คุมกัญชาเสรีอย่างไรให้ปลอดภัยกับเด็กและเยาวชนที่สุด

การทำให้กัญชาถูกกฎหมายหรือการเปิดเสรีกัญชาเป็นประเด็นนโยบายที่ถูกถกเถียงในสังคมไทยอย่างมาก มีทั้งเสียงสนับสนุนและคัดค้าน ซึ่งในแต่ละฝ่ายยังมองระดับการเปิดเสรีที่เหมาะสมไว้ต่างกัน

ที่ผ่านมา การใช้กัญชาในประเทศไทยก็มีทิศทางเปิดเสรีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การอนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และการวิจัยในปี 2019 จนมาถึงการขับเคลื่อนนโยบายกัญชาเสรีโดยกลุ่มประชาชนผู้ใช้งานและพรรคการเมืองในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

จุดเปลี่ยนสำคัญคือ การปลดล็อกกัญชาทุกส่วนออกจากรายชื่อยาเสพติดให้โทษ (หากมีสาร THC ไม่เกิน 0.2%) เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2022 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การปลดล็อกนี้เกิดขึ้นโดยที่ไม่มีกฎหมายหรือมาตรการใดมาควบคุมการใช้งานอย่างเพียงพอ เกิดเป็นสภาวะ ‘สุญญากาศ’ ที่ส่งผลให้การปลูก จำหน่าย บริโภคและใช้กัญชาในสังคมไทยเป็นไปอย่างไร้กฎเกณฑ์ ขาดการควบคุมความปลอดภัย

ที่สำคัญคือ กระทบต่อความปลอดภัยของเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ควรได้รับการคุ้มครองจากการดำเนินนโยบายนี้มากที่สุด

ศูนย์ความรู้นโยบายเด็กและครอบครัว (คิด for คิดส์) โดย 101 PUB และ สสส. ชวนผู้อ่านสำรวจผลกระทบของกัญชาต่อเด็กและเยาวชนในด้านต่างๆ ชี้ช่องโหว่และจุดเสี่ยงของการเปิดเสรีกัญชา ทั้งในสภาวะสุญญากาศในปัจจุบัน และจากร่าง พ.ร.บ. กัญชาฯ ฉบับล่าสุด รวมถึงข้อเสนอแนะในการออกแบบนโยบายกัญชาเสรีที่ลดผลกระทบต่อกลุ่มเสี่ยงอย่างเด็กและเยาวชน

สมดุลของเสรีภาพและความปลอดภัย: หัวใจสำคัญของนโยบายกัญชา

นโยบายกัญชาเสรีส่งผลกระทบสำคัญต่อคนหลายกลุ่ม การออกแบบนโยบายจึงควรคำนึงถึงผลกระทบต่อคนกลุ่มต่างๆ อย่างรอบด้าน โดยมีหัวใจสำคัญคือ การสร้างสมดุลระหว่าง 2 หลักการ ได้แก่ ‘เสรีภาพของประชาชน’ และ ‘ความปลอดภัยของเด็ก เยาวชน และสังคม’

เสรีภาพของประชาชน หมายรวมทั้งผู้ใช้งาน-บริโภคที่บรรลุนิติภาวะ ซึ่งต้องการใช้กัญชา/กัญชงเพื่อดูแลรักษาสุขภาพตนเองหรือใช้เพื่อนันทนาการ ตลอดจนเสรีภาพของเกษตรกร ผู้ผลิตสินค้า และผู้ประกอบการที่ประสงค์จะใช้กัญชา/กัญชงในการสร้างรายได้

ในแง่หนึ่ง การเปิดให้ประชาชนสามารถใช้กัญชา/กัญชงในฐานะพืชสมุนไพรเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์นั้น ช่วยลดต้นทุนค่ารักษาสุขภาพ และยังสร้างทางเลือกในการดูแลรักษาสุขภาพแก่กลุ่มที่มีความจำเป็นต้องใช้อีกด้วย

แต่หาก ‘เสรีภาพ’ ของการใช้กัญชา/กัญชงครอบคลุมไปถึงการใช้เพื่อนันทนาการ การออกแบบนโยบายและมาตรการกำกับก็ย่อมมีประเด็นให้พิจารณามากขึ้น ผู้กำหนดนโยบายควรจัดวางระยะของเสรีภาพนี้อย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงบริบทของสังคมไทยและศักยภาพของหน่วยงานกำกับดูแลในปัจจุบัน

อีกหลักการหนึ่งที่ต้องพิจารณาควบคู่กันไปคือ ความปลอดภัยของเด็ก เยาวชน และกลุ่มเสี่ยงอื่นๆ เช่น สตรีมีครรภ์และสตรีที่กำลังให้นมบุตร ซึ่งเสี่ยงได้รับผลกระทบทางสุขภาพที่รุนแรงกว่าคนกลุ่มอื่นจากการบริโภคกัญชาและสารสกัด จึงควรได้รับการคุ้มครองและจำกัดการเข้าถึงกัญชาให้มากที่สุด

นอกจากนี้ ประชาชนทั่วไปก็ควรได้รับความเสี่ยงจากการบริโภคหรือใช้กัญชาของกลุ่มผู้ใช้งานให้น้อยที่สุด เช่น ความเสี่ยงจากการได้รับควันมือสอง และการบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของกัญชาโดยที่ไม่ได้รับการแจ้งเตือน เป็นต้น รวมทั้งควรคำนึงถึงการควบคุมความปลอดภัยบนท้องถนน ที่อาจมีกรณีอุบัติเหตุจากการใช้กัญชาเพิ่มมากขึ้นเมื่อมีการเปิดเสรี      

ทั้งสองหลักการนี้เป็นประเด็นสำคัญที่ผู้กำหนดนโยบายต้องพิจารณาและชั่งน้ำหนักอย่างรอบคอบ เพื่อออกแบบนโยบายและมาตรการควบคุมที่เหมาะสม นั่นคือ รัดกุมมากพอที่จะคุ้มครองกลุ่มเสี่ยงได้ โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ในขณะเดียวกันก็ไม่เข้มงวดมากเกินไปจนปิดกั้นเสรีภาพของประชาชนกลุ่มอื่นๆ

ผลกระทบของกัญชาต่อเด็กและเยาวชนในสภาวะสุญญากาศ

การถอดกัญชา/กัญชงออกจากยาเสพติดอย่างเร่งรีบ โดยขาดมาตรการควบคุมที่รัดกุมและครอบคลุม ทำให้สังคมไทยตกอยู่ใน ‘สภาวะสุญญากาศทางกฎหมาย’

กัญชากลายเป็นสินค้าที่เข้าถึงได้ง่าย โดยเฉพาะการใช้เพื่อนันทนาการที่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย ส่งผลให้เด็กและเยาวชนไทยที่ควรได้รับการคุ้มครองกลับเข้าถึงกัญชาได้มากขึ้น โดยมีทั้งกลุ่มที่บริโภคกัญชาโดยไม่ได้ตั้งใจ และกลุ่มที่ทดลองใช้ด้วยตนเอง

ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยรายงานข้อมูลว่า ในช่วงวันที่ 21 มิถุนายน ถึง 1 สิงหาคม 2022 มีเด็กและเยาวชนที่มีอาการป่วยจากกัญชาจำนวน 18 ราย แบ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับกัญชาโดยตั้งใจด้วยตนเอง 13 ราย ที่ได้รับกัญชามาจากเพื่อนและซื้อด้วยตนเอง และอีกกลุ่มได้รับโดยไม่ตั้งใจหรือไม่รู้ตัวอีก 5 ราย ซึ่งเกิดจากการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีกัญชาเป็นส่วนประกอบโดยไม่ตั้งใจ เนื่องจากสมาชิกครอบครัวเป็นผู้ใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นและเก็บไว้ในที่ที่เด็กสามารถเข้าถึงได้ไม่ยาก ในจำนวนนี้เป็นเด็กเล็กอายุไม่เกิน 5 ปี ทั้งหมด 2 ราย[1]

สารออกฤทธิ์ที่สำคัญในกัญชาและกัญชงมี 2 ชนิด คือ Cannabidiol (CBD) และ Tetrahydrocannabinol (THC) แม้สารทั้งสองชนิดจะมีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก แต่ให้ผลลัพธ์ที่ต่างกัน

CBD เป็นสารที่ไม่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท ไม่ทำให้มึนเมา จึงไม่ถูกจัดเป็นยาเสพติด ในขณะที่ THC มีฤทธิ์ต่อจิตประสาท ทำให้เกิดการเสพติดได้ เนื่องจากกัญชาประกอบด้วย THC ถึง 12% และมี CBD เพียง 0.3% การสูบและบริโภคโดยตรงจึงมีโอกาสรับสาร THC ในปริมาณมากเกินไป[2] โดยเฉพาะการใช้กัญชาในช่วงวัยที่ยังไม่เหมาะสม ที่สร้างผลเสียสำคัญ 2 ด้านคือ สุขภาพร่างกาย และการเรียนรู้

ในด้านสุขภาพ งานศึกษาจำนวนมากให้ข้อสรุปไปในทางเดียวกันว่า กัญชามีผลทำให้พัฒนาการทางสมองของเด็กและเยาวชนผิดปกติ เนื่องจากสมองในช่วงอายุนี้ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา หากใช้กัญชาในปริมาณมากและต่อเนื่อง ฤทธิ์ของกัญชาจะรบกวนการทำงานของเซลล์สมองจนส่งผลให้ความสามารถในการรู้คิด ตัดสินใจ และการจดจำย่ำแย่ลง[3]

หากเริ่มใช้กัญชาตั้งแต่เป็นวัยรุ่น โดยใช้อย่างน้อย 4 วันต่อสัปดาห์ และใช้ต่อเนื่องจนเป็นผู้ใหญ่ มีแนวโน้มที่ระดับเชาวน์ปัญญา (ไอคิว) จะลดลง 8 จุด[4] ซึ่งระดับไอคิวเฉลี่ยของประชากรไทยอยู่ที่ 88.9[5] หมายความว่าการใช้กัญชาอาจส่งผลให้ระดับไอคิวลดลงราว 7.1% 

ส่วนผลกระทบต่อสุขภาพจิตก็พบว่า หากใช้กัญชา โดยเฉพาะที่มีสาร THC ในปริมาณมาก จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการและโรคทางจิตเวชได้ เช่น หลงผิด หูแว่ว วิตกกังวล อารมณ์แปรปรวน และซึมเศร้า[6]

ผลเสียสำคัญอีกด้านหนึ่งคือ ศักยภาพการเรียนรู้ถดถอยลง ซึ่งก็เป็นผลจากการที่สมองถูกรบกวนด้วยฤทธิ์ของกัญชา จึงไม่สามารถรับข้อมูลและประมวลผลได้อย่างเต็มที่ มากไปกว่านั้น ยังมีความเสี่ยงที่จะหลุดจากระบบการศึกษาได้ง่ายกว่า

งานศึกษาในประเทศนิวซีแลนด์ โดย Fergusson DM, et al. (2003) ซึ่งติดตามนักเรียนจำนวน 1,265 คน เป็นเวลา 10 ปี พบว่า นักเรียนที่เริ่มใช้กัญชาตั้งแต่อายุ 15 ปี มีแนวโน้มหลุดจากระบบการศึกษามากกว่ากลุ่มที่ไม่ใช้ โดยมีโอกาสจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายน้อยกว่า 3.6 เท่า และระดับอุดมศึกษาน้อยกว่า 3.7 เท่า[7]

ยิ่งไปกว่านั้น การทดลองใช้กัญชาตั้งแต่วัยเด็กยังเพิ่มความเสี่ยงที่จะเสพติดกัญชาในระยะยาวได้มากกว่า เมื่อเทียบกับการเริ่มใช้ในวัยผู้ใหญ่ จากการเก็บข้อมูลในประเทศสหรัฐอเมริกาโดย National Household on Drug Abuse (2001) พบว่า การเสพกัญชาตั้งแต่อายุ 11-13 ปี เพิ่มความเสี่ยงสัมพัทธ์ (relative risk) ของการเสพติดกัญชาเป็น 10.8 เท่า และหากเริ่มเสพเมื่ออายุ 14-15 ปี ความเสี่ยงสัมพัทธ์จะเพิ่มขึ้นเป็น 12.0 เท่า[8] อีกทั้งการเริ่มใช้กัญชาเร็วก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่อาจนำไปสู่การทดลองใช้สารเสพติดอื่นๆ ซึ่งอาจมีความรุนแรงมากกว่ากัญชาอีกด้วย[9]

ร่าง พ.ร.บ. กัญชา กัญชงฯ ยังคุ้มครองเด็กและเยาวชนได้ไม่มากพอ

ในวันที่กัญชากัญชงถูกปลดล็อกออกจากการเป็นยาเสพติดอย่างเป็นทางการ เป็นช่วงเวลาเดียวกันที่ร่าง พ.ร.บ. กัญชา กัญชง เสนอโดยพรรคภูมิใจไทย และร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมการใช้ประโยชน์กัญชา กัญชง เสนอโดยพรรคพลังประชารัฐ ผ่านมติสภาผู้แทนราษฎรอย่างเป็นเอกฉันท์ในวาระแรก จากนั้นจึงมีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฯ (กมธ. วิสามัญ) เพื่อปรับปรุงร่างกฎหมาย

หลังจากใช้เวลาร่วม 3 เดือน กมธ. วิสามัญฯ ก็พิจารณาแก้ไขร่าง พ.รบ. กัญชาจนเสร็จสิ้นในวันที่ 7 กันยายน 2022 แม้จะมีความพยายามอุดรอยรั่วที่เกิดขึ้นในสภาวะสุญญากาศ โดยกำหนดมาตรการหลายข้อที่ครอบคลุมมากขึ้นในร่างฉบับนี้ แต่ก็ยังมีประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองเด็กและเยาวชนอีกจำนวนมากที่ไม่ได้ถูกพูดถึง หรือไม่ได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนมากพอ

ภายใต้ร่างกฎหมายนี้ ห่วงโซ่การผลิตและการจำหน่ายกัญชาจึงยังมีช่องโหว่ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การปลูก จำหน่าย โฆษณา จนถึงการครอบครองและใช้งานกัญชา เสี่ยงที่เด็กและเยาวชนจะไม่ได้รับการคุ้มครองอย่างเหมาะสมและอาจเข้าถึงกัญชาได้ง่าย

ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2022 สภาผู้แทนราษฎรก็ได้มีมติถอนร่างกฎหมายฉบับนี้ ทำให้ร่างกฎหมายถูกตีกลับไปให้ กมธ. วิสามัญดำเนินการแก้ไข เพื่อรอพิจารณาในวาระถัดไปในสมัยประชุมหน้า ซึ่งจะยิ่งยืดระยะเวลาของภาวะสุญญากาศให้ยาวนานขึ้นอีก

ให้ปลูกที่บ้านได้หลายต้น เด็กเสี่ยงเข้าถึงกัญชาได้ตั้งแต่ในบ้าน

ในขั้นการปลูก ประเด็นสำคัญที่สุดที่จะกระทบต่อเด็กและเยาวชนคือ การอนุญาตให้ปลูกกัญชากัญชงที่บ้านได้ ในสภาวะปัจจุบันที่ไม่มีกฎหมายควบคุมกัญชา ครัวเรือนสามารถปลูกได้ไม่จำกัดจำนวนต้น รวมถึงไม่มีข้อบังคับว่าครัวเรือนที่มีเด็กและเยาวชนจะต้องปลูกและจัดเก็บให้พ้นจากเด็กและเยาวชนอย่างไร ในร่างกฎหมายฉบับ กมธ. วิสามัญ ได้เพิ่มข้อกำหนดเรื่องจำนวนต้นกัญชาที่สามารถปลูกในบ้าน โดยให้อยู่ที่ 15 ต้น และระบุหน้าที่ของผู้ปลูกในครัวเรือนว่า ต้องจัดให้มีสถานที่เพาะปลูกที่มีมาตรการป้องกันไม่ให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงกัญชากัญชงที่ปลูกไว้ได้ และต้องป้องกันไม่ให้มีการนำกัญชาไปใช้ในทางที่ผิด (มาตรา 20/6)

อย่างไรก็ตาม การอนุญาตให้ปลูกที่บ้านได้ 15 ต้นนั้น ก็ยังถือว่าเป็นจำนวนที่ค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับหลายประเทศที่มีนโยบายกัญชาเสรีและอนุญาตให้ปลูกที่บ้านได้ ซึ่งส่วนใหญ่จำกัดจำนวนไว้ที่ราว 4-6 ต้นเท่านั้น  เช่น ประเทศแคนาดาอนุญาตให้ปลูกไม่เกิน 4 ต้น พร้อมกับกำหนดมาตรการให้ผู้ปลูกในครัวเรือนต้องปฏิบัติตามอย่างค่อนข้างเคร่งครัด โดยเฉพาะการควบคุมความปลอดภัยของเด็กและเยาวชนในครัวเรือน[10]

ส่วนประเทศเนเธอร์แลนด์ ในทางกฎหมายยังถือว่ากัญชาเป็นยาเสพติดประเภทไม่รุนแรง (soft drug) รัฐบาลจึงใช้นโยบายผ่อนปรน (toleration policy) คือ ครัวเรือนสามารถปลูกเพื่อใช้ส่วนตัวได้ไม่เกิน 5 ต้น โดยจะไม่ถูกดำเนินคดี เพื่อจำกัดการใช้งานกัญชาในครัวเรือน[11]

การอนุญาตให้ปลูกที่บ้านได้หลายต้นจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่เด็กและเยาวชนจะเข้าถึงและบริโภคกัญชาโดยไม่ได้ตั้งใจ ดังที่ปรากฏให้เห็นเป็นจำนวนไม่น้อยในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ การอนุญาตให้ปลูกโดยจำกัดจำนวนต้นและกำหนดให้มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง ยังมีปัญหาในการบังคับใช้กฎหมาย ที่ต้องตรวจสอบไปทุกบ้านเรือน ยากต่อการปฏิบัติจริงของเจ้าหน้าที่


ยังขาดการมาตรการควบคุมบรรจุภัณฑ์

สำหรับขั้นตอนการจำหน่าย เดิมทีกระทรวงสาธารณสุขใช้วิธีประกาศให้กัญชาเป็นสมุนไพรควบคุม และระบุในประกาศว่าห้ามจำหน่ายให้แก่บุคคลอายุต่ำกว่า 20 ปี เพื่อควบคุมสถานการณ์ชั่วคราวในช่วงสุญญากาศ

ต่อมาในร่าง พ.ร.บ. แก้ไขฉบับ กมธ. ได้เพิ่มโทษแก่ผู้ที่ฝ่าฝืนจำหน่ายให้แก่เด็กและเยาวชน คือ จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา 40) รวมถึงกำหนดรูปแบบและสถานที่ที่ห้ามจำหน่ายกัญชากัญชงส่วนต่างๆ ได้แก่ ศาสนสถาน สถานศึกษา (ระบุห้ามจำหน่ายอาหารที่มีกัญชา กัญชง หรือสารสกัดเป็นวัตถุดิบหรือส่วนประกอบในสถานศึกษาด้วย) หอพัก สวนสาธารณะ สวนสัตว์ สวนสนุก และสถานที่อื่นๆ ที่รัฐมนตรีอาจกำหนดเพิ่มเติมในอนาคต รวมถึงห้ามจำหน่ายผ่านเครื่องจำหน่ายอัตโนมัติ และทางอิเล็กทรอนิกส์ (มาตรา 37/1 และ 37/2)

อย่างไรก็ดี ยังไม่มีการกำหนดเขตพื้นที่จำหน่ายกัญชา (zoning) หรือระยะห่างที่เหมาะสมระหว่างจุดจำหน่ายกับสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชนไว้อย่างชัดเจน ซึ่งจะมีส่วนสำคัญต่อการลดการเข้าถึงกัญชาในเด็กและเยาวชนได้มาก

ที่สำคัญคือ ในร่างกฎหมายฉบับนี้ยังไม่มีมาตรการควบคุมเรื่องหีบห่อบรรจุภัณฑ์และฉลากคำเตือนบนสินค้ากัญชา/กัญชงทุกประเภท โดยมีเพียงข้อกำหนดเรื่องหน้าที่ของผู้จำหน่าย ให้ปิดประกาศหรือแจ้ง ณ สถานที่ขายเกี่ยวกับการห้ามขายแก่เด็กและเยาวชนเท่านั้น (มาตรา 37) ขาดแนวทางการควบคุมรูปแบบบรรจุภัณฑ์ไม่ให้ดึงดูดความสนใจเด็กและเยาวชน รวมถึงไม่มีข้อกำหนดให้ผู้ผลิตต้องระบุปริมาณสาร THC และ CBD ที่ชัดเจน พร้อมติดฉลากคำเตือนผลกระทบต่อสุขภาพและอายุที่เหมาะสมของผู้ใช้งาน ซึ่งเป็นมาตรการที่จำเป็นอย่างมากสำหรับการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่อันตรายต่อสุขภาพ เช่นเดียวกับที่บังคับใช้ในผลิตภัณฑ์เหล้าและบุหรี่

ไม่มีมาตรการควบคุมโฆษณาเพื่อคุ้มครองเด็กและเยาวชนโดยเฉพาะ

การโฆษณาเป็นอีกขั้นตอนสำคัญที่หากควบคุมได้อย่างเหมาะสมก็มีศักยภาพที่จะช่วยลดการเข้าถึงกัญชาในเด็กและเยาวชนได้

ที่ผ่านมา ยังไม่มีกฎหมายใดควบคุมการโฆษณาผลิตภัณฑ์กัญชาโดยเฉพาะ มีเพียงคำเตือนและข้อแนะนำโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ว่า การโฆษณายาจากสมุนไพร ผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มีส่วนประกอบของกัญชากัญชง จะต้องขออนุญาตจาก อย. ก่อน และให้แสดงคำเตือนในสื่อโฆษณาว่า เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรบริโภค เป็นต้น

แต่ร่างกฎหมายที่ผ่านการแก้ไขโดย กมธ. แล้ว กลับไม่มีมาตรการควบคุมโฆษณาเพื่อจำกัดการเข้าถึงในเด็กและเยาวชนโดยเฉพาะแต่อย่างใด มีเพียงข้อห้ามไม่ให้โฆษณาหรือทำการสื่อสารการตลอดเกี่ยวกับช่อดอกหรือยางของกัญชา สารสกัด หรือเครื่องมือและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการสูบกัญชา รวมถึงไม่ให้มีการโฆษณาที่เกินความจริง โอ้อวดสรรพคุณของกัญชา และสนับสนุนให้มีการกระทำผิดกฎหมายหรือศีลธรรม (มาตรา 30 และ 30/1) ซึ่งยังคงเปิดช่องโหว่ให้ผู้จำหน่ายสามารถทำการตลาดเพื่อจูงใจเด็กและเยาวชนได้


ไม่กำหนดปริมาณการครอบครองในที่สาธารณะ

ประเด็นสุดท้ายคือ การครอบครองและใช้งานกัญชา/กัญชง ในร่างกฎหมายฉบับ กมธ. ได้กำหนดมาตรการห้ามสูบกัญชาในที่สาธารณะและสถานที่ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชนอย่างสถานศึกษา สวนสาธารณะ ฯลฯ เช่นเดียวกับข้อกำหนดสถานที่ห้ามจำหน่าย (มาตรา 37/4) รวมถึงระบุห้ามขับขี่ยานพาหนะในขณะมึนเมากัญชา กัญชง สารสกัด หรืออาหารที่มีกัญชา หากฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา 37/7 และ มาตรา 40/6)

อย่างไรก็ดี ในร่างกฎหมายนี้ยังไม่มีการจำกัดปริมาณการครอบครองกัญชา/กัญชงอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะที่เป็นการครอบครองในที่สาธารณะ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการจำหน่าย ครอบครอง และบริโภคในปริมาณที่ไม่เหมาะสม จนส่งผลกระทบต่อสวัสดิภาพของบุคคลอื่น ตั้งแต่เด็ก เยาวชน กลุ่มเสี่ยงอื่นๆ ที่ไม่ควรบริโภคกัญชา/กัญชง และส่วนรวม รวมถึงอาจมีความเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนมากขึ้น

ออกแบบนโยบายกัญชาโดยคำนึงถึงเด็กและเยาวชนมากขึ้น

เมื่อพิจารณาเนื้อหาในร่าง พ.ร.บ. กัญชา กัญชง ฉบับ กมธ. วิสามัญฯ จะเห็นว่าทิศทางการเปิดเสรีกัญชาในประเทศไทยค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าจะครอบคลุมการใช้งานหลายวัตถุประสงค์ ทั้งเพื่อการรักษาทางการแพทย์และการดูแลสุขภาพ เพื่อความบันเทิงหรือนันทนาการส่วนบุคคล ตลอดจนเพื่อสร้างรายได้ในเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม

อย่างไรก็ดี มาตรการควบคุมที่กำหนดไว้ยังไม่รัดกุมและครอบคลุมมากพอที่จะจำกัดผลกระทบต่อเด็กและเยาวชน ผู้ที่ไม่ต้องการใช้-บริโภคกัญชา/กัญชง รวมถึงความปลอดภัยของสังคมส่วนร่วมได้ นโยบายกัญชาเสรีจึงยังไม่ได้สมดุลระหว่างเสรีภาพและความปลอดภัย ซึ่งต้องเพิ่มการคุ้มครองเด็ก เยาวชน และกลุ่มเสี่ยงให้มากขึ้นในทุกขั้นตอน

ลดจำนวนการปลูกที่บ้านหรือให้ปลูกเฉพาะกัญชง

เพื่อให้ประชาชนที่ต้องการใช้กัญชา/กัญชงเพื่อรักษาสุขภาพยังมีทางเลือกในการดูแลสุขภาพด้วยตนเองได้ที่บ้าน พร้อมทั้งลดความเสี่ยงที่เด็กและเยาวชนจะได้รับกัญชาโดยไม่ตั้งใจ รัฐควรพิจารณาลดจำนวนต้นกัญชา/กัญชงที่อนุญาตให้ปลูกที่บ้านได้เหลือ 4-6 ต้น ซึ่งเป็นจำนวนที่หลายประเทศที่ดำเนินนโยบายกัญชาเสรีกำหนดไว้ เช่น ประเทศแคนาดาและเนเธอร์แลนด์

นอกจากนี้ รัฐอาจพิจารณาอนุญาตให้ครัวเรือนปลูกเฉพาะกัญชงก่อน เนื่องจากกัญชงมีสาร THC ที่ก่อให้เกิดฤทธิ์เมาน้อยกว่ากัญชาค่อนข้างมาก (ไม่เกิน 0.3%) แต่มีสาร CBD มากกว่ากัญชา ซึ่งมีสรรพคุณบรรเทาอาการปวดได้ใกล้เคียงกัน ตลอดจนกำหนดมาตรการควบคุมความปลอดภัยและให้ความรู้แก่ผู้ปลูกในครัวเรือน


จำกัดจุดจำหน่าย ใช้ทำอาหารต้องแจ้งให้ชัด คุมบรรจุภัณฑ์อย่างเคร่งครัด

รัฐควรกำหนดเขตพื้นที่จำหน่ายสินค้ากัญชา/กัญชงให้ชัดเจน โดยเฉพาะการกำหนดระยะห่างระหว่างร้านค้ากับสถานที่ที่เด็กและเยาวชนทำกิจกรรม เช่น ห้ามจำหน่ายกัญชา/กัญชงในรัศมี 500 เมตร จากสถานศึกษา เป็นต้น

รวมถึงควรเพิ่มความเข้มงวดในการอนุญาตจำหน่าย โดยควรให้จำหน่ายในร้านที่จำหน่ายสินค้ากัญชาโดยเฉพาะ ไม่ควรอนุญาตให้ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ หรือห้างสรรพสินค้าทั่วไปสามารถวางจำหน่ายสินค้ากัญชา/กัญชงได้ เพื่อจำกัดการเข้าถึงในเด็กและเยาวชน สำหรับร้านอาหารทั่วไปที่ใช้กัญชาเป็นวัตถุดิบหรือส่วนประกอบในอาหาร ก็ต้องจัดทำป้ายประกาศแจ้งผู้บริโภคให้ชัดเจน ทั้งส่วนประกอบและปริมาณของกัญชาที่ใช้ ข้อแนะนำความเสี่ยงต่อสุขภาพ ตลอดจนมีคำเตือนไม่ให้ผู้ที่อายุต่ำกว่า 20 ปีบริโภค         

ที่สำคัญ ควรเพิ่มมาตรการควบคุมหีบห่อผลิตภัณฑ์กัญชา/กัญชง ซึ่งยังเป็นช่องโหว่สำคัญของร่างกฎหมายควบคุมกัญชาฉบับนี้ โดยควรกำหนดรูปแบบบรรจุภัณฑ์ที่ผู้ผลิตต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เช่น ต้องให้ข้อมูลโดยละเอียดว่าเป็นผลิตภัณฑ์กัญชา กัญชง สารสกัด หรือมีกัญชา/กัญชงเป็นส่วนประกอบในปริมาณเท่าใด มีคำเตือนห้ามเด็กและเยาวชนใช้งานอย่างชัดเจน นอกจากนี้ ควรกำหนดให้ผู้ผลิตต้องออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่เด็กสามารถเปิดได้ยาก (childproof packaging) เช่น มีปุ่มล็อก หรือต้องใช้แรงในการเปิดมากขึ้น[12] เพื่อลดโอกาสที่เด็กและเยาวชนจะเผลอบริโภคหรือใช้โดยไม่รู้


ห้ามโฆษณาให้เด็กและเยาวชนเห็น

เช่นเดียวกับมาตรการควบคุมบรรจุภัณฑ์ การโฆษณาผลิตภัณฑ์กัญชา/กัญชงก็ควรเป็นไปอย่างจำกัด ในบางประเทศที่เปิดเสรีกัญชาใช้วิธีห้ามโฆษณาส่งเสริมการจำหน่ายกัญชาในทุกรูปแบบ เช่น ประเทศอุรุกวัย เพื่อลดการเข้าถึงในเด็กและเยาวชนให้มากที่สุด[13]

ที่สำคัญคือ ควรมีมาตรการควบคุมไม่ให้เด็กและเยาวชนเห็นโฆษณาเหล่านี้ รวมถึงห้ามผู้จำหน่ายใช้รูปแบบการสื่อสารการตลาดที่จูงใจเด็กและเยาวชนด้วย ไม่ว่าจะเป็นการใช้บุคคลจริงหรือบุคคลในนวนิยาย การ์ตูน สัตว์ หรือข้อความที่เชื่อมโยงกัญชากับความสำเร็จ ความตื่นเต้น ความท้าทาย การพักผ่อน หรือความกล้าหาญ เพื่อกระตุ้นความสนใจจากเด็กและเยาวชน


กำหนดปริมาณครอบครอง พิจารณาโมเดลสถานที่สูบกัญชานอกบ้าน

รัฐควรกำหนดปริมาณที่ประชาชนสามารถครอบครองกัญชา/กัญชงในที่สาธารณะได้อย่างถูกกฎหมาย เพื่อไม่ให้การครอบครอง บริโภค และใช้กัญชา โดยเฉพาะการใช้ในเชิงนันทนาการเป็นไปอย่างกว้างขวางจนเกินไป โดยอาจกำหนดปริมาณครอบครองที่เหมาะสมสำหรับสินค้ากัญชาแต่ละรูปแบบโดยละเอียด ตัวอย่างในรัฐออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา กำหนดปริมาณครอบครองไว้ดังนี้ แบบแห้งไม่เกิน 30 กรัม แบบใบสดไม่เกิน 150 กรัม อาหารและเครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของกัญชา ไม่เกิน 450 กรัม และ 2,100 กรัมตามลำดับ และสารสกัดไม่เกิน 5 กรัม เป็นต้น[14] ซึ่งปริมาณครอบครองนี้ควรสอดคล้องกับปริมาณที่ร้านค้าสามารถจำหน่ายให้ผู้ใช้กัญชาด้วย

นอกจากนี้ เพื่อลดการใช้กัญชาในครัวเรือน โดยเฉพาะครัวเรือนที่มีเด็กและเยาวชน รัฐอาจพิจารณาศึกษาแนวทางการเปิดสถานที่สำหรับสูบและบริโภคกัญชานอกบ้าน เช่นรูปแบบร้านจำหน่ายและเสพกัญชาในประเทศเนเธอร์แลนด์ที่เรียกว่า Coffee Shop[15]

ทั้งนี้ รัฐต้องมีมาตรการจำกัดปริมาณการจำหน่ายและเสพในสถานที่เหล่านี้อย่างเคร่งครัด ไม่อนุญาตให้จำหน่ายบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้าน รวมถึงเข้มงวดกับการห้ามขับขี่ยานพาหนะหลังจากใช้กัญชามากขึ้น เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนมากขึ้นหากอนุญาตให้มีการใช้กัญชานอกบ้าน


พิจารณาใช้มาตรการภาษีเพื่อลดปริมาณการบริโภค

แนวทางสุดท้ายคือ รัฐอาจพิจารณาจัดเก็บภาษีกับสินค้ากัญชา/กัญชง เพื่อควบคุมไม่ให้ราคาสินค้าถูกเกินไปจนเด็กและเยาวชนสามารถเข้าถึงได้ง่าย งานศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า ราคาของสินค้าบุหรี่เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าสำหรับเยาวชน หากสินค้าเหล่านี้มีราคาสูงขึ้น ก็มีแนวโน้มที่พวกเขาจะลดการซื้อมากกว่าเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่[16] รวมถึงรัฐอาจนำรายได้จากภาษีกัญชามาใช้ทำนโยบายให้ความรู้และป้องกันเยาวชนจากกัญชา หรือทำการวิจัยและประเมินผลกระทบทางลบจากการดำเนินนโยบายกัญชาเสรีร่วมด้วย

เร่งออกกฎหมายควบคุมการใช้กัญชา ปิดสภาวะสุญญากาศ

ท้ายที่สุด การออกแบบนโยบายกัญชาเสรีต้องกลับมาตั้งต้นที่การสร้างสมดุลระหว่าง 2 หลักการที่ได้กล่าวไป คือ เสรีภาพของประชาชนที่บรรลุนิติภาวะ ซึ่งต้องการใช้กัญชา/กัญชงเพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ และ ความปลอดภัยของประชาชนกลุ่มเสี่ยงอื่นๆ ที่ไม่ควรหรือไม่ต้องการบริโภค-ใช้กัญชา โดยเฉพาะเมื่อการเปิดเสรีครอบคลุมไปถึงการใช้เพื่อนันทนาการ ก็ย่อมต้องกำหนดมาตรการควบคุมการใช้กัญชาที่รัดกุมมากพอ

ที่ผ่านมา การเปิดเสรีกัญชาโดยที่ยังขาดมาตรการกำกับที่เหมาะสม ส่งผลให้เด็กและเยาวชนจำนวนไม่น้อยได้รับความเสี่ยงในด้านต่างๆ อีกทั้งการถอนร่าง พ.ร.บ. กัญชา ออกจากสภาครั้งล่าสุดก็ยิ่งทำให้สภาวะสุญญากาศทางกฎหมายกินเวลายาวนานขึ้น ภารกิจเร่งด่วนที่สุดขณะนี้คือ การทบทวนร่างกฎหมาย เพิ่มเติมมาตรการคุ้มครองเด็กและเยาวชนอย่างครอบคลุม และเร่งออกกฎหมายให้เร็วที่สุดเพื่อปิดสภาวะสุญญากาศ


อ่านรายงานวิจัยฉบับเต็มได้ ที่นี่

References
1 รายงานผู้ป่วยเด็กที่มีอาการป่วยจากกัญชา (ข้อมูลวันที่ 11 กรกฎาคม – 1 สิงหาคม 2565) โดย คณะกรรมการจัดทำข้อแนะนำเรื่องผลกระทบของกัญชาต่อเด็ก ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยและสมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย
2 โดยส่วนมากต้นกัญชงจะมีสาร CBD มากกว่า ในขณะที่สาร THC จะพบมากในต้นกัญชา สารทั้งสองสามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้ โดยเฉพาะกัญชงที่มี CBD เป็นส่วนประกอบหลัก ในขณะที่กัญชาซึ่งมี THC ในปริมาณมาก ควรนำเข้าสู่กระบวนการแปรรูปหรือสกัด CBD ออกมาก่อนใช้ประโยชน์ เพื่อเลี่ยงอันตรายจากฤทธิ์ THC ดูเพิ่มเติมที่ CBD และ THC ในพืชกัญชาคืออะไร?? โดย กรมสุขภาพจิต
3 Lubman DI, Chetham A, Yücel M, “Cannabis and adolescent brain development,” Pharmacology & Therapeutics, 2015; 148: 1-16.
4 Meier MH, Caspi A, Ambler A, et al, “Persistent cannabis users show neuropsychological decline from childhood to midlife,” Proc Natl Acad Sci USA, 2012; 109(40).
5 ข้อมูลจาก World Population Review (2022)
6 Kristie Ladegard, MD, Christian Thurstone, MD, Melanie Rylander, MD, “Marijuana Legalization and Youth,” Pediatrics 145, May 2020. และ ราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย, “การใช้สารสกัดกัญชาสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาสุขภาพจิต,” 14 ตุลาคม 2562.
7 Fergusson DM, Horwood LJ, SwainCampbell NR, “Cannabis dependence and psychotic symptoms in young people,” Psychol Med, 2003;33(1):15–21.
8 Chen CY, O’Brien MS, Anthony JC, “Who becomes cannabis dependent soon after onset of use? Epidemiological evidence from the United States: 2000-2001,” Drug Alcohol Depend, 2005 July;79(1):11-22.
9 Ontario Agency for Health Protection and Promotion (Public Health Ontario), Le ece P, Paul N. Q & A: Is cannabis a “gateway drug”?, Toronto, ON: Queens’s Printer for Ontario; 2019.
10 Government of Canada, “Growing Cannabis at Home Safely,” 11 May, 2022.
11 Government of the Netherlands, “Toleration policy regarding soft drugs and coffee shops.”
12 ดูแนวทางข้อกำหนดเรื่อง Childproof packaging และวิธีการออกแบบบรรจุภัณฑ์เพิ่มเติมที่ Department of Cannabis Control (California, USA), “Checklist Child-resistant Packaging (CRP),” และ “What is child-resistant packaging?,” GPAGlobal.
13 John Walsh and Geoff Ramsey, “Uruguay’s Drug Policy: Major Innovations, Major Challenges,” Brookings, 2016.
14 “How much cannabis can you legally possess?,” Legal Line Canada.
15 Government of the Netherlands, “Toleration policy regarding soft drugs and coffee shops.”
16 “Keeping Legalized Marijuana Out of Hands of Kids,” John Hopkins Bloomberg School of Public Health, last modified 4 May, 2015.

MOST READ

Spotlights

14 Aug 2018

เปิดตา ‘ตีหม้อ’ – สำรวจตลาดโสเภณีคลองหลอด

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย พาไปสำรวจ ‘คลองหลอด’ แหล่งค้าประเวณีใจกลางย่านเมืองเก่า เปิดปูมหลังชีวิตหญิงค้าบริการ พร้อมตีแผ่แง่มุมเทาๆ ของอาชีพนี้ที่ถูกซุกไว้ใต้พรมมาเนิ่นนาน

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Aug 2018

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save