ตลอดช่วงชีวิตของการเป็นผู้กำกับหญิงชาวเบลเยี่ยม (แต่ใช้เกือบทั้งชีวิตที่ฝรั่งเศส) หนึ่งในขบวนการ French New Wave, อานเญส วาร์ดา ถ่ายทอดความคิดของตัวเองลงไปบนภาพถ่ายและภาพเคลื่อนไหวผ่าน ‘ใบหน้า’ ของผู้คน
ใบหน้าของนักแสดง ใบหน้าของตัวแบบ และใบหน้าของสังคมในช่วงเวลาที่เธอเผ้ามอง ถ่ายทอดออกมาให้ดวงตาบนใบหน้าของคนอีกนับล้านได้รับชม เพื่อได้รู้สึกอะไรบางอย่างไปกับผลงานที่บ่งบอกความเป็นตัวเธอ
วันเวลาที่ผ่านไป จากผู้กำกับสาวกลายเป็นหญิงชราวัยใกล้เข้าเลขเก้า ถึงเครื่องแต่งกายและสีผมของเธอจะทำให้ดูเป็นสาวกว่าอายุจริง (หรืออีกแง่หนึ่ง คือเป็นคุณยายที่ ‘เปรี้ยว’ เสียเหลือเกิน) แต่เมื่อระบบของร่างกายไม่อาจย้อมสีให้หยุดความเสื่อมสภาพลงได้ สายตาของอานเญสจึงเริ่มพร่ามัว มองใบหน้าไม่ชัดเหมือนเลนส์กล้องถ่ายภาพที่เธอใช้ จนเธอกลัวว่า ‘ใบหน้า’ ของผู้คนที่เธอเคยใช้เป็นตัวกลางถ่ายทอดความคิดจะสูญหายไปตามกาลเวลา
นั่นจึงเป็นที่มาให้เธอเริ่มออกเดินทางเพื่อเก็บบันทึกใบหน้าของคนธรรมดาๆ ไว้เป็นความทรงจำในไซส์มหึมาพอที่ดวงตาของเธอจะพอมองเห็น แต่มากไปกว่านั้น คือเรื่องราวของเจ้าของใบหน้าที่เธออยากเก็บมันไว้
แม้ในเวลาที่ตาทั้งสองอาจทำหน้าที่ของมันไม่ได้เหมือนเคย
ถึง Faces Places จะเป็นภาพยนตร์ฝรั่งเศส แถมยังเป็นผลงานกำกับของคุณยายอานเญส ผู้เป็นเพื่อนร่วมรุ่นของผู้กำกับรุ่นเดียวกันอย่าง ฌอง ลุค โกดาร์ด (ซึ่งสารภาพอย่างไม่ต้องอายกันว่าเราดูหนังของเขาไม่รู้เรื่อง [เช่นเรื่อง Goodbye to Language]) จนเดาไปเองว่าคงดูไม่รู้เรื่องอีกเหมือนเคย
แต่กลับกัน นี่คือภาพยนตร์สารคดีกึ่งฟิคชั่นแนว Road Movie ที่ชวนอิ่มอกอิ่มใจไปกับเรื่องราวของผู้คน ‘ธรรมดาๆ’ และ execution การเล่าเรื่องของหนัง ที่อานเญสกับเพื่อนร่วมทางอายุน้อยกว่าครึ่งอย่าง JR ช่างภาพหนุ่มผู้สวมแว่นตาดำเป็นเอกลักษณ์ร่วมกันสร้างขึ้นจนกลายเป็นหนังแบบ ไปเรื่อยๆ แต่ทั้งน่ารักและอบอุ่นหัวใจไม่แพ้ผลงานของสตูดิโอยักษ์ใหญ่แม้แต่น้อย
อานเญสและเจอาร์เดินทางไปยังชนบทของประเทศฝรั่งเศส บันทึกภาพใบหน้าของคนธรรมดาที่นั่น ปรินท์มันออกมาในกระดาษขนาดยักษ์ ก่อนจะแปะไปบนผนังอันรกร้างในเมืองนั้นๆ คือวิธีการบันทึกความทรงจำที่ทั้งคู่สร้างขึ้น เราได้เห็นภาพของสาวเสิร์ฟในร้านอาหารแปะเท่าตึกสามชั้น เจ้าของนาข้าวกับภาพตัวเองแปะอยู่บนยุ้งฉางขนาดยักษ์ และภรรยาของพนักงานการท่าเรือผู้เป็นกำลังใจให้กับสามีกับการต่อสู้เพื่อสิทธิของสหภาพแรงงานแปะอยู่บนตู้คอนเทนเนอร์ ก่อนที่พวกเธอจะขึ้นไปนั่งอยู่บนนั้นและโบยบินอย่างเสรี
งานของเจอาร์อาจจะดูเป็นงานศิลปะแนวสตรีทที่ดูโอ่อ่าน่ามาเซลฟี่ แต่สิ่งที่เคลือบอยู่คือเรืองราวของคนธรรมดาๆ ที่อานเญสนำมาใบหน้าเหล่านั้นมาร้อยเรียงเป็นเรื่องราวในภาพยนตร์ของเธอ
ภาพสาวเสิร์ฟคนนั้นกลายเป็นจุดถ่ายภาพของคนที่มาเที่ยวจนเธอรู้สึกอึดอัด
เจ้าของนาข้าวผู้ทำงานอย่างโดดเดี่ยวกับรถแทรคเตอร์คู่ใจแต่ก็ไม่เป็นไรเพราะเขามีครอบครัวรออยู่
คนจรจัดที่ใช้ชีวิตด้วยเงินบำนาญขั้นต่ำสุด แต่บ้านของเขาอาจเป็นสวรรค์ของคนชั้นกลางหลายคน
และอีกหลายใบหนาของคนธรรมดาที่มีเรื่องเล่าอย่างที่เรานึกไม่ถึง (แม้แต่ใบหน้าของแพะที่มีสตอรี่ของตัวเอง) รวมถึงใบหน้าบนภาพถ่ายส่วนตัวของอานเญสที่เธอไม่อยากให้หายไป ถูกเพื่อนร่วมทางขยายขนาดจนเธอมองเห็นได้ แม้จะคงอยู่ในช่วงเวลาไม่นาน
นี่อาจเป็นหนังสารคดีที่เล่าเรื่องส่วนตัวของอานเญส แต่ในอีกแง่หนึ่ง ความปรารถนาที่คนสายตาพร่าเลือนอย่างเธออยากเห็นใบหน้าใหม่ๆ แบบชัดๆ กลับทำให้เราในฐานะผู้ชมได้มองเห็นมุมมองในอีกแง่ระหว่างการใช้ชีวิต
เราสวนทางกับใบหน้าของคนธรรมดาๆ ที่มีเรื่องราวเบื้องหลังน่าสนใจมากแค่ไหน
เราใช้ชีวิตอยู่กับตัวเอง ไม่ใส่ใจกับคุณค่า เหยียดหยามใบหน้าอีกเป็นร้อยเป็นพันที่เดินผ่านมากแค่ไหน
หรือไม่ต้องไปอื่นไกล, เราใส่ใจกับใบหน้าของคนที่ใส่ใจกับเรามากแค่ไหน
ในวันที่สายตายังคงใช้การได้ดี หน้าที่ของการจดจำใบหน้าอันเป็นเอกลักษณ์และเรื่องราวที่งดงามควรเป็นของมันที่จะส่งภาพมายังสมองเพื่อจดจำ มากกว่าจะรอใช้กระจกในเลนส์กล้องถ่ายภาพเก็บมันไว้หรือเปล่า
ในช่วงท้ายของหนัง อานเญสเดินทางตามนัดหมายไปที่สวิตเซอร์แลนด์เพื่อเจอกับโกดาร์ด เพื่อนเก่าของเธอ แต่สิ่งที่หญิงชราได้พบกลับเป็นการเล่นตลกกับความรู้สึก พร้อมบ้านที่ว่างเปล่ากับประโยคแปลกๆ และโกดาร์ดที่หายตัวไปไม่มาตามนัด ทั้งที่เพื่อนเก่าเดินทางมาหา
เธอร้องไห้ด้วยความโกรธและเศร้า อาจเป็นเพราะความผิดหวัง และคำพูดประโยคนั้น แต่เหนือสิ่งอื่นใด สำหรับคนใกล้ชิดที่สนิทกัน อะไรจะดีมากไปกว่าการได้เห็นใบหน้าอันแสนงดงามของพวกเขาในวันที่จากกันไปนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเวลาที่สายตาเริ่มจะเลือนลาง
อันที่จริง อานเญสอาจของให้ชายหนุ่มร่วมทางแปะรูปของเพื่อนสนิทใหญ่ๆ ไว้ที่ฝาบ้านเขาก็ได้