ภาพประกอบจาก commons.wikimedia.org/wiki/File:Alfred_Marshall.jpg
ท่ามกลางกระแสดิสรัปชันอย่างหนักหน่วงและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีดิจิทัล ที่เข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิต ทั้งในด้านการทำงาน การละเล่น การเรียนรู้ รูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน รวมทั้งตัวตนของแต่ละปัจเจก อย่างถึงราก คำถามท้าทายของโลกความรู้คือ ศาสตร์ต่างๆ ต้องปรับตัวอย่างไรเพื่อให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่นี้
เศรษฐศาสตร์เองก็ไม่พ้นถูกตั้งคำถามเช่นกัน และดูเหมือนว่าจะเป็นหนึ่งในวิชาที่ ‘มีความเสี่ยง’ จะโดนดิสรัปต์ได้จากหลายเรื่องเสียด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเป็นศาสตร์ที่มีการวิเคราะห์ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ไม่เป็นจริง การนำไปประยุกต์ใช้ที่ต้องเจอกับข้อจำกัดมากมาย หรือการเป็นศาสตร์ที่ได้ชื่อว่าเกี่ยวกับเศรษฐกิจ แต่ไม่ยักจะทำนายวิกฤติเศรษฐกิจได้ แถมไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้สักเท่าไรนัก รวมถึงลักษณะของเศรษฐศาสตร์ที่เป็น ‘วิชาการ’ มากกว่า ‘วิชาชีพ’ ทำให้ผู้เรียนมองไม่ค่อยเห็นเส้นทางอาชีพ ต่างกับบัญชี วิศวกรรมศาสตร์ หรือแพทยศาสตร์ ฯลฯ ที่มองเห็นเส้นทางอาชีพได้ชัดกว่า (แต่ไม่ได้หมายความว่าวิชาที่กล่าวมาจะไม่โดนดิสรัปต์นะครับ)
ชุมชนนักเศรษฐศาสตร์เองตระหนักถึงความท้าทายนี้มาพักหนึ่งแล้ว เมื่อ พ.ศ. 2562 ที่ผ่านมา งานประชุมวิชาการของนักเศรษฐศาสตร์ระดับชาติได้จัดเสวนาวิชาการภายใต้หัวข้อ ‘เศรษฐศาสตร์ตายแล้ว?’ ซึ่งชวนนักเศรษฐศาสตร์จากทั่วประเทศมาตอบคำถามว่า “เศรษฐศาสตร์ ‘ตาย’ แล้วหรือยัง?” และจะทำอย่างไรที่จะไม่ให้เศรษฐศาสตร์ถูกลบเลือนหายออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์ของมนุษย์
ในที่ประชุมวิชาการได้นำเสนอให้เห็นพัฒนาการใหม่ๆ ขององค์ความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์ที่สอดคล้องกับโลกใหม่ และแนวทางที่อาจช่วยให้เศรษฐศาสตร์สามารถเอาตัวรอดได้ เช่นการขยับไปสู่การวิเคราะห์ข้อมูลที่ใหญ่ขึ้น แต่ต้องคงไว้ซึ่งความสามารถในการเล่าเรื่องที่เชื่อมโยงตัวแปรต่างๆ อย่างเป็นเหตุเป็นผล หรือการเปิดกว้างต่อความเป็นไปได้ใหม่ๆ ของพฤติกรรมมนุษย์ที่บ่อยครั้งก็ไม่ได้มีเหตุผลทางเศรษฐกิจ รวมถึงการทลายกำแพงของการเป็น standalone sciences ไปพูดคุย เชื่อมโยง หรือวิวาทะกับศาสตร์ต่างๆ มากขึ้น
จริงๆ แล้วการปรับตัวของเศรษฐศาสตร์ที่มีต่อแรงปะทะภายนอกไม่ได้พึ่งเกิดในยุคนี้เท่านั้น เพราะทุกครั้งที่มีวิกฤติหรือความเปลี่ยนแปลงใหญ่ เศรษฐศาสตร์จะถูกตั้งคำถามท้าทายเสมอ โดยหนึ่งในช่วงเวลาที่วิชาเศรษฐศาสตร์ถูกท้าทายมากที่สุดคือช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของแนวคิดนีโอคลาสสิก (Neoclassic) และเป็นช่วงของการปรับตัว-เอาตัวรอดครั้งสำคัญ จนทำให้วิชาเศรษฐศาสตร์มีหน้าตาแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 องค์ความรู้ของเศรษฐศาสตร์ถือว่าก้าวหน้าไปอย่างมาก เพราะมีการนำเครื่องมือและวิธีวิเคราะห์สมัยใหม่มาใช้มากขึ้น โดยเฉพาะงานของนักเศรษฐศาสตร์สามคนสำคัญที่มีคุณูปการต่อการปฏิวัติหน่วยสุดท้าย (Marginalist Revolution)[1] ได้แก่ Carl Menger (1840-1921) ที่ใช้เหตุผลแบบนิรนัย (deductive reasoning) ในการหาความเชื่อมโยงระหว่าง ‘มูลค่า’ กับ ‘ความพอใจเชิงอัตวิสัย’ หรือ William Stanley Jevons (1835-1882) ที่ต่อยอดปรัชญาอรรถประโยชน์นิยมไปสู่ทฤษฎีความพอใจที่ใช้คณิตศาสตร์มาช่วยให้นับหน่วยได้ รวมถึง Leon Walras (1834-1910) ที่แทบทำให้เศรษฐศาสตร์เป็นระบบคณิตศาสตร์บริสุทธิ์การวิเคราะห์ดุลยภาพทั่วไป (general equilibrium)
นอกจากระเบียบวิธีวิจัยและเครื่องมืออันทันสมัยแล้ว ผลงานทางปัญญาของพวกเขายังได้นำไปสู่ข้อสรุปใหม่ที่ต่างจากความรู้ในยุคคลาสสิกอย่างสิ้นเชิง โดยงานของทั้งสามคนชี้ว่า ‘มูลค่า’ หรือ ‘ราคา’ สินค้าหนึ่งๆ ถูกกำหนดมาจากด้านอุปสงค์หรืออรรถประโยชน์ ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับสำนักคลาสสิกที่มองว่า ราคาถูกกำหนดมาจากฝั่งอุปทานหรือต้นทุน (โดยเฉพาะพลังแรงงาน)
มองดูเผินๆ คล้ายว่า แนวคิดคลาสสิกกำลังจะถูกดิสรัปต์ด้วยความรู้ใหม่ และควรต้องถูกทิ้งไว้ข้างหลัง? ทว่า Alfred Marshall (อัลเฟรด มาร์แชล, 1842-1924) ได้รวบรวมความคิดของเหล่าบรรดานักเศรษฐศาสตร์ที่สมาทานแนวคิดการปฏิวัติหน่วยสุดท้าย และรังสรรค์ทฤษฎีมากมาย จนทำให้เศรษฐศาสตร์เข้าสู่ยุคนีโอคลาสสิกอย่างเต็มตัว โดยจุดเด่นของเศรษฐศาสตร์ของมาร์แชลคือการวิเคราะห์ด้วยตัวแบบอุปสงค์-อุปทาน ถือเป็นการจับแนวคิดหน่วยสุดท้ายทางฝั่งอรรถประโยชน์แต่งงานกับแนวคิดฝั่งอุปทานของคลาสสิก และทำให้เห็นว่าทั้งสองฝั่งล้วนมีบทบาทในการกำหนดมูลค่าของสิ่งต่างๆ
หนังสือ Principles of Economics (ต่อจากนี้จะเรียกสั้นๆว่า Principles) ของมาร์แชล ที่ตีพิมพ์ตั้งแต่ ค.ศ. 1890 ได้พาเศรษฐศาสตร์เข้าสู่ศตวรรษที่ 20 ด้วยอัตลักษณ์ทางทฤษฎีที่เปลี่ยนไป Principles ได้นำเสนอการวิเคราะห์แบบเศรษฐศาสตร์ที่มีวิธีลักษณะเฉพาะตัวมากขึ้น โดยนำเสนอวิธีการวิเคราะห์ด้วยหลักการ ‘caeteris paribus’ หรือ การกำหนดสิ่งอื่นๆ ให้คงที่ (other things being equal) เพื่อเป็นการ ‘จำแนก’ (segregate) ปัจจัยรบกวนอื่นออกไป และโฟกัสเฉพาะตัวแปรที่สนใจเพื่อให้สามารถประเมินผลของได้ชัดเจน (คล้ายกับการควบคุมการทดลองทางวิทยาศาสตร์) มาร์แชลจึงสนใจการวิเคราะห์ดุลยภาพเฉพาะส่วน (partial equilibrium) โดยเขาได้เปรียบวิธีการดังกล่าวว่าเหมือนกับกฎแรงโน้มถ่วงของฟิสิกส์ โดยบอกว่าตัวแปรราคาก็เหมือนกับ “หินที่ห้อยด้วยเชือกถูกทำให้เคลื่อนออกจากตำแหน่งดุลยภาพ [สุดท้าย] พลังของแรงโน้มถ่วงก็นำมันกลับมาที่ตำแหน่งดุลยภาพเดิมโดยพลัน” (Marshall, 2013[1890], หน้า 288) และสิ่งที่พาระบบกลับมาสู่ดุลยภาพในที่นี้คือพลังของอุปสงค์และอุปทานนั่นเอง
นอกจากเปรียบเปรยกับฟิสิกส์แล้ว ในบทที่ 13 ของ Principles มาร์แชลยังใช้การวิเคราะห์ด้านเศรษฐศาสตร์เปรียบเปรยกับทฤษฎีวิวัฒนาการของ Charles Darwin (ชาร์ลส์ ดาร์วิน, 1809-1882) อีกด้วย โดยเขาอภิปรายถึงหลักการประหยัดต้นทุนที่เกิดจากการขยายขนาดของธุรกิจ (หรือการประหยัดต่อขนาด)[2] ว่าเหมือนกับ ‘ต้นไม้ในป่าใหญ่’ ที่พยายามเติบโตให้สูงขึ้น เพื่อให้พ้นร่มเงาต้นอื่นๆ แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกต้นทำได้ แต่ต้นที่อยู่รอดจนสูงใหญ่ก็จะได้ส่วนแบ่งอากาศและแสงแดดมากขึ้น และแข็งแรงขึ้น ก็เหมือนกับนักธุรกิจที่ต้องทำงานหนักและอดออมเพื่อให้ขนาดของทุนและธุรกิจเติบโต เมื่อขนาดธุรกิจใหญ่ขึ้นเขาก็จะมีความได้เปรียบจากการใช้เครื่องจักรที่ชำนาญ การเข้าถึงเครดิตต่างๆ และถ้าหากอยู่รอดเขาก็จะเหนือกว่าคู่แข่งอื่นในด้านต้นทุน
มาถึงตรงนี้หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วการเปรียบเปรยของมาร์แชลนี้สำคัญหรือเกี่ยวอะไรกับการปรับตัวเพื่ออยู่รอดของเศรษฐศาสตร์?
ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ดีเบตว่าด้วยความเป็นวิทยาศาสตร์เป็นดีเบตที่แหลมคมอย่างยิ่ง เพราะในห้วงเวลาดังกล่าวทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วินดังมากในเกาะอังกฤษ และมีอิทธิพลแพร่เข้ามาในสังคมศาสตร์ กระแสความนิยมในวิทยาศาสตร์เป็นที่ปรากฏทั่วไปในแวดวงวิชาการ รวมถึงหมู่สมาชิกของสมาคมทางวิชาการชั้นนำอย่าง British Association for the Advancement of Science (ปัจจุบันนี้คือ British Science Association) ดังนั้นหากศาสตร์ใดที่สามารถเคลมได้ว่าตัวเองมีความเป็นวิทยาศาสตร์ ศาสตร์นั้นย่อมต้องได้รับความสนใจและความชอบธรรมอย่างมาก
อย่างไรก็ตามในห้วงเวลาดังกล่าว เศรษฐศาสตร์ถูกตั้งคำถามอย่างหนักหน่วงและรุนแรง โดยเฉพาะจาก Francis Galton (1822-1911) นักสถิติและสุพันธุศาสตร์ที่สังคมให้ความนับถือสูง (และเป็นผู้คิดค้นการทำ regression ที่นักเศรษฐศาสตร์ชอบใช้กัน) กัลตันเป็นหนึ่งใน ‘หัวหอก’ ที่เอือมและตั้งคำถามกับการคงอยู่ของเศรษฐศาสตร์อย่างรุนแรง โดยกัลตันผู้นิยมในหลักการ ‘นับทุกอย่างที่นับได้’ มองว่าเศรษฐศาสตร์ไม่มีความเป็นวิทยาศาสตร์แม้ซักนิด และต้องการให้สาขาเศรษฐศาสตร์ออกไปจากสมาคมเสีย
การปรากฏของ Principles จึงถูกที่ถูกเวลาอย่างยิ่ง มาร์แชลจับเศรษฐศาสตร์แต่งองค์ทรงเครื่องเสียใหม่ เพื่อให้มีความลงตัวกับ scientific method มากขึ้น โดย Philip Mirowski นักปรัชญาเศรษฐศาสตร์วิเคราะห์ว่า การทำตัวให้คล้ายวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะการอุปมาอ้างถึงทฤษฎีวิวัฒนาการในระบบของมาร์แชล ได้ช่วยสร้าง ‘ภาพจำ’ ว่า ทฤษฎีนีโอคลาสสิกก็มีระบบพลวัตเช่นกัน (แต่จริงๆ คือไม่มี) และที่สำคัญกว่านั้นคือเป็นการต่อยอดกลยุทธ์ในการทำตัวให้เป็นพวกเดียวกับวิทยาศาสตร์ที่มีมาก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความมั่นคงให้แก่ ‘ตัวตน’ ของเศรษฐศาสตร์ในแวดวงวิชาการ โดย Phillips Mirowski (1995) วิเคราะห์ว่า การลอกเลียนวิทยาศาสตร์นี้ถือเป็น ‘กลยุทธ์’ ที่สำคัญในการปกป้องสถานภาพว่าเศรษฐศาสตร์ เพราะเป็นการสื่อสารกับคนอื่นโดยตรงว่า “ข้าก็มีความเป็นวิทยาศาสตร์ในสาขาเหมือนกันนะเว้ย!”
ผมเองไม่แน่ใจนักว่ามาร์แชลเขียนหนังสือด้วยท่วงท่าแบบนี้เพราะเหตุผลใดกันแน่ แต่สิ่งที่พอบอกได้คือ การพยายามที่จะเป็นวิทยาศาสตร์ของเศรษฐศาสตร์นีโอคลาสสิก ซึ่งมาร์แชลเป็นผู้บุกเบิก ไม่ใช่ปรากฏการณ์ทางทฤษฎีที่บริสุทธิ์ เพราะอย่างน้อยในช่วงหนึ่งของประวัติศาสตร์ ‘วิทยาศาสตร์’ ก็ถูกใช้ในฐานะกลยุทธ์ทางการเมืองที่ทำให้เศรษฐศาสตร์รอดพ้นจากความเสี่ยงมาได้
อ้างอิง
Marshall, Alfred (2013[1890]). Principles of Economics. 8th edition. Palgrave
Mirowski, Philip (1995). More heat than light, Economics as social physics: Physics as nature’s
economics. Cambridge University Press.
Pearson, Karl (1924). The Life, Letters and Labours of Francis Galton Volume 2. Cambridge at
the University Press.
↑1 | คำว่า ‘Marginal’ ตรงนี้เป็นคนละเรื่องกับการศึกษากลุ่มคนชายขอบของทฤษฎีสังคมวิทยา แต่เป็นวิธีวิเคราะห์แบบเศรษฐศาสตร์ที่มองว่า มนุษย์มีเหตุผลจะคิดตามหลักการส่วนเพิ่มหรือหน่วยสุดท้าย (ไม่ใช่ตามค่าเฉลี่ย หรือ ค่าทั้งหมด) และนำหลักการนี้ไปอธิบายพฤติกรรมและปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจ เช่น ในแต่ละหน่วยที่มนุษย์บริโภคสินค้า ย่อมทำให้เขามีระดับความพอใจลดลงเรื่อยๆ หรือเป็นไปตามกฎการลดน้อยถอยลงของอรรถประโยชน์ เป็นต้น |
---|---|
↑2 | การประหยัดต่อขนาด (economies of scale) เป็นหลักการอธิบายว่าเมื่อธุรกิจมีการขยายขนาดย่อมทำให้ต้นทุนเฉลี่ยในการผลิตลดลงได้ ซึ่งมาจากการใช้ปัจจัยการผลิตในระดับที่ได้ประสิทธิภาพมากขึ้น หรือ การที่ธุรกิจมีความชำนาญมากขึ้น เป็นต้น |