ดีลควบรวมทรูระหว่างดีแทคเป็นดีลใหญ่มากดีลหนึ่งของไทย มีการวิเคราะห์ว่าการควบรวมธุรกิจครั้งนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือเกือบ 120 ล้านเลขหมายและกระทบถึงอนาคตเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยโดยภาพรวมด้วย[1] ในขณะที่เขียนบทความนี้ ก็มีเสียงตั้งคำถามต่อผู้ที่เกี่ยวข้องต่อการกำกับดูแล ซึ่งมักออกมาให้เรื่องเล่าในทำนองว่า การควบรวมกิจการครั้งนี้ไม่ก่อให้เกิดผลเสียและอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคด้วย ทั้งที่มีรายงานออกมาเปรียบเทียบแล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นแนวทางไหน การควบรวมทรูกับดีแทคจะทำให้ผู้ใช้บริการต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นแน่นอน[2]
ในขณะที่เรารอดูการควบรวมกิจการใหญ่มากดีลหนึ่งของไทย บทความนี้ชวนให้เฝ้าดูแง่มุมของกลุ่มทุนไทยที่มีส่วนสำคัญต่อดีลนี้ เพื่อให้เข้าใจภาพใหญ่ของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทย แล้วยังช่วยให้มองเห็นพัฒนาการของกลุ่มทุนไทยนับตั้งแต่ทศวรรษ 2530 ไปจนถึงทิศทางใหม่ของกลุ่มทุนไทยนับตั้งแต่ระบอบประยุทธ์หรือหลังปี 2557 เป็นต้นมา อันเป็นก้าวย่างของระบบเศรษฐกิจดิจิทัลที่เป็นทิศทางใหม่ของระบบทุนนิยมในโลก
จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์: จุดเปลี่ยนทุนโทรคมนาคมไทย
เดิมที ทุนโทรคมนาคมไทยไม่ได้ใหญ่โตและน่าสนใจอะไร เป็นเพียงการมองเห็นโอกาสในธุรกิจโทรคมนาคมของนักธุรกิจบางตระกูลสมัยนั้น เมื่อเราย้อนกลับไปดู ทศวรรษ 2530 เราจะเห็นจุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทย และช่วงรอยต่อของการเปลี่ยนโฉมหน้าของกลุ่มทุนไทยหลายกลุ่มทั้งกลุ่มทุนเกษตรอุตสาหกรรม กลุ่มทุนหน้าใหม่โทรศัพท์มือถือ
ความจริงแล้ว อุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยเริ่มต้นด้วยกลุ่มผู้ประกอบการหลายตระกูลซึ่งยังมีขนาดกิจการไม่ใหญ่โตมากนัก ได้แก่ ตระกูลวิไลลักษณ์ ที่ก่อตั้งบริษัทสามารถ เริ่มธุรกิจโดยผลิตเสาอากาศโทรทัศน์ขายในต่างจังหวัด หลังจากนั้น ก็ขยายกิจการขายและประกอบจานดาวเทียมและการสื่อสารโทรคมนาคมอื่นๆ ก่อนจะขยายกิจการไปในกลุ่มประเทศอินโดจีน พม่า และฟิลิปปินส์
ขณะที่กลุ่มจัสมิน ของตระกูลโพธารามิค มีความชำนาญในการสร้างเครือข่ายไฟเบอร์ออฟติกขนาดใหญ่ ต่อมาก็ขยายการลงทุนไปกิจการสื่อสารโทรคมนาคมอื่นๆ และยังขยายเข้าไปยังกลุ่มประเทศอินโดจีน อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ส่วนกลุ่มยูคอม ของตระกูลเบญจรงคกุล เริ่มธุรกิจโดยขายเครื่องมือสื่อสารโทรคมนาคมให้กับกองทัพอากาศ แล้วขายอุปกรณ์อื่นๆ ให้หน่วยงานราชการต่างๆ ต่อมาเป็นตัวแทนของโมโตโรล่า (Motorola) ก่อนที่ในช่วงปลายทศวรรษ 2520 จะมีการขยายกิจการจำหน่ายโทรศัพท์มือถือและเพจเจอร์ของโมโตโรล่า
ตระกูลชินวัตรเป็นตระกูลพ่อค้าจากเชียงใหม่ที่มีชื่อเสียงด้านการค้าผ้าไหม ต่อมาสมาชิกของครอบครัวหลายคนหันมาเอาดีทางรับราชการ โดยใน พ.ศ. 2529-2531 สุรพันธ์ ชินวัตรเป็นรัฐมนตรีช่วยกระทรวงคมนาคม ขณะที่ ทักษิณ ชินวัตร จบอาญาวิทยาจากสหรัฐอเมริกา เมื่อกลับไทยเข้ารับราชการกรมตำรวจใน พ.ศ. 2526 เขาได้ตั้งบริษัทขายคอมพิวเตอร์โดยอาศัยเส้นสายและเครือข่ายของครอบครัวขายคอมพิวเตอร์ไอบีเอ็ม (IBM) และฮาร์ดแวร์ให้หน่วยงานราชการ ทั้งยังเปิดโรงภาพยนตร์ที่ราชวัตรด้วย ถัดจากขายคอมพิวเตอร์ ทักษิณก็ขยายกิจการไปลงทุนด้านเพจจิง เคเบิลทีวี และโทรศัพท์มือถือ ต่อมาในปี 2536 บริษัทชินวัตรก็ได้ส่งดาวเทียมดวงแรกของไทยเพื่อการถ่ายทอดโทรทัศน์และการสื่อสาร นอกจากนั้นยังมีการขยายกิจการไปเวียดนาม ลาว กัมพูชา ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และอินเดีย
ด้วยการระดมทุนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่กำลังเติบโตและการได้สัญญาสัมปทานจากรัฐที่จำเป็นต้องสร้างคอนเน็กชันกับพรรคการเมืองที่ดูแลกิจการโทรคมนาคม อันได้แก่ กระทรวงคมนาคม และองค์การโทรศัพท์และการสื่อสารแห่งประเทศไทย ที่ต่างฝ่ายต่างเป็นผู้ออกใบอนุญาตสัญญาสัมปทาน ดังนั้นการเมืองของกิจการโทรคมนาคมและกลุ่มทุนช่วงนั้นจึงถูกเรียกว่าจตุรยักษ์โทรคมนาคม ซึ่งเป็นคณาธิปไตย (oligarchy) ที่ปกครองระบบโทรคมนาคมสมัยนั้น[3] สัญญาสัมปทานยังผลให้เกิดใบอนุญาตซ้อน ที่ทำเงินทำทองจากรายได้การให้บริการ รวมทั้งเป็นโอกาสสร้างมูลค่าของบริษัทโดยเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์[4]
จุดเปลี่ยนสำคัญทั้งของการลงทุนทางธุรกิจและการเมืองของกลุ่มทุนขนาดใหญ่เกิดขึ้นในช่วงกลางทศวรรษ 2530 ซึ่งเป็นช่วงที่กลุ่มเครือเจริญโภคภัณฑ์ ของตระกูลเจียรวนนท์ กระจายการลงทุนจากธุรกิจเดิมของตนอย่างการผลิตอาหารสัตว์และปศุสัตว์ที่ทำมาตั้งแต่ทศวรรษ 2500 เข้าสู่กิจการโทรคมนาคม จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสำคัญในการลงทุนโทรคมนาคมของไทย ได้แก่ การแปรสัญญาสัมปทานโทรคมนาคม การระดมทุนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ และการสร้างพันธมิตรกับพรรคการเมือง ด้วยอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในขณะนั้นเป็นอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูงและเป็นธุรกิจดาวรุ่งของโลก ดังนั้นการได้สัญญาสัมปทานโทรศัพท์พื้นฐาน 3 ล้านเลขหมายของบริษัทเทเลคอมเอเชีย ภายใต้เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ภายหลังคือบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น) ซึ่งในเวลาต่อมาได้ลงทุนในโทรศัพท์มือถือ จึงก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อระบบการดำเนินธุรกิจของทั้งกลุ่มเครือเจริญโภคภัณฑ์และระบบเศรษฐกิจการเมืองไทย
ขณะเดียวกัน ทักษิณ ชินวัตรก็ก้าวสู่การเมือง โดยเริ่มจากการเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศในโควตาพรรคพลังธรรม[5] ช่วงนั้นการเมืองไทยไม่มีเสถียรภาพ เปลี่ยนรัฐบาลบ่อย ในขณะที่เศรษฐกิจไทยก็ต้องประสบวิกฤตใน พ.ศ. 2540 ที่ถือว่าร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย นักธุรกิจจำนวนมากล้มละลาย ขณะนั้นหลายคนก็ให้ความสนใจในการเมืองมากขึ้น โดยเข้าร่วมกลุ่มแนวทางชาตินิยม ต่อต้านโปรแกรมฟื้นฟูเศรษฐกิจของไอเอ็มเอฟ แล้วนำเสนอแก้วิกฤตเศรษฐกิจ ด้วยแนวชาตินิยม[6]
ต่อมาทักษิณตั้งพรรคไทยรักไทย ที่ประกาศตัวว่า เป็นการเมืองแนวใหม่ แต่แท้จริงแล้ว ทักษิณกลับเล่นการเมืองเก่าในภาพลักษณ์ใหม่มากกว่า[7] กระทั่งต่อมา การเมืองไทยขัดแย้งรุนแรงและล้ำลึกมากขึ้นระหว่างฝ่ายต่อต้านทักษิณ ซึ่งเป็นกลุ่มอนุรักษนิยม กับฝ่ายทักษิณ เกิดเป็นการเมืองระหว่างสีเหลือง สีแดง และสีฟ้า จนในที่สุดก็เกิดรัฐประหาร 2549 โดยผู้บัญชาการทหารบกที่ทักษิณเป็นคนตั้งเองกับมือ ทำให้ทักษิณต้องลี้ภัยการเมือง แต่รัฐบาลต่อมาอีก 3 รัฐบาลก็ยังเป็นเครือข่ายการเมืองของเขา[8] ขณะที่ธุรกิจโทรคมนาคมของเขายังดำเนินต่อไป โดยมีเอไอเอสเป็นบริษัทรายใหญ่ที่สุดในแง่ผู้ใช้บริการ โดยมีบริษัททรูและดีแทคเป็นอีก 2 รายใหญ่
ที่น่าสนใจคือเมื่อทักษิณอยู่นอกประเทศไทย เขาอยู่นอกระบบการเมืองไทยและยังเผชิญฝ่ายต่อต้านมากมาย ขณะที่หลังรัฐประหาร พ.ศ. 2549 และ พ.ศ. 2557 ธุรกิจในไทยของฝั่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ก็กระจายตัวสู่ธุรกิจค้าปลีก ค้าส่ง อสังหาริมทรัพย์ รถไฟเชื่อมต่อ 3 สนามบิน นิคมอุตสาหกรรมเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ฯลฯ และในไม่ช้า ธุรกิจโทรคมนาคมของพวกเขากำลังจะควบรวมกิจการกับดีแทค อันไม่ใช่แค่เรืองการต่อกรกับเอไอเอสเท่านั้น แต่บริษัททรูและดีแทคยังจะเป็นข้อต่อของกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจไทย ซึ่งก็คือเศรษฐกิจดิจิทัลอีกด้วย
ระบอบประยุทธ์และเศรษฐกิจดิจิทัล
ที่จริงแล้ว แนวคิดเศรษฐกิจดิจิทัลนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงก่อนและหลังเกิดวิกฤตโควิด-19 เล็กน้อย โดยอยู่ในความสนใจและเป็นส่วนหนึ่งแผนธุรกิจของกลุ่มทุนไทยเองอยู่แล้ว ทั้งกลุ่มเอสซีจี และกลุ่ม ปตท. รวมทั้งเครือเจริญโภคภัณฑ์เอง โดยศุภกิจ เจียรวนนท์ หัวเรือใหญ่กลุ่มเจริญโภคภัณฑ์และตระกูลเจียรวนนท์ มีความเห็นว่า[9]
“…วิกฤตโควิด-19 เป็นดิสรัปต์ครั้งใหญ่ของโลกที่กระทบไปทุกอุตสาหกรรม โดยเฉพาะด้านเฮลท์แคร์ ทำให้ธุรกิจต่างๆเร่งการนำเทคโนโลยีมาใช้เร็วขึ้น จากเดิมอาจเกิดขึ้นภายใน 7-10 ปี เหลือภายในปีเดียว ธุรกิจค้าปลีกในเครือซีพีจาก ‘ออฟไลน์สู่ออนไลน์’ มีระบบดิลิเวอรีและโซเชียลคอมเมิร์สต่างๆ เรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษยชาติของทั่วโลก…”
บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตของกลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ได้รับอานิสงส์เกี่ยวกับการพัฒนาด้านดิจิทัล (digitalization) ของรัฐบาลประยุทธ์ โดยคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้อนุมัติการลงทุนของบริษัททรู จัดตั้งดิจิทัล พาร์ค (digital park) แห่งแรกในประเทศไทย มูลค่า 1,580 ล้านบาท เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2561 เพื่อเดินหน้ารับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 การลงทุนของบริษัททรูนี้เป็นไปเพื่อพัฒนาเป็นศูนย์กลางด้านธุรกิจดิจิทัลบนพื้นที่กว่า 41,000 ตารางเมตร แบ่งเป็นพื้นที่สร้างสรรค์นวัตกรรมพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก ห้องทดลองทางด้านเทคโนโลยี ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้และฝึกอบรม พื้นที่จัดกิจกรรมส่งเสริมธุรกิจ ศูนย์บริการแบบวันสต็อปเซอร์วิส และบริการพื้นที่สำหรับสถานศึกษาเพื่อการศึกษานวัตกรรม[10]
เท่ากับว่าเครือเจริญโภคภัณฑ์ได้ปรับเปลี่ยนจากธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม ธุรกิจค้าปลีก มาเข้าสู่โทรคมนาคม จากเดิมที่เป็นบริษัทเทเลคอมเอเชีย เปลี่ยนมาเป็นทรู คอร์ปอเรชั่น ก่อนที่ในปี 2562 จะทำการลงทุนและก่อตั้งดิจิทัล ปาร์ค แห่งแรกของไทย เพื่อใช้สนับสนุนธุรกิจในเครือทั้งค้าปลีกและอื่นๆ รวมทั้งลงทุนรถไฟความเร็วสูง ไทย-จีน ลงทุนก่อสร้างเส้นทางรถไฟเชื่อมสนามบิน ลงทุนในด้านอสังหาริมทรัพย์ และการลงทุนในระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ธุรกิจเหล่านี้ล้วนปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัล จนถือได้ว่าเป็นเศรษฐกิจดิจิทัลใหม่ของเครือเจริญโภคภัณฑ์
สรุป
ดังนั้น เศรษฐกิจดิจิทัลเป็นเศรษฐกิจที่ผู้นำกลุ่มเจริญโภคภัณฑ์เล็งเห็นความสำคัญตามเทรนด์เศรษฐกิจโลกอยู่แล้ว การควบรวมกิจการบริษัททรูและดีแทคจึงไม่ใช่เพียงแค่การกระจายธุรกิจ ไม่ใช่เพียงแค่รายได้ที่เพิ่มขึ้น แต่ยังเป็นการเข้าถึงระบบเศรษฐกิจที่จะเพิ่มมูลค่า ประสิทธิภาพ ความสามารถในการแข่งขันและส่งเสริมธุรกิจค้าปลีก ค้าส่ง อสังหาริมทรัพย์ รถไฟเชื่อม 3 สนามบิน เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก และธุรกิจเฮลท์แคร์ของกลุ่ม
เศรษฐกิจดิจิทัลไม่ใช่แค่กระแสนิยมและความบังเอิญของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ กลุ่มเอสซีจี กลุ่ม ปตท. และเครือเจริญโภคภัณฑ์ยังเป็นสมองและจักรกลสำคัญในฐานะกรรมการในคณะกรรมการพลังประชารัฐของระบอบประยุทธ์ และกรรมการชุดอื่นๆ ที่สำคัญอีกด้วย
ที่น่าสนใจคือเรายังคงได้เห็นอำนาจทุนและอำนาจการเมืองเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน แม้ว่าช่วงหลัง พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา แรงผลักดันของกติการะหว่างประเทศจากองค์การการค้าโลกและภาคประชาชนมีผลให้เศรษฐกิจไทยมีกติกาใหม่จากที่ภาครัฐเป็นทั้งหน่วยงานหลักในการกำกับดูแลและเป็นผู้เล่นในระบบเศรษฐกิจ เปลี่ยนมาเป็นคณะกรรมการควบคุมและกำกับดูแล โดยในกิจการโทรคมนาคม และสื่อวิทยุ-โทรทัศน์ มีคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เป็นผู้กำกับดูแล นอกจากนี้ยังมีการออกพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า ที่มีคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) กำกับดูแลการแข่งขันในเศรษฐกิจไทย
อย่างไรก็ตาม กลุ่มบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ก็สามารถทะลุทะลวง เดินหน้าควบรวมกิจการขนาดใหญ่ถึง 2 ดีล ดีลแรก ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าเป็นกรณีด่างพร้อยของ กขค. ที่อนุญาตการควบรวมระหว่างเทสโก้และซีพี โดยไม่มีการสั่งให้ลดขนาดการควบรวมโดยการขยายสาขาออกไป[11] ในขณะที่ดีลกิจการค้าปลีกระดับประเทศยังไม่ทันจบสิ้น ดีลที่สอง ซึ่งก็คือดีลกิจการโทรคมนาคมที่มีมูลค่ามหาศาลและกระทบผู้ใช้โทรศัพท์มือถือประมาณ 120 ล้านเลขหมายก็เกิดขึ้น แล้วยังเป็นการท้าทายกับกติกาใหม่ของ กสทช. เท่ากับว่า ไม่ว่าอำนาจรัฐแปลงร่างให้บทบาทเทคโนแครตมากขึ้น เพิ่มอำนาจการกำกับดูแลมากขึ้นเพียงใด กลุ่มทุนไทยขนาดใหญ่ก็ยังสามารถท้าทายและทะลุทะลวงได้
เหตุที่พูดเช่นนี้เพราะมีการศึกษาแล้วพบว่า มีการกระทำที่น่าเคลือบแคลงอย่างยิ่งของ กสทช. จากการที่บอร์ดของ กสทช. เพิ่งมีมติ 3:2 ยื่นคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ตีความอำนาจของตัวเองเป็นรอบที่ 2[12] ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ศาลปกครองได้มีคำสั่งออกมาแล้วว่า กสทช. มีหน้าที่และอำนาจต้องดำเนินการพิจารณากรณีการควบรวมค่ายมือถือ ทรู-ดีแทค[13]
อีกความเคลือบแคลงของ กสทช. คือการสั่งลบ ‘Infographic 5 Facts กรณีการควบรวมทรู-ดีแทค’ ที่เผยแพร่โดย กสทช.เอง ซึ่งเนื้อหาทั้งหมดเป็นการรายงานผลการศึกษากรณีต่างประเทศและผลการศึกษาของคณะกรรมการชุดต่างๆ ของ กสทช. โดยการสั่งลบนี้เกิดขึ้นภายหลังจากที่บริษัททรูและดีแทคออกมาให้ข่าวว่าภาพ Infographic นี้ไม่มีความเป็นกลาง เมื่อทรูและดีแทคมีความเห็นมาอย่างนี้ ประธานบอร์ด กสทช. กลับรีบสั่งลบข้อความพร้อมภาพ และออกบันทึกข้อความชี้แจงอย่างรวดเร็วว่าการเผยแพร่ Infographic ชิ้นนี้ “บอร์ด กสทช. ไม่เคยมีมติและไม่เคยเห็นชอบให้มีการเผยแพร่ข้อมูล”[14]
เราไม่อาจไว้วางใจอำนาจรัฐในรูปลักษณ์ใหม่ไม่ว่าจะเรียกว่าอะไร การควบรวมกิจการที่นำมาสู่การผูกขาดบอกแก่เราว่าองค์กรอิสระบ้านเราไม่อิสระจริง
[1] ฉัตร คำแสง “5 เรื่องเล่า vs 5 เรื่องจริง ดีลควบรวมทรู+ดีแทคและบทบาทของกสทช” 101 PUB 2 พฤษภาคม 2022
[2] ศิริกัญญา ตันสกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล เรื่อง “บริการแพงขึ้นทั้งสิ้น” 11 สิงหาคม 2565
[3] Natthapong Thongpakdi, General Agreement on Trade in Services (GATS) and The Thai Telecommunication Industry, Bangkok, Thailand Development Research Institute, 1996, : 64.
[4] “ Thaksin and the Politics of Telecommunications” in Duncan McCargo and Ukrist Pathmanand, The Thaksinization of Thailand, Copenhagen : Nordic Institute of Asian Studies, 2005, : 29.
[5] เป็นรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ 100 วัน
[6] Ukrist Pathmanand, “Globalization and Democratic Development in Thailand: the New Path of Military, Private Sector and Civil Society,” Contemporary Southeast Asia, Vol. 23, No. 1 April 2001, 30.
[7] Ukrist Pathmanand, “The Thaksin Shinawatra Group : A Study of the Relationship between Money and Politics in Thailand” The Copenhagen Journal of Asian Studies, Political Reform in Thailand Vol. 13 1998.
[8] รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช, รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
[9] “ธุรกิจรุก New Game เปิดแนวรบใหม่ ก้าวข้ามโควิด” ประชาชาติธุรกิจ 4 มกราคม 2564
[10] ไทยโพสต์. (13 ธันวาคม 2561). “อุตสาหกรรมดิจิทัลมาแรง บีโอไออนุมัติ ‘ทรู’ตั้งดิจิทัล พาร์คแห่งแรกในประเทศ”
[11] กนกนัย ถาวรพาณิช, “ดีลควบรวมทรูและดีแทค: กสทช. อยากถูกจดจำแบบไหนในหน้าประวัติศาสตร์?” The101.world 3 พฤษภาคม2022.
[12] นี่ไม่ใช่การยื่นคณะกรรมการกฤษฎีกาครั้งแรก เนื่องจากบอร์ด กสทช. ก็เคยตีความไปแล้วว่า ไม่รับคำร้องวินิจฉัยอำนาจหน้าที่ของ กสทช. ยังดึงดันส่งเรื่องไปพิจารณาอีกรอบ พร้อมทั้งยื่นหนังสือถึงรักษาการนายกรัฐมนตรีให้ออกคำสั่งให้กฤษฎีกาตีความอำนาจหน้าที่ของ กสทช. อ้างจาก “ภาค ปชช. ร้องค้านควบรวมทรูดีแทค-ก้าวไกล กสทช.ต้องหยุดปัดความรับผิดชอบ” 29 สิงหาคม 2565
[14] เพิ่งอ้าง.,