fbpx

สนทนากับ Watchman : ความงามในซีรีส์ และมังกรในการเมืองไทย

สำหรับแฟนซีรีส์เกมออฟโธรนส์ในไทย เพจ Watchman น่าจะเป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทคนต้นๆ ที่คนเลือกกดเข้าไปอ่านหลังจากดูจบตอน

ไม่ใช่แค่เกมออฟโธรนส์ แต่เพจ Watchman ขยันหยิบหนังและซีรีส์ต่างประเทศมา ‘ป้ายยา’ ลูกเพจแทบวันเว้นวัน เช่น Westworld, Sons of Anarchy, The Queen’s Gambit ฯลฯ เกิดเป็นชุมชนคนรักหนัง-ซีรีส์เข้มๆ ที่ถกตั้งแต่ทฤษฎีความเป็นไปในหนัง ไปจนถึงความน่ารักของตัวละคร ด้วยข้อมูลเจาะลึกและวิธีเขียนอ่านสนุก ทำให้เพจ Watchman มีคนติดตามอย่างเหนียวแน่น ล่าสุดตัวเลขผู้ติดตามเพจขยับไปเกิน 2 แสนแล้ว

แม้ฉากหน้าของซีรีส์จะดูเป็นเรื่องบันเทิง แต่หลายต่อหลายเรื่องก็สะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ จิตวิทยา การเมืองและสังคมไว้อย่างคมกริบ และเพจ Watchman ก็เป็นหนึ่งในเพจที่เขียนถึงเรื่องสังคมการเมืองในซีรีส์ได้อย่างน่าติดตาม

ในช่วงร้อนแรงของการเมืองไทยตลอดปี 2563 จนถึงปัจจุบัน เพจ Watchman ออกมาแสดงจุดยืนทางการเมืองชัดเจนว่าไม่สนับสนุนความรุนแรงที่รัฐทำกับกลุ่มผู้ชุมนุม และยังมีอีกหลายโพสต์ที่ยืนยันว่าเขาอยู่ตรงข้ามเผด็จการ

101 นัดคุยกับแอดมินเพจ Watchman หนุ่มอายุ 26 ปี ผู้ไม่ประสงค์เปิดเผยชื่อและหน้าตา แต่ยินดีเล่าความคิดของเขาให้ฟังดังๆ

ตอนเด็กเขาฝันอยากเป็นนักบินอวกาศ ดูหนังตั้งแต่เด็ก จบภาพยนตร์ที่ ม.รังสิต เพราะอยากทำหนังอย่างที่ดูมาทั้งชีวิต ปัจจุบันเขาทำงานด้านอสังหาริมทรัพย์ ถ่ายรูป ตัดต่อ เขียนบทความ ขายของออนไลน์ ทำเพจหนัง และยังฝันจะกำกับหนังในสักวัน

เรานัดคุยกันที่ร้านกาแฟ เขาเลือกสั่งนมร้อน และบอกว่านมที่อร่อยคือตัวบ่งบอกว่าร้านนั้นทำเครื่องดื่มอื่นได้ดีแค่ไหน 

บทสนทนาถัดจากนี้ว่าด้วยความละเมียดละไม ชนชั้น และมังกรในการเมืองไทย 

คุณเริ่มดูหนังและซีรีส์ตั้งแต่เมื่อไหร่

ผมโตมากับคุณพ่อที่เป็นทนายความครับ แล้วเขาชอบดูหนังมาก เป็น cinephile เลย เรื่องแรกที่ผมดูคือ The Matrix ตอนนั้นผม 5 ขวบ จำได้ว่าดูจบผมออกมาส่องกระจก จับหน้าตัวเองในห้องน้ำ ตั้งคำถามว่านี่คือโลกเราจริงๆ หรือเปล่า หลังจากนั้นผมก็หลงใหลในหนัง ดูนู่นนี่ไปเรื่อย ลามมายังซีรีส์ ชอบอวกาศ แล้วที่ผมมองทุกสิ่งแบบวิทยาศาสตร์ มองในเชิงตรรกะเหตุผลก็เพราะเริ่มจากการดูหนัง 

ถ้าผมเป็นนักบินอวกาศ ถ้าเป็นได้นะครับ ผมจะเป็นได้แค่นักบินอวกาศ แต่ถ้าผมเป็นคนทำหนัง ผมสามารถทำหนังเกี่ยวกับนักบินอวกาศและเรื่องอื่นๆ ได้ด้วย ผมเลยเลือกเรียนภาพยนตร์ พอเรียนภาพยนตร์ก็ยิ่งรู้สึกว่าต้องดูหนัง ยิ่งดูหนังก็ยิ่งเก็บประสบการณ์ มีข้อมูล มีมุมกล้องในหัวเยอะ ก็รู้ว่าแบบไหนถึงจะดี ผมเป็นคนดูแล้วนับ ไม่น่าเชื่อเหมือนกันครับว่าถึงตอนนี้ผมดูหนังเป็นพันเรื่องเลยนะ ส่วนซีรีส์เกินสองร้อยเรื่องแล้ว

แล้วเริ่มทำเพจ Watchman ตั้งแต่ตอนไหน

ผมเรียนจบภาพยนตร์มาแต่ไม่ได้ทำหนังครับ เปลี่ยนสายไปทำงานด้านอสังหาริมทรัพย์ ตอนที่ผมทำงานด้านอสังหาฯ ทำให้ผมหลงใหลเกี่ยวกับเงินมากเพราะได้เงินดี ซึ่งคือสาเหตุที่เริ่มทำแต่แรก แต่พอทำไปทำมาก็ไม่ได้ตอบโจทย์ชีวิตมากขนาดนั้น ยิ่งรู้สึกห่างไกลเป้าหมายและความฝันตัวเองขึ้นทุกที จนต้องมาตั้งคำถามว่าเราต้องการอะไรกันแน่ในชีวิต

ผมเลยรู้ตัวว่าผมไม่ได้แค่อยากทำหนัง แต่ผมชอบเล่าเรื่อง ชอบเขียน ชอบแชร์ ชอบคุยกับเพื่อน ชอบแสดงความคิดและมุมมอง แล้วพอดีน้องสาวผมทำเพจเกี่ยวกับสัตว์โลกอยู่ เป็นเพจฮาๆ ชื่อ ‘Laughs Animal Planet’ มีคนกดไลก์ประมาณร้อยคนเอง เป็นต่างชาติหมดเลย น้องก็มาบอกว่ารู้นะว่าอยากทำเพจหนัง เลยให้เพจนี้มา อย่างน้อยก็ดีกว่าเริ่มจากศูนย์ ผมเลยเปลี่ยนชื่อเพจเป็น Watchman

ทำไมต้อง Watchman

ที่มาของชื่อเพจมาจากหนังเรื่อง Watchmen ผมชอบหนังเรื่องนี้เพราะสะท้อนหลายประเด็นมาก เรื่องนี้เจ๋งตรงที่เป็นประวัติศาสตร์ alternative หรือโลกคู่ขนาน เล่าเรื่องว่าถ้ามีกลุ่มฮีโรชื่อ Watchmen แล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงกับโลกทางไหนบ้าง ซึ่งหนังไม่ประนีประนอมกับคนดูเลย ผมชอบตรงนี้ จู่ๆ มาตรงกลางเรื่องแล้ว มีสตอรีมาก่อน แล้วไม่ได้ปูเรื่องขนาดนั้นด้วย เริ่มที่รุ่นสองเลย เป็นหนังไม่กี่เรื่องที่บอกว่าฮีโรไม่เหมือน American hero ไม่ได้เป็นแค่วีรบุรุษโชว์กล้ามหรือทรวดทรงองเอวแบบที่คนวาดภาพไว้สวยหรู แต่บอกว่าฮีโรก็คือมนุษย์เหมือนเราๆ นี่แหละ มีโลภ โกรธ หลง มีทั้งด้านขาวและดำ ปนกันเป็นสีเทา 

ทีนี้พอผมทำเพจคนเดียว เลยเปลี่ยนเป็น Watchman แค่นั้นเลย ง่ายๆ ไม่ได้มีความหมายลึกซึ้งอะไรเลยครับ (หัวเราะ) ก็ทำมาเรื่อยๆ เหตุเกิดเพราะความเหงา อยากระบาย อยากหาเพื่อนคุย ซึ่งไหนๆ ก็ทำแล้วเลยตั้งใจให้เป็น community ด้วย เพราะก่อนหน้านี้ผมรู้สึกเหมือนเป็นเอเลียนบางครั้ง คุยกับใครไม่ค่อยรู้เรื่อง ไม่มีคนคุยด้วยเลย แต่พอได้รวมคนประเภทเดียวกันมาอยู่ด้วยกันก็ดี กลายเป็นว่านอกจากได้เจอคนเหมือนๆ กันเยอะแล้ว ทั้งยอดผู้ติดตามก็มาไกลกว่าที่คิดไว้ตอนแรกมาก

ผมจำได้เลย โพสต์แรกของเพจเขียนถึงซีรีส์เรื่อง Narcos คนกดไลก์ 1 คน ผมภูมิใจมากแล้วนะ ตอนนั้นซีรีส์ยังไม่แพร่หลายในเมืองไทยเท่าไหร่ด้วย ดีใจที่จากตอนนั้นถึงตอนนี้มีส่วนผลักดันให้คนรู้จักซีรีส์ดีๆ ครับ

จากที่คุณดูซีรีส์มาเยอะ มีคำนิยามไหมว่าซีรีส์ที่ดีต้องเป็นแบบไหน

ยากที่จะนิยามคำว่าดีชัดๆ ครับ หนังหรือซีรีส์ที่สนุกไม่ได้หมายความว่าเป็นหนังดี แต่ที่ไม่สนุกก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ดีเสมอไปเช่นกัน อยู่ที่หน้าที่ของมันว่าทำหน้าที่ของตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน รวมถึงองค์ประกอบต่างๆ กับมุมมองของคนดูคนนั้นด้วย

สำหรับผมนะ ซีรีส์มีหน้าที่สองอย่าง คือหน้าที่ในการสร้างความบันเทิงและสร้างอะไรให้กับสังคม อาจเป็นการตั้งคำถามหรือกระตุ้นให้คิด ซึ่งอาจทำแค่หน้าที่ใดหน้าที่หนึ่งหรือทำทั้งสองหน้าที่ก็ได้ ผมว่าสุดท้ายแล้วต่อให้คนทำซีรีส์ไม่ได้ตั้งใจสะท้อนสังคม ก็จะมีซีรีส์ที่สื่อถึงเรื่องสังคมอยู่ดี เพราะหลายอย่างต่อให้อยู่ในซีรีส์แฟนตาซีไซไฟก็มีพื้นฐานมาจากประสบการณ์ หลักการ และเรื่องราวในโลกความเป็นจริงอยู่แล้ว ส่วนความบันเทิงในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าต้องตลก ร้องเพลงอะไรแบบนั้นนะ แต่คือซีรีส์ที่ทำให้เราอยากติดตามอย่างต่อเนื่องหรือ binge-watching ได้ ผมว่าเรื่องนั้นแหละที่สร้างความบันเทิงให้เราได้ในแง่ใดแง่หนึ่ง

ซีรีส์ที่ดีสำหรับผม ประกอบไปด้วยการเขียนไดอะล็อกที่ดี การออกแบบตัวละครที่มีมิติซับซ้อน และการผูกเรื่อง การวางโครงเรื่องให้คนดูติดตามได้ในระยะยาว ซีรีส์ต่างจากหนังตรงที่เป็นการเล่าเรื่องระยะไกล จึงน่าสนใจตรงที่คุณจะเอาเนื้อเรื่องกับตัวละครหนึ่งไป intersect กับตัวละครหนึ่งในเรื่องอย่างไร ก่อให้เกิดอะไรในทิศทางไหนต่อ แล้วจะขมวดปมที่ใส่มาแบบไหน สมศักดิ์ศรีไหม ซีรีส์ที่ดีจะต้องสอบผ่านทุกอย่างที่ผ่านมานี้ แล้วเดี๋ยวจะบันเทิงเองครับ ต่อให้เป็นแนวดรามาก็เถอะ

ซีรีส์ที่ทำหน้าที่สะท้อนหรือให้อะไรกับสังคม ก็เช่นเรื่อง Sex Education มีสอนเรื่องเพศศึกษา เรื่อง The Wire พูดถึงตำรวจดีเลว นักการเมืองทุจริต และโซนพื้นที่ที่มีการก่อเหตุอาชญากรรมและเสพยาเสพติดสูงอันเนื่องมาจากสภาพแวดล้อมแย่ๆ หรืออย่างเรื่อง Sons of Anarchy ที่อาจดูเผินๆ เป็นซีรีส์แก๊งสเตอร์ ฆ่าๆ ยิงๆ กัน แต่ก็สะท้อนว่าพระเอกโตมาอย่างไร มีประโยคหนึ่งผมชอบมาก ที่พระเอกพูดกับนางเอกว่า “ผมจับมอเตอร์ไซค์กับเสื้อหนังมาตั้งแต่ 5 ขวบ ผมทำอย่างอื่นไม่เป็นแล้วจริงๆ ทารา” สะท้อนว่าถ้าพระเอกได้รับการศึกษาที่ดีหรือพ่อพาไปอยู่สภาพสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่านี้ จากที่พระเอกฉลาดมาก เขาคงจะโตเป็นอีกคนหนึ่ง ได้ดีในทางอื่นไปแล้ว

ซีรีส์ช่วยสะท้อนอะไรแบบนี้ ถ้าซีรีส์สนุกก็ดี แต่ถ้าส่งผลกระทบหรือก่อให้เกิดการตั้งคำถามต่อสังคมด้วยก็นับเป็นเรื่องที่ดีมาก แต่เชื่อไหมครับ เท่าที่สังเกตมักจะมาคู่กันเองนะ ความบันเทิงกับผลกระทบต่อสังคม หรือต่อให้ไม่เป็นระดับสังคมก็สะท้อนถึงปัญหาชีวิตในระดับปัจเจก เพื่อน ครอบครัว คนรัก ในแง่ใดแง่หนึ่งอยู่ดี

ซีรีส์ต่างประเทศทำประเด็นทางสังคมที่ก้าวหน้าและลงลึกมาก เช่น ซีรีส์เกาหลีวิพากษ์กระบวนการยุติธรรม ซีรีส์อเมริกาสะท้อนเรื่องอาชญากรรม แล้วถ้าชวนคุณมองกลับมาที่ซีรีส์ไทย คิดว่าควรทำหน้าที่อะไรกับสังคมได้มากกว่านี้ไหม

ควรมากครับ ถ้าให้ผมพูดตามตรง ฮอร์โมนส์ วัยว้าวุ่น ยังคงเป็นซีรีส์ไทยที่ดีที่สุด หลังจากนั้นก็มีซีรีส์ไทยดีๆ ตามมาอยู่เหมือนกันนะครับ แต่ฮอร์โมนส์ยังคงเป็นที่หนึ่งของหลายๆ คน ไม่ใช่เพราะมาก่อน แต่เพราะเป็นการสื่อสัญญะทางอ้อมถึงสังคมในหน่วยย่อย พูดถึงคนในโรงเรียนในแง่มุมต่างๆ จำลองการใช้ชีวิตที่ทุกคนต้องผ่านก่อนจะไปสู่หน่วยใหญ่กว่าในชีวิตของผู้ใหญ่ได้ดี ซึ่งตอนนั้นมีแววเหมือนเป็นประตูบานแรกไปสู่ประตูบานต่อๆ ไป เป็นการปักธงสู่ยุคใหม่ของอุตสาหกรรมภาพยนตร์และละครไทย

แต่หลังจากเรื่องนี้ นอกจากซีรีส์เกี่ยวกับเรื่องในโรงเรียนกับแนววัยรุ่น เราก็แทบไม่สามารถทำแนวอื่นได้หรือประสบความสำเร็จขนาดนั้นเลย เช่น ไซไฟ ปรัชญา แฟนตาซี การเมืองอำนาจ การทุจริต ดรามาในแนวใหม่ๆ การวิพากษ์วิจารณ์ หรือตั้งคำถามกับศาสนายังทำไม่ได้ อย่างเรื่อง ไทบ้าน เดอะซีรีส์ 2.2 ก็โดนสั่งตัดฉากพระร้องไห้ออกไป บ่งบอกว่าเรามีกรอบทางวัฒนธรรมที่ถอดไม่ออกเสียที ติดหล่มกาลเวลาแบบยากจะเข็นขึ้น ถ้าสามารถวัดคาร์บอนของประเทศเราได้ เราอาจช้ากว่าหลายๆ ประเทศในเรื่องความคิดก้าวหน้า 

จริงๆ ผมว่าเจ้าหนึ่งที่สร้างความแปลกใหม่เสมอและมีความแข็งแรงในผลงานตลอดคือนาดาวกับ GDH นะ เขามาตรฐานมากๆ แต่ถ้ามีอิสระมากกว่านี้ ผมเชื่อว่าทั้งค่ายนี้และวงการหนังซีรีส์ประเทศไทยจะไปไกลกว่านี้ได้อีกเยอะครับ เกาหลีก็เกาหลีเถอะ ฮอลลีวูดก็ฮอลลีวูดเถอะ คนไทยเก่งๆ เยอะมากนะ แต่สวัสดิการไม่ดี ทำงานหนัก กรอบก็เยอะ เสนออะไรใหม่ๆ ก็ปัดตก ติดนู่นติดนี่ ถึงได้เกิดภาวะสมองไหล 

เรื่องนี้เลยเกี่ยวข้องกับการเมืองและบุคลากรที่รับผิดชอบดูแลเรื่องนี้โดยตรง ถ้าการเมืองดีก็จะส่งผลให้เกิดการสร้างซีรีส์ดีๆ แนวใหม่ๆ หลากหลายขึ้นมา ถ้ามีคนในภาครัฐที่หัวก้าวหน้าหน่อยเข้ามาสนับสนุน หรือไม่ห้ามอะไร ไม่ต้องเซ็นเซอร์เพราะมีระบบเรตแล้ว รวมถึงพัฒนาเรื่องสวัสดิการ ปรับค่าครองชีพให้สมเหตุสมผลกับรายได้ ทำให้คนอยากทำภาพยนตร์หรือซีรีส์มากขึ้น คนเก่งๆ จะผุดขึ้นอีกมากมาย การแข่งขันจะสูงกว่านี้

น่าเสียดายครับ ด้วยการเขียนบทกับมีพล็อตที่ดีน่าสนใจ เราสามารถไปไกลมากกว่านี้ต่อให้ทุนไม่สูงเท่าเขา แต่เราถูกตีกรอบ เป็นมานานแล้วด้วย 

เส้นศีลธรรมในประเทศไทยชัดไป?

ใช่ เส้นชัดไปครับ หนาด้วย โดยเฉพาะการนิยามว่าเราเป็นเมืองพุทธ ทำไมต้องเมืองพุทธ ทำไมต้องเซ็ตค่าเบื้องต้นให้ทุกคนเกิดมาเป็นพุทธ ทำไมต้องเรียนวิชาพุทธศาสนาแทนที่จะเป็นศาสนวิทยาให้รู้รอบและครอบคลุมเพื่อให้เด็กเลือกเอง คือเมืองพุทธเฉยๆ ไม่ผิดนะ ศาสนานี้บอกให้ปล่อยวางด้วยซ้ำ และแก่นของศาสนาพุทธดี มีความเป็นปรัชญา แต่กลับกลายเป็นว่าเราใส่แสงสีเหลืองจ้าๆ ให้ประเทศนี้ ทำให้ศักดิ์สิทธิ์ถึงขั้นแตะต้องไม่ได้เลย ขณะที่ต่างประเทศมีหนังนักบวชถือปืน หลวงพ่อที่อ้างตนในนามผู้รับใช้พระเจ้าแต่ทำชั่ว หรือประเทศญี่ปุ่นมีพระดีเจ พระแร็ปเปอร์ พระ EDM ที่แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวของศาสนาตามกาลเวลา

แล้วเส้นนี้กลับกลายเป็นเครื่องมือทำให้ใครบางคนมีความชอบธรรมกว่าคนอื่น แทนที่จะเป็นสิ่งที่ดี กลับทำให้เกิดความแตกแยกกันด้วยครับ ตัดสินว่าใครดีชั่ว แบ่งขาวดำและคุณงามความดีด้วยหลักศาสนา พอใครไม่ทำตามหรือใครไม่มีศาสนาคือคนไม่ดีเฉยเลย ถึงทุกวันนี้เรื่องนี้เปิดกว้างขึ้นแล้วแต่ก็ยังไม่หมดไป เพราะยังเหลือคนรุ่นเก่าจำนวนมากที่คิดอย่างนั้น

คุณคิดว่าประเทศไทยมีวัตถุดิบอะไรที่ทำให้หนังหรือซีรีส์ของเราน่าสนใจ

เราพูดถึงพื้นฐานก่อนนะครับ วัตถุดิบเรามีสองระดับ ระดับแรกคือระดับผิว คือเรื่องผี ความเชื่อ เครื่องราง ของขลังอะไรพวกนี้ ผมมั่นใจว่าผีไทยคือสุดยอดแล้ว ผมไปนั่งดูเรื่อง Lights Out ในโรงกับเพื่อนต่างชาติ เพื่อนกลัวมาก แต่ผมรู้สึกว่า นี่น่ากลัวแล้วเหรอ ผีไทยโหดกว่านี้มาก ผีไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก แล้วมีองค์ประกอบของชุดไทย ดนตรีไทยอีก เลยทำให้หลอนแบบมีเอกลักษณ์

อาจเพราะความน่ากลัวของผีเกิดมาจากการเรียนรู้ผีกันมาคนละแบบ คนเลยกลัวผีคนละประเภทรึเปล่า

ก็อาจใช่ครับ แต่ผมว่าหนังผีไทยโกอินเตอร์ได้ และโกแล้วด้วย เราไม่จำเป็นต้องขายผีไทยแบบเป็นคนไทยๆ หรือย้อนยุคเสมอไป อย่างเรื่อง ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ เอาฝรั่งมาแสดงก็ยังได้ แต่แค่พวกเราโตมากับความขลัง ความเชื่อ กับศาสนาพุทธที่มีเนื้อแท้คือศาสนาผี พราหมณ์ ตามด้วยความเป็นพุทธแท้ซึ่งหลงเหลือแก่นน้อยมาก ผสมจีนด้วย เลยทำให้อินกับเรื่องพวกนี้เป็นพิเศษ เจอตึกร้างต่อให้ไม่เชื่อเรื่องผีวิญญาณ ผมก็ไม่กล้าเข้าไปอย่างไม่มีเหตุผลอยู่ดี

นอกจากเรื่องผีแล้วมีอะไรอีกไหม

เมื่อกี้เราพูดระดับผิว ส่วนระดับลึกคือเรื่องอำนาจและการเมืองครับ เช่น การทุจริต ฉ้อฉล การใช้อำนาจโดยมิชอบ ผมว่าเราสร้างหนังดีๆ ได้ 20-30 เรื่องหรือมากกว่านั้นด้วยซ้ำ อย่างเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ เป็นไปได้ผมก็อยากทำหนัง ไปสัมภาษณ์คนจริงๆ กึ่ง mockumentary ไปสำรวจความจริงที่เคยเกิดขึ้น ถ้าทำได้ ผมคิดว่าต่างชาติจะช็อกเลย ดังแน่ๆ วันหนึ่งผมอยากทำนะ ถ้าขอทุนต่างชาติได้และทำในนามของหนังต่างประเทศ

ผมอ่านหนังสือชื่อ มนุษย์ ตุลา แล้วเห็นเป็นฉากเลยครับ สลดมาก เพราะฉะนั้นถ้าเราทำให้ภาพเหล่านี้ออกมาผ่านเรื่องเล่าของคนหลายมุม หนังจะน่าสนใจ ตัวละครจะเชื่อมโยงกันอย่างไรในเหตุการณ์เดียวกัน เช่น การลั่นปืนครั้งเดียว หรือไฟที่ลุกโชน การบุกจับตัว ตัวละครหนึ่งเห็นในมุมนี้ แต่ตัวละครอื่นเกี่ยวข้องและมองเห็นจากมุมอื่น ซึ่งคงไม่มีทางได้สร้างครับ ขนาดตำราเรียนยังพูดถึงแบบผิวเผินเลย

สิ่งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ไทยมีเรื่องเลวร้ายมากมาย รวมถึงเรื่องชนชั้น ความเหลื่อมล้ำ ซึ่งถ้าผมมีโอกาสกำกับหนัง ผมจะสร้างหนังเกี่ยวกับเรื่องชนชั้นนี่แหละ อย่างเรื่อง Parasite มาจากประสบการณ์ของผู้กำกับใช่ไหม แต่ถ้ามาสร้างในไทย ทำได้มากกว่านั้นอีก มีวัตถุดิบให้เอาไปใช้ที่ดีเยอะกว่าด้วย

เรามีวัตถุดิบดีๆ มากมาย แต่เราสร้างได้หรือเปล่า อันนั้นคือคำถามสำคัญครับ

พอมีซีรีส์ไทยไม่กี่เรื่องที่โดนใจคุณ เพราะไม่สามารถสะท้อนภาพสังคมได้จริงๆ แต่ถ้ามองซีรีส์ต่างประเทศ มีเรื่องไหนบ้างไหม ที่คุณรู้สึกว่าสะท้อนภาพสังคมไทยได้คมชัด ถึงแม้ว่าคนทำซีรีส์อาจจะไม่ได้ตั้งใจทำเพื่อสะท้อนประเทศไทยก็ตาม

ผมให้ Attack on Titan แล้วกัน ช่วงนี้กำลังฮิต ไม่เพียงแต่สะท้อนสังคมไทย แต่สะท้อนครอบคลุมมากเลยครับ นอกจากความมันๆ เดือดๆ ลุ้นระทึก คาดเดาไม่ได้แล้ว เขาสอดแทรกเรื่องอำนาจ ชนชั้น การแบ่งแยก ความเกลียดชัง ได้แยบยลมากๆ แล้วก็ตั้งคำถาม เช่น อะไรคือสาเหตุและทางออกของความเกลียดชังกับสงคราม หรือถ้าคนหนึ่งมีอำนาจอยู่ในมือ เขาจะเอาอำนาจนั้นไปคิดแทนคนอื่นหรือเปล่า หรือเอาอำนาจไปเดินหน้าเองโดยที่ไม่ยุ่งกับคนอื่นเลย

ในเรื่อง มนุษย์อยู่ในกำแพงเดียวกัน มีหลายชนชาติ แต่มนุษย์ต้องเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อต่อสู้กับไททัน คำถามคืออะไรคือความจริงเบื้องหลัง แล้วจะเชื่อมโยงกับเรื่อง propaganda อย่างไร มีการใช้ละครตบตาครั้งใหญ่เพื่อหลอกคนจำนวนมากอย่างไร มีการใส่ข้อมูลในหัวคนอย่างไร 

ผมเคยเขียนบทความเกี่ยวกับเนื้อหาหลักของ Attack on Titan ที่ไปตรงกับเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ มากๆ คือเรื่องการบูชาตัวบุคคลหรือบูชาสิ่งใดสิ่งหนึ่งในด้านใดด้านหนึ่งมากไป ในขณะเดียวกันก็พูดถึงเรื่องการไม่ตั้งคำถาม รับข้อมูลมาอย่างไรก็ตามนั้น อย่างในเรื่อง Attack on Titan ก็ไม่มีอินเทอร์เน็ต ทำให้ยิ่งโดนปิดกั้นข้อมูล ทัศนคติเปลี่ยนยากและโดนปิดหูปิดตา โดนหลอกได้ง่าย เรื่องนี้เป็นอนิเมะหรือมังงะที่บอกให้เราไม่ควรเชื่อข้อมูลด้านเดียวมากเกินไป ควรมองภาพรวมและถามหาความจริง ตั้งคำถามเสมอ

ผมอ่านหนังสือเซเปียนส์ เขาบอกว่ามนุษย์มีความเป็นจริงสองแบบ หนึ่ง ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นจริง เช่น ดวงอาทิตย์ขึ้นทิศตะวันออก หรือเราปล่อยแก้วตรงนี้แล้วแก้วหล่นมาแตก และสอง ความเป็นจริงที่เราจินตนาการ เช่น มนุษย์สร้างพระเจ้า สร้างเรื่องเล่าขึ้นมา แต่จริงๆ มนุษย์มีเลือดสีแดงเหมือนกัน เป็นเพื่อนร่วมโลกกัน สิ่งที่เราจินตนาการขึ้นมาเองอย่างการเมือง สังคม ศาสนา ระบบชนชั้น ทำให้เราแบ่งแยกกัน มีข้าสูงเอ็งต่ำ มีพวกกูพวกมึง Attack on Titan พูดเรื่องนี้

การเข้าใจเรื่องพวกนี้สำคัญกับชีวิตอย่างไร เข้าใจแล้วจะทำอย่างไรต่อ 

ผมแยกเป็นสองแง่ แง่แรก คือฝึกการคิดวิเคราะห์ ตัวละครนิสัยแบบนี้ ถ้าเขาทำสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผล เราก็วิเคราะห์ว่าตัวละครนี้ไม่น่าทำแบบนี้นะ เราเอามาชั่งน้ำหนัก แล้วเกิดการพูดคุยถกเถียง

ประโยชน์ของการดูซีรีส์คือทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ ในชีวิตจริงยากที่เราจะไปตัดสินคนอื่นว่าถูกหรือผิด เพราะเขามีเรื่องราวของเขา เราไม่ได้รู้เรื่องทั้งหมด แต่ในแง่ของหนังหรือซีรีส์ อะไรที่เราลงเวลา เงิน และโอกาสไป เรามีสิทธิ์ที่จะวิพากษ์วิจารณ์ แล้วการวิพากษ์วิจารณ์นี้ก็นำไปสู่การขบคิดวิเคราะห์ว่าเป็นอย่างไร อันไหนดีไม่ดี ถูกไม่ถูก ควรไม่ควร ฝึกหาคำตอบและฝึกมองภาพรวมให้ชัด เหมือนฝึกเล่นกล้าม ทำให้คนวิเคราะห์ได้ดีขึ้น 

แง่ที่สอง คือทำให้เราฉุกคิด มันจี้ใจเราให้มองโลกความเป็นจริง เช่น เราเห็นคิงจอฟฟรีย์ในเกมออฟโธรนส์ เราก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่า ทำไมเราถึงจะโอเคกับการที่เขาอยู่ในตำแหน่งนั้น ทั้งที่เขาทำคนอื่นเดือดร้อน นิสัยไม่ดี ทำให้เรารู้ว่าอะไรถูกผิด ไม่ใช่แค่พอตัวละครนี้อยู่ตำแหน่งนี้แล้วจะถูกต้องไปทุกอย่าง หรือทุกคนต้องเชื่อฟังและตามใจอย่างศิโรราบ

หรืออย่างเรื่อง The Queen’s Gambit ที่พูดเรื่องความสำเร็จและตั้งคำถามว่าอะไรคือความสุขที่แท้จริง นอกจากตัวซีรีส์เอง คนที่เอาซีรีส์ไปพูดถึงก็อาจขยายประเด็น แล้วทำให้เกิดแรงกระเพื่อมทางสังคมด้วยทางหนึ่ง เชื่อว่าหลายคนตั้งใจทำตามความฝันและใส่ใจใช้เวลาอยู่กับคนที่รักมากขึ้นเพราะเรื่องนี้

การมีสิ่งนี้เป็นเรื่องดีครับ เราไม่จำเป็นต้องเผชิญบางเรื่องด้วยตัวเองถึงจะเรียนรู้ได้ เราเรียนรู้จากเรื่องเล่า ประสบการณ์ของคนอื่น และสามารถศึกษาชีวิตหรือเติบโตขึ้นจากหนังและซีรีส์ได้เหมือนกัน

เมื่อกี้คุณพูดถึงตัวละครในเกมออฟโธรนส์ เราชวนคุยอย่างนี้ว่า ถ้ามองการเมืองในเกมออฟโธรนส์เปรียบเทียบกับการเมืองไทย คุณเห็นความเหมือนหรือต่างอย่างไรบ้าง

เกมออฟโธรนส์ซับซ้อนกว่าเยอะครับ (หัวเราะ) เพราะการเมืองไทยชัดมาก ในแง่ว่าการต่อสู้เป็นสิ่งที่เห็นตรงหน้าโต้งๆ แล้ว เรียบง่ายมากเลย ถ้าเปรียบเทียบการเมืองไทยเป็นเกมออฟโธรนส์ เหมือนเราเห็นว่าจะต้องบุกไปตรงไหน ศัตรูอยู่ตรงหน้า รู้ว่าทำอย่างไรถึงจะเปลี่ยนแปลงเวสเทอรอสได้ แต่เราไม่สามารถทำอะไรได้เลย โดนกันทุกวิถีทาง ในเกมออฟโธรนส์ คนดียังมีโอกาส ด้วยความแฟนตาซีด้วย พอมีเรื่องมังกรเข้ามาก็อาจมีหวังได้ แต่น่าเสียใจที่แฟนตาซีไม่มีจริง ผู้กอบกู้ไม่มีจริง แต่ตัวร้ายมีจริง และอยู่นานด้วยครับในเกมออฟโธรนส์

การเมืองไทยไม่มีมังกรหรือ? ของประเภทที่ถ้ามีแล้ว ใครก็ต้องกลัวเรา

ถ้าจะเปรียบเทียบ ผมว่ามังกรคงเป็นเวลา อนาคตของประเทศไทยคือต้องพึ่งการเดินหน้าของกาลเวลาเท่านั้นแหละมั้ง มีเพื่อนคนหนึ่งถามผมว่าคิดว่าประเทศไทยจะเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ ไหม ผมบอกว่า ได้สิ แต่ต้องใช้เวลา รอให้เปลี่ยนผ่านมาสู่ยุคของคนที่ไปทันโลก น่าเศร้าที่อาจใช้เวลา 40-50 ปี ถึงตอนนั้นคงไม่ใช่ยุคของคนรุ่นผมแล้ว แต่ก็ยังดีนะถ้าอย่างน้อยมีวันนั้น คล้ายกับที่ผมเขียนถึงเรื่อง The Queen’s Gambit เลยครับว่ากาลเวลาคือปีศาจ สุดท้ายไม่มีใครชนะกาลเวลา ทุกคนก็ต้องหมุนไปตามนั้น นั่นแหละคือไฟมังกร 

ยิ่งโลกภายนอก ประเทศอื่นเขาเดินหน้าไปขนาดไหน เรายังอยู่ที่เดิม เขาจะมองเราอย่างไร เขาจะมาดีลการค้าและลงทุนกับเราอยู่ไหม สุดท้ายก็บีบให้เราต้องปรับตัว เปลี่ยนแปลง นี่เป็นความหวังที่ชัวร์สุดแล้ว ถึงอาจไม่ได้ชัวร์ร้อยเปอร์เซ็นต์

ตัวคุณเองตัดสินใจออกมาพูดเรื่องการเมืองไทยในฐานะเพจ Watchman ด้วย คุณตัดสินใจยากไหมในการออกมาแสดงความคิดเห็น ช็อตไหนที่รู้สึกว่าไม่ไหว ต้องออกมาพูด

ไม่ยากเลยครับ เหมือนการ์ตูนที่มีเสียง ‘ปึ้ด’ ดังเลย พร้อมๆ กับเส้นเลือดปูดที่ขมับ

ผมโพสต์อย่างไม่ลังเลตอนเห็นตำรวจฉีดน้ำใส่ผู้ประท้วงที่แยกปทุมวัน ผมรู้สึกว่าเกินไปแล้วนะ ไม่โอเคแล้ว บวกกับที่ผมไม่สบายใจที่เราทำเพจดูหนังซีรีส์ทั้งวันหน้าตาเฉยทั้งที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แล้วพอเห็นสื่อกระแสหลักไม่ให้ความสนใจประเด็นนี้ หรือบางสื่อลงว่าตำรวจเป็นผู้โดนกระทำฝ่ายเดียวด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่ความจริงเพื่อนผมไปเจอมาไม่ใช่แบบนั้น ผมเลยคิดว่าถ้าทำอะไรได้ก็จะทำ เป็นการคัดกรองลูกเพจไปในตัวด้วย แต่กลายเป็นว่ายอดไลก์เพิ่มขึ้นมาเป็นหมื่นคนเสียอย่างนั้น

คุณไม่กลัวว่าจะอยู่แค่ใน echo chamber ของตัวเองหรือ อยู่แต่กับคนที่มีความคิดเห็นทางการเมืองตรงกัน

ก็กลัวนะครับ แต่อย่างที่บอกว่าเราต้องตั้งคำถาม หาข้อมูล ผมไม่ใช่คนที่จะรับสารด้านเดียวนะ ผมแฝงตัวไปอยู่กลุ่มของคนฝั่งตรงข้ามเหมือนกัน เพื่อดูว่าเขาพูดอะไรกันบ้าง คิดอย่างไร และมีข้อมูลอะไรที่เรายังไม่รู้และน่ารู้ไหม เพราะหากมี อะไรผิดก็ว่าตามผิด อะไรไม่ดีก็ว่าไปตามนั้น ผมขี้สงสัย

แต่กลายเป็นว่าแม้พยายามเปิดใจแล้ว ผมก็ไม่ได้อะไรเลยนอกจากการสรรเสริญเยินยอและคำด่าทอที่ไม่มีมูล หรือต่อให้มีก็ปั่นให้ดูแย่เกินจริง ข่าวเท็จ แชร์ลูกโซ่ การเหยียด คำหยาบคาย การหาข้ออ้างโจมตีฝั่งตรงข้ามแบบไม่มีเหตุมีผล กับหาเหตุผลเท่าที่จะหาได้มาเข้าข้างฝ่ายตัวเองเกินเหตุทั้งที่เห็นทนโท่

ที่เป็นอยู่ตอนนี้ ไม่ใช่การเห็นต่างทางการเมืองครับ คำว่าการเมืองจะเกิดขึ้นได้คือต้องมีพรรคการเมือง มีฝ่าย แต่ประเทศเราไม่เหมือนเดโมแครตกับรีพลับลิกันของอเมริกา ของเราชัดเจนมากว่าคือการต่อสู้ระหว่างคนที่ต้องการมีอิสระเสรีในการใช้ชีวิต แสดงออก และตั้งคำถามต่อความไม่ถูกไม่ควร ไม่โปร่งใส กับฝ่ายเผด็จการที่บล็อกเราทุกอย่าง กันเราทุกทาง ต่อสู้แล้วก็ยังไม่สำเร็จ และผมว่าเราไม่มีตรงกลางสำหรับเรื่องนี้ คนที่ปล่อยให้ไฟลุกทั้งที่เห็นว่าสมควรดับหรือเขาเอาน้ำสาดไฟดับได้ ต่อให้ไม่ได้เป็นคนจุด ก็ถือว่าเห็นดีเห็นงามกับการที่ไฟลุก

เช่นเดียวกันนะ เราไม่สามารถใช้คำว่าเห็นต่างในประเทศไทยได้อีกแล้ว เพราะมันไม่ใช่ประชาธิปไตยจริงๆ ต่อให้เปลือกนอกเคลมว่าแบบนั้น แต่เนื้อในตรงกันข้าม เหมือนเค้กที่บอกว่าเป็นวนิลาทั้งก้อน แต่พอผ่าไป อ้าว เป็นช็อกโกแลตนี่นา

ผมเคยลองฟังคนเห็นต่างแล้ว แต่สุดท้ายก็ฟังไม่ขึ้นจริงๆ เพราะไม่ว่าเขาจะเห็นต่างอย่างไร แต่ทำไมเขาถึงเห็นด้วยกับวิธีการที่ผิด ทำไมโอเคกับสภาพประเทศตอนนี้ ทำไมเขาไม่เห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์บ้างเลยหรือ บ่อยครั้งพอพวกเขาเห็นคนโดนกระทำก็บอกว่าดีแล้ว สะใจ น่าจะตายไปเลย ผมเห็นความไม่สมเหตุสมผลเหล่านี้ ยิ่งทำให้ท้อใจว่าที่เป็นอยู่เรื้อรังมากๆ

สุดท้ายแล้ว เราแค่มี critical thinking เข้าไว้ครับ มองอะไรแบบคิดวิเคราะห์ ตั้งคำถาม ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ แต่ไม่ว่าเราจะเชียร์ใคร สิ่งที่เราต้องทำคือต้องเลือกทางที่ดีที่สุด ผมไปต่างประเทศมา แล้วผมมองว่าประเทศไทยดีมากนะ และดีกว่านี้ได้อีกเยอะ ซึ่งพอมามองว่าทางเลือกไหนที่จะพอดีกับประเทศไทยที่สุด ผมว่าสิ่งนั้นคือประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นถ้ามีอะไรที่เราต้องพูด เราก็ต้องพูด ประเทศเป็นของเราทุกคน ระบอบก็บอกอยู่ว่าประชาธิปไตย ถ้าประชาธิปไตยที่แปลว่า ‘ระบอบการปกครองที่ถือเสียงประชาชนและเสียงข้างมากเป็นใหญ่’ ตามที่ว่าจริง ก็ต้องพูดต้องแสดงความเห็นได้ในทุกๆ เรื่องสิ

ถ้าชวนคุณมองสังคมไทย คุณมองว่าประเทศไทยตอนนี้เป็นแบบไหน มีภาพสังคมไทยในฝันไหมว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร

จากประสบการณ์การดูหนังและซีรีส์มานะครับ แล้วลองดูแนวโน้มตอนนี้ ผมมองไม่เห็นเลย มืดมาก มืดกว่าซีรีส์เรื่อง Dark ของเน็ตฟลิกซ์อีก (หัวเราะ) การเมืองไทยไม่สามารถคาดเดาได้เลย มองเห็นแต่ความมืด เราทุกคนกำลังจมน้ำ เป็นฉากเหมือนในหนังเรื่อง Sanctum ที่คนไปติดถ้ำแล้วเห็นแสงสว่างออกมาบ้าง เราอยู่ใต้ถ้ำที่อยู่ในน้ำอีกทีหนึ่ง เห็นแสงไกลๆ แต่ว่ายไม่ถึงเสียที ทั้งไกล ทั้งขาดออกซิเจน

ประเทศไทยที่ผมวาดฝันไว้อาจไม่ใช่ภาพสวยหรูสำเร็จรูป หรือเป็นประเทศไทยในยูโทเปียเสียทีเดียว แต่เป็นสังคมที่เราให้เกียรติซึ่งกันและกัน รับฟังพูดคุยกันอย่างมีวุฒิภาวะ ประชากรเป็นปัญญาชน มีเหตุมีผล มองสิ่งต่างๆ ตามหลักความเป็นจริงที่ไม่ใช่ของเราแต่เป็นความจริงของสังคมและประเทศ ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างสันติสุข ไม่อยู่บนความลำบากของใคร ไม่เอาเปรียบกัน

บุคลากรไทยมีคุณภาพมากนะครับ แต่หากต้องการให้มีอย่างทั่วถึงและเพิ่มจำนานมากขึ้น รวมถึงพัฒนาความเจริญมากกว่านี้ คนคือกำลังสำคัญเลย เราอาจต้องพัฒนาเรื่องการเข้าถึงข้อมูล การวิเคราะห์แยกแยะก่อนเชื่ออะไร และใส่ใจการศึกษาขึ้นอีก การศึกษาเป็นรากฐานที่สำคัญมากๆ สังคมเราต้องการประชาธิปไตย หรือการที่เราสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ ตั้งคำถามได้ถ้าเห็นว่าสิ่งนั้นไม่ถูกต้อง แล้วก็จะนำไปสู่การแก้ปัญหาในท้ายที่สุด

ถ้ามองให้แคบลง ตอนนี้มีการประท้วงเกิดขึ้นในประเทศไทย ถ้าคุณเขียนตอนจบของการต่อสู้ครั้งนี้ได้ คุณคิดว่าจะมีตอนจบอย่างไร

ผมจะเขียนให้จบแบบปลายเปิดครับ จบทิ้งไว้ให้เห็นความหวัง เช่น เราเห็นหนทางที่จะต่อสู้กับอำนาจที่กดทับอยู่ได้จริงๆ เสียงของเรามีความหมายแล้วหรืออำนาจอยู่ในมือของคนที่ถูกที่ควรแล้ว เพราะการเมืองไม่ควรเป็นเรื่องการแบ่งเค้ก เก่ามากแล้ว ควรให้คนที่เหมาะสมกับกระทรวงนั้นๆ มาดูแลประเทศเราจริงๆ ให้มีความรู้ความสามารถเฉพาะด้านมาทำ งานก็จะมีประสิทธิภาพ แล้วถ้าทุกอย่างลงล็อก ก็จะทำให้ประเทศมุ่งไปข้างหน้า

สิ่งสำคัญคือต้องเป็นหนังภาคต่อที่ไม่ใช่มาสู้กันเองอีกแล้วครับ แต่เป็นภาคต่อที่เรารับช่วงต่อ เป็นหนึ่งเดียวกันด้วยหลักประชาธิปไตย นำประเทศไปแข่งขันต่อสู้ด้านความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคมกับประเทศอื่น

แล้วถ้าให้เลือกตัวละครหนึ่งจากเกมออฟโธรนส์มาได้ ให้โผล่เข้ามาในการเมืองไทยตอนนี้เพื่อสร้างจุดเปลี่ยน อยากให้ใครเข้ามา แล้วให้เขาทำอะไร

จอน สโนว์ แล้วกันครับ ผมรู้สึกว่าตัวครอื่นในเกมออฟโธรนส์เองก็ทำอะไรไม่ได้ เหมือนที่เราเองก็ทำอะไรไม่ได้กับปัญหาของเมืองไทย นอกจากเราจะเอาจอน สโนว์เพิ่มมาอีกคนหนึ่ง ให้มาพูด “I know nothing” เป็นเพื่อนเรา มานั่งปรับทุกข์เศร้าๆ ในบาร์สักที่ด้วยกัน เหมือนพวกเราที่เมื่อถามหาจุดจบเรื่องนี้ทีไรก็หาไม่เจอ ทำอะไรไม่ได้ และไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรอีกต่อไป ทุกอย่างผิดเพี้ยนไปหมด 

สุดท้ายแล้วนี่คือตัวละครที่ใกล้เคียงโลกความจริงของประเทศไทยที่สุดแล้วครับ ขอเพื่อนอีกสักคนแล้วกันครับ อย่างน้อย

ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีจุดเปลี่ยนสิ

ใช่ครับ ไม่มี (หัวเราะ) แต่อย่างที่บอกว่ามังกรของเราคือเวลา และเวลาคือไพ่ตาย แย่หน่อยที่ไพ่ตายกว่าจะมา ไม่รู้ว่าถึงตอนนั้นประเทศเราจะเป็นอย่างไรบ้างแล้ว จะเป็นแบบหนัง Mad Max ไหม แต่ผมเชื่อลึกๆ นะว่าจะมีวันนั้นที่ดีกว่า ผมรอคอยนะ

แนะนำซีรีส์น่าดูโดยเพจ Watchman

อันดับ 3 Breaking Bad

ผมอยากให้ทั้งคนทำหนังและคนทั่วไปดูเรื่องนี้ เพราะเป็นการฉีกภาพจำของซีรีส์ประมาณหนึ่ง ต่างประเทศเขาไม่ได้เกี่ยวว่าตัวเอกต้องหน้าตาดี แต่งตัวดีๆ ทำผมทรงอปป้า เรื่องนี้ตัวเอกคือชายแก่ หัวล้าน เป็นมะเร็ง กับเด็กแนวพูดโย่วๆ ทำให้เราเห็นว่าทุกคนเป็นตัวเอกได้ และนั่นคือชีวิตจริง เหมือนที่เราไม่ว่าจะหน้าตาแบบไหนก็มีสตอรีที่น่าสนใจเป็นของตัวเอง ไม่ใช่แค่คนหน้าตาดีหล่อสวยมีสตอรี

เรื่องนี้นอกจากดูแล้วได้บทเรียน ยังกระตุ้นให้คิดอะไรหลายๆ อย่างเลยครับ นี่คือตัวอย่างของซีรีส์ที่มีบทดี สเกลไม่ต้องใหญ่ ซีจีไม่จำเป็น บทล้วนๆ กับการแสดงอันยอดเยี่ยม เป็นสาเหตุที่ทำให้คนรัก Breaking Bad และแนะนำต่อๆ กันครับ แม้ว่าซีรีส์จะจบไปนานแล้วก็ตาม

อันดับ 2 : Westworld

ถ้าเรามี The Matrix ในฟากของหนัง ฟากซีรีส์ก็คือ Westworld มันกระตุ้นให้เราลิงโลดและตื่นเต้นไปกับเรื่องเจตจำนงเสรี ตั้งคำถามว่าสุดท้ายแล้วอะไรคือความเป็นตัวตน ความเป็นมนุษย์ สุดท้ายเราต่างกับเครื่องจักรหรือเปล่า มนุษย์กับเครื่องจักรใครเป็นมนุษย์กว่ากัน เรามีเจตจำนงเสรีจริงไหม เราสามารถเอาชนะขีดจำกัดที่ธรรมชาติสร้างมาได้หรือไม่ กับเทคโนโลยีและความพยายามทำลายกำแพงนั้นจะนำเราไปสู่อะไร เป็นซีรีส์คุณภาพที่หลายคนยังไม่ได้ดูและอยากให้ดูมากๆ ครับ

เล่าเรื่องฉลาด มีความสดใหม่ น่าสนใจเสมอ ปรัชญาไซไฟล้ำๆ ชวนให้ขบคิด ซีรีส์โดยโจนาธาน น้องชายคริสโตเฟอร์ โนแลน

อันดับ 1 : Sons of Anarchy

เป็นซีรีส์ underrated ที่ดังมากในต่างประเทศ แต่คนไทยไม่รู้จัก ไม่ค่อยดูกัน ผมให้ Sons of Anarchy เหนือกว่า Breaking Bad ตรงที่แต่ละซีซันมีความเข้มข้นและดีปกว่า คนที่แนะนำให้ผมดูตอนแรกเป็นเด็กวัยรุ่นที่ขายแผ่นซีดีอยู่ใต้สะพานลอยบิ๊กซี บางใหญ่ เขาบอกว่า “มันเท่มากเลยพี่ อย่างเจ๋ง” ตอนแรกผมยังไม่ค่อยเชื่อ แต่ผ่านมาหลายปีถึงมาดู แล้วพบว่านี่คือตัวอย่างของซีรีส์ที่ดี และเจ๋งกว่าที่เขาว่าอีกครับ

เรื่องนี้พูดถึงปัญหาอาชญากรรมที่อเมริกา ยา สภาพแวดล้อม อาวุธ แก๊ง การเติบโต อำนาจ การทรยศหักหลัง มีการผูกปมดรามาและการสร้างปมที่เข้มข้นมากๆ ทั้งทำให้เห็นว่าบางครั้งคนที่มีอำนาจหน้าที่หรือคนในเครื่องแบบไม่ได้เป็นคนดีเสมอไป การเชื่อมโยงเรื่องราวข้ามซีซันก็ทำได้ดีมากๆ และการตายของตัวละครก็ช็อกพอๆ กับเกมออฟโธรนส์ เป็นซีรีส์ที่เล่นแรงมากๆ ครับ เหมือนทั้ง Breaking Bad และเกมออฟโธรนส์ในเรื่องเดียว

Sons of Anarchy เป็นซีรีส์ที่สร้างตัวละครได้ลึก มีเอกลักษณ์ ใช้ได้อย่างคุ้มค่า มีทั้งอารมณ์ขัน ทั้งโทนซีเรียสมากๆ จนทำเราเครียดเลย ที่สำคัญคือตัวละครฉลาด เนื้อเรื่องฉลาด เล่าเรื่องฉลาด มีเกมภายในภายนอก พูดเรื่องอำนาจและการเปลี่ยนขั้ว มีความปรัชญาชีวิตเยอะมากผ่านเรื่องราวและไดอะล็อก ผมว่าไม่ว่าจะชอบแนวแก๊งสเตอร์หรือเปล่า ทุกคนดูเรื่องนี้แล้วจะชอบครับ คนที่ผมแนะนำและไปดูตามพูดเป็นเสียงเดียวกันเลย

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

4 Aug 2020

การสืบราชสันตติวงศ์โดยราชสกุล “มหิดล”

กษิดิศ อนันทนาธร เขียนถึงเรื่องราวการขึ้นครองราชสมบัติของกษัตริย์ราชสกุล “มหิดล” ซึ่งมีบทบาทในฐานะผู้สืบราชสันตติวงศ์ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร 2475

กษิดิศ อนันทนาธร

4 Aug 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save