอาจจะคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่ร้องเรียนได้” มลฤดีอธิบาย พร้อมยืนยันว่าหากอาหารผสมกัญชาที่ไม่มีการให้คำเตือน ฉลากระบุส่วนผสม ล้วนมีความผิดด้านละเมิดสิทธิผู้บริโภคเกี่ยวกับสิทธิการได้รับอาหารที่ปลอดภัย


มลฤดี โพธิ์อินทร์


“เพียงแต่อาจจะมีขั้นตอนยุ่งยากอยู่บ้าง ตรงที่ผู้บริโภคต้องเข้าไปรักษาในโรงพยาบาล และต้องขอใบรับรองแพทย์เพื่อยืนยันให้ชัดเจนว่าผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากสาร THC หรือ CBD จากอาหารที่รับประทานเข้าไป และถ้าร้านอาหารใช้กัญชาจริง เรื่องนี้เจรจาไกล่เกลี่ยกับร้านให้ผู้บริโภคได้รับค่าชดเชยเยียวยาเป็นผลแน่นอน”

เมื่อถามว่าการแพ้อาหารผสมกัญชาจะถูกพิจารณาเป็นเรื่องปัจเจกบุคคล เช่นเดียวกับผู้บริโภคที่แพ้นม แป้ง ถั่ว และอื่นๆ หรือไม่ มลฤดีชี้แจงว่า “เทียบกันแล้ว อาหารที่มีส่วนผสมเหล่านี้ยังถูก อย. บังคับให้ประกาศบนฉลาก แสดงคำเตือนสำหรับผู้แพ้อาหารชนิดนั้นๆ เพราะเคยมีการศึกษามาแล้วว่าจะมีกลุ่มคนที่แพ้อาหารเหล่านี้

“แต่อาหารผสมกัญชา มีสาร THC ที่ยังไม่เคยมีการวิเคราะหรือมีวิธีตรวจทางการแพทย์เลย แม้แต่เรายังไม่รู้ว่าตัวเองแพ้สารชนิดนี้หรือเปล่า ทานเข้าไปจะเกิดอะไรขึ้น ทุกคนจึงมีสิทธิได้รู้ก่อนบริโภค ไม่ใช่ว่าต้องทดลองกินอาหารผสมกัญชาเท่านั้นถึงรู้ว่าเราแพ้หรือเปล่า”

ถ้าให้ประเมินการทำงานและมาตรการที่ผ่านมาทั้งหมด สำหรับมลฤดีให้ความเห็นว่า “มีช่องว่างมากมายจากความไม่พร้อมของหน่วยงานรัฐที่ต้องรับมือกับกัญชา” ทั้งงานวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบต่อผู้บริโภคจากสารที่เป็นอันตรายในกัญชายังมีออกมาไม่มาก คนบางส่วนในหน่วยงานที่ทำงานขึ้นทะเบียนแหล่งเพาะปลูกกัญชา ที่มาของกัญชา ตรวจโรงงานผลิตต่างๆ ยังไม่รู้ระบบจัดการอย่างแน่ชัด กระทั่งกรมอนามัยก็แจงว่าภาครัฐไม่มีชุดตรวจสาร THC ในอาหาร หากต้องการทราบต้องเก็บตัวอย่างส่งห้องปฏิบัติการของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สถาบันอาหาร หรือมหาวิทยาลัยต่างๆ แทน

ส่วนด้านข้อกฎหมาย “พอ พ.ร.บ. ยังไม่เกิดขึ้น สิ่งที่รัฐทำคือออกประกาศกระทรวงมารองรับ แต่กว่าประกาศจะออกมาได้ กัญชาก็เข้าไปอยู่ในร้านอาหารมากมายแล้ว ถ้ามองว่าทั้งหมดเป็นมาตรการชั่วคราวระหว่างรอ พ.ร.บ. คำว่า ‘ชั่วคราว’ โดยปกติแล้วควรดูแลอย่างเข้มงวดมาก บทลงโทษต้องรัดกุม และหน่วยงานแต่ละพื้นที่ต้องเข้าใจตรงกัน”

มลฤดีเสริมว่าอันที่จริง บทลงโทษกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภคจากอาหารไม่ปลอดภัยที่มีอยู่ถือว่ารุนแรงพอสมควรแล้ว ถ้าทุกหน่วยงานใช้มาตรการที่ประกาศออกมาพร้อมกฎหมายที่มีอยู่ได้จริง เราก็ยังคงรอ พ.ร.บ.กัญชากัญชงได้ – ติดแค่เมื่อไม่เป็นดังที่คาดหวังไว้ อย่างน้อยก็ต้องหาทางให้ผู้บริโภค รวมถึงเด็กและเยาวชนได้รับความปลอดภัยจากภาวะกัญชาเสรีมากที่สุดในระหว่างที่ยังไม่มีอะไรชัดเจน กระทั่งทิศทางลมการเมืองและนโยบายของรัฐบาลใหม่

“ว่ากันตามตรง กัญชาเป็นเรื่องของการเมือง เริ่มมาจากนโยบายของพรรคใดพรรคหนึ่งที่ได้เข้ามาเป็นรัฐบาลแล้วทำการปลดล็อกออกไป ในตอนแรกปลดมาใช้เพื่อทางการแพทย์ แต่ต่อมากลับเอาออกมาทั้งหมด กลายเป็นว่าตอบสนองคนกลุ่มหนึ่งที่อยากใช้กัญชาเพื่อสันทนาการ

“พอเกิดการเปลี่ยนถ่ายรัฐบาล ก็เกิดคำถามว่ากัญชาจะอยู่จุดไหน จะกลับไปอยู่ในการควบคุมอย่างไร สิ่งนี้เป็นความรับผิดชอบร่วมกัน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ และรัฐบาลใหม่ต้องมาคิดทบทวนว่าจะทำอย่างไรให้กัญชามีประโยชน์ ไม่เป็นโทษต่อผู้บริโภค”

แน่นอนว่าเรื่อง พ.ร.บ.กัญชากัญชงที่เคยถูกปัดตกไปในรัฐสภาคงกลับมาถูกพูดถึงกันอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้มลฤดีเรียกร้องให้มีความคิดเห็นจากทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นภาคประชาสังคม ประชาชน และบรรดาผู้มีส่วนได้เสียต่างๆ ในการจัดทำ พ.ร.บ. ที่ครบถ้วนรอบด้าน และต้องกลับมาพิจารณาเรื่องการอนุญาตให้ปลูกในครัวเรือน การใช้เพื่อสันทนาการ รวมถึงการควบคุมไม่ให้เข้าถึงเยาวชนโดยง่าย

“จุดยืนของเราคือใช้กัญชาในการรักษาทางการแพทย์ได้ และถ้านำไปผสมในอาหาร ต้องมีข้อกำหนดทางกฎหมายที่ชัดเจน มีการตรวจวิเคราะห์ก่อนและหลังการขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานที่รัดกุมมากกว่านี้ มีนวัตกรรมชุดทดสอบสาร THC หรือ CBD ในผลิตภัณฑ์ตามท้องตลาดหรืออาหารในร้านค้าที่รู้ผลได้รวดเร็ว และเราอยากเห็นการคุ้มครองผู้บริโภค เมื่อไหร่ที่ผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากกัญชา เขาจะได้รับการเยียวยา ดูแลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจริงๆ” มลฤดีทิ้งท้าย


ผลงานชิ้นนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสภาองค์กรของผู้บริโภค และ The101.world

MOST READ

Social Issues

21 Jan 2025

101 Academy 2025 สมัครเรียนรู้หลักสูตรสื่อ-วิจัย-ครีเอทีฟดีไซน์สไตล์ 101 ได้ที่นี่!

หลักสูตรเรียนรู้การทำสื่อ การทำวิจัยนโยบายสาธารณะ และการทำงานครีเอทีฟดีไซน์ สไตล์ 101

กองบรรณาธิการ

21 Jan 2025

Social Issues

19 Apr 2021

เรื่องเล่าจากเรือนจำหญิง “อยู่ในนี้ เงินหนึ่งบาทก็มีค่า”

ฟังเรื่องเล่าในเรือนจำหญิงจากอดีตผู้ต้องขัง สะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ทั้งการกินอยู่ นอนหลับ และกิจกรรมที่ทำระหว่างช่วงวัน

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

19 Apr 2021

Social Issues

29 Apr 2024

‘ไม่เรียน ไม่ทำงาน ไม่มีความฝัน(?)’ ชีวิตที่ผ่านพ้นแบบวันต่อวันของเด็ก NEET

101 ชวนสำรวจชีวิตของเด็กนอกระบบการศึกษา นอกตลาดแรงงาน และไม่ได้รับการฝึกอบรม (NEET) ผู้อาศัยในชุมชนใจกลางเมืองกรุงเทพฯ

ภาวรรณ ธนาเลิศสมบูรณ์

29 Apr 2024

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save