เวียง-วชิระ บัวสนธ์ เรื่อง
1.
“เราต้องมีหัวใจแบบไหน ถึงจะรับมือกับมันไหวเหมือนพ่อแม่ของไผ่ที่ลูกต้องติดคุกติดตะรางอันเนื่องมาแต่ความอยุติธรรม ยิ่งในกรณีของเหน่ง พันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ ที่ลูกชายวัยสิบเจ็ดถูกยิงจนเสียชีวิตด้วยแล้ว…”
ผมกึ่งถามกึ่งรำพึงกับพี่เชื้อที่เคารพรัก ขณะเรากำลังฝ่าความมืดไปด้วยกัน
2.
ทันทีที่ลงจากรถตู้ผลักประตูด้านข้างของโรงแรมที่พักซึ่งฝากพรรคพวกรุ่นน้องให้ช่วยจองไว้เข้าไป เจ้าหน้าที่สตรีสองสามคนหลังเคาน์เตอร์เงยหน้ามองแสดงอาการรับรู้ ผมเบนสายตาไปยังกลุ่มชุดรับแขกซึ่งตั้งอยู่บริเวณล็อบบี้ซ้ายมือใกล้ๆ แลเห็นนักเขียนหนุ่มรุ่นน้องวัยสามสิบกลางๆ รูปร่างสูงใหญ่กว่าชายไทยมาตรฐานคนหนึ่งกำลังนั่งก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่เงียบๆ เพียงลำพัง
ภาณุ ตรัยเวช แสดงความจำนงขอร่วมขบวนไปเยี่ยมไผ่ ดาวดิน ด้วยกัน หลังทราบข่าวจากหน้ากระดานเฟซบุ๊กของพี่สุชาติ สวัสดิ์ศรี แต่พบว่าติดสอนหนังสือหนังหาตามภาระหน้าที่ครูบาอาจารย์ในวันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม วันเดียวกับที่พวกเรามีกำหนดเดินทางออกจากกรุงเทพฯ พอดี ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินใจจะตามมาสมทบโดยเครื่องบิน ปรากฏว่าเขาเป็นฝ่ายถึงที่พักก่อน เพราะพวกเราแวะหาอาหารใส่ท้องแถวอำเภอบ้านไผ่ รวมทั้งนัดพบมิตรสหายในพื้นที่อีกกลุ่มหนึ่งซึ่งมาประเมินสถานการณ์วันรุ่งขึ้นให้ฟัง เลยพลอยมาช้าไปกว่ากำหนดสองสามชั่วโมง
พูดก็พูดเถอะ ผมมักหยิบยกกรณีภาณุ ตรัยเวช ขึ้นเป็นเคสสำหรับศึกษาสภาพจิตของนักคิดนักเขียนและกวีผู้ยังมีบทบาทในปัจจุบันอยู่บ่อยหน เพื่อให้เพื่อนมิตรร่วมวงช่วยกันวิเคราะห์วิจารณ์ ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงส่งผลให้นักเขียนและกวีส่วนใหญ่ผู้มีกำเนิดจากชนบทท้องไร่ท้องนาหลงลืมกำพืดเดิม
อธิบายเพิ่มเติมตรงนี้ก็คือ ผมสังเกตมาหลายปีดีดักแล้วว่า พวกนักเขียนและกวีส่วนใหญ่ในบ้านเราไม่ได้วางตำแหน่งแห่งที่ทางปัญญาและอารมณ์ของตนเอาไว้ในฐานะเป็นญาติมิตรทางจิตใจกับบรรดาผู้ด้อยโอกาสทางสังคมอีกแล้ว อย่าว่าแต่พร้อมจะรู้จักเห็นอกเห็นใจหรือตระหนักในศักดิ์ศรีของเพื่อนร่วมแผ่นดินที่เท่าเทียมกับตน
ในขณะที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า คนอย่างภาณุนั้นเป็นชนชั้นกลางโดยตรง เรียนหนังสือเมืองนอกเมืองนา (ภายหลังสำเร็จการศึกษาระดับชั้นมัธยมจากเตรียมอุดมฯ) จนจบปริญญาสูงสุดในสาขาวิชาที่มิได้ข้องเกี่ยวกับปัญหาสังคมการเมืองเรื่องอำนาจของบ้านเราเลยก็ว่าได้ แต่กลับสมาทานหลักการประชาธิปไตยมาบรรจุไว้ในชีวิตเป็นเข็มทิศแห่งปรารถนา
พูดอีกแบบคงต้องว่า มันดูกลับตาลปัตรเมื่อเทียบเคียงกับผู้คนในวงวรรณกรรมส่วนใหญ่ที่แปรพักตร์ไปเข้าข้างฝ่ายอำนาจนิยม หรืออพยพโยกย้ายสำนึกเดิมที่เคยป่าวประกาศให้โลกรู้ไปสังกัดอยู่กับฝ่ายที่ตนเคยรังเกียจเดียดฉันท์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา กระทั่งลุกลามเลอะเทอะมาถึงเรื่องไม่มีใจอยากไปเยี่ยมไผ่ ทั้งที่ก็พอจะรู้ๆ เห็นๆ อยู่เต็มตาว่า มันคือความอยุติธรรม!
ภายหลังทักทายถามไถ่ ภาณุแจ้งว่า เห็นบิดาของไผ่เดินหายเข้าไปในห้องอาหารของโรงแรมได้พักหนึ่งแล้ว
วิบูลย์ บุญภัทรรักษา นั่งล้อมวงอยู่กับทนายน้อยนามอานนท์ นำภา พร้อมเพื่อนผู้ต้องหาคดีเดียวกันอย่างพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ และพรรคพวกอีกสองคน หลังจากไต่ถามสารทุกข์สุกดิบกันเล็กน้อย ผมขอตัวออกไปตามพวกเรารวม 9 ชีวิต กลับเข้ามาอีกที พนักงานกำลังช่วยกันต่อโต๊ะใหม่ เพราะโต๊ะกลมตัวเดิมรองรับไม่ไหว ครู่ถัดมาจึงได้ฤกษ์เปิดฉากสนทนาพาที
ระหว่างนั่งฟังพี่สุชาติ สวัสดิ์ศรี รื้อฟื้นความหลัง บอกเล่าให้พ่อของไผ่ทราบว่า พวกเราจำนวนหนึ่งเคยไปให้กำลังใจ 14 นักศึกษากันมาแล้วหนหนึ่งที่เรือนจำกรุงเทพฯ เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมสองปีก่อนหน้านี้ ใจผมยังคงกังขาอยู่กับคำว่า ‘ตระบัดสัตย์’ ที่ ‘พี่อู๊ด’ หรือพ่อของไผ่ได้ให้สัมภาษณ์ไว้สั้นๆ กับสำนักข่าวแห่งหนึ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ภายหลังศาลพิพากษาจำคุกลูกชายคนโตเป็นเวลาห้าปีในคดี 112 แต่รับสารภาพจึงลดเหลือสองปีครึ่ง ด้วยความที่อยากฟังจากปากเจ้าตัวโดยตรง ผมจึงเรียนถามขึ้นว่า “พี่อู๊ดช่วยเล่ารายละเอียดให้ฟังหน่อยสิครับ ว่าเบื้องหลังที่บอกว่ามีรายการตระบัดสัตย์อะไรนั่น มันเป็นยังไง”
น้ำเสียงและประกายตาของชายร่างกะทัดรัดผิวเนื้อดำแดง บุคลิกกร้าวแกร่ง วัยหกสิบเศษ เต็มไปด้วยความรู้สึกทั้งคับแค้นทั้งขมขื่น คละเคล้าเศร้าใจ ทว่าเพียงวูบถัดมาก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถ้อยชมเชยเจ้าลูกชายเมื่อบรรยายถึงบทที่ไผ่โต้ตอบกับคู่เจรจาต่อรอง “ไอ้ไผ่มันเก่งฉิบหายตอนไล่ถามเขา” ก่อนจะปิดท้ายในที่สุด “ก็ปิดห้องคุยกันอยู่สี่คนเท่านั้น พ่อไผ่แม่ไผ่และไอ้ไผ่กับเขา คิดดูแล้วกันว่าพวกเรามีพยานกี่คน…”
ทนายอานนท์ นำภา ดูเหมือนได้โอกาส โยนโจทย์ใหม่ให้คนเป็นพ่อและเพื่อนร่วมวงช่วยกันวิเคราะห์วิจารณ์ถึงกรณีสมควรดำเนินการขอพระราชทานอภัยโทษดีหรือไม่
ถึงตอนนี้ พี่อู๊ดไม่เพียงพรั่งพรูความในใจชนิดหมดเปลือก ทว่ายังบอกเล่าถึงความทุกข์ทุรนของคนเป็นแม่นับแต่วันที่ลูกชายถูกจับกุมคุมขังเมื่อแปดเดือนก่อน กระทั่งหลังทราบคำพิพากษาล่าสุดโดยละเอียดอีกด้วย หากสองสามีภรรยามองโลกในกรณีนี้ไปในทิศทางเดียวกันคงไม่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีลูกตุ้มเหล็กถ่วงหัวใจสักเท่าใด ทว่าเท่าที่ได้ยินได้ฟังจากปากคำของหัวหน้าครอบครัวอยู่เต็มหูในยามนั้น สารภาพตามตรงว่าวูบหนึ่งผมนึกก่นโคตรผู้มีส่วนผลักไสให้ครอบครัวบุญภัทรรักษาต้องเผชิญกับภาวะนรกคืนแล้ววันเล่าก็ว่าได้
‘โธ่เอ๋ย…’ ผมได้แต่รำพึงกับตัวเองเงียบๆ
3.
ศาลมณฑลทหารบกที่ 23 เป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมเชยๆ ตั้งอยู่ภายในบริเวณค่ายศรีพัชรินทร ขอนแก่น มีต้นไม้ให้ร่มเงาอย่างจำกัดจำเขี่ย และตั้งม้าหินไว้ไม่กี่ตัวแบบเสียมิได้
สารวัตรทหารมากนายยืนกระจายรายล้อมอาคารหลังนี้ด้วยหน้าตาบอกบุญไม่รับ ตอนที่พวกเราไปถึงราวอีกไม่กี่นาทีจะบ่ายโมงนั้น บรรดามนุษย์ลุงมนุษย์ป้าตลอดจนนักศึกษาและสื่อมวลชน บวกรวมแล้วริมร้อยชีวิตพากันมาปักหลักอยู่ก่อนจนไม่มีที่นั่ง บางท่านในจำนวนนั้นคุ้นหน้าคุ้นตาผมอยู่ อย่าว่าแต่ท่านหนึ่งขออาศัยรถตู้เรามาจากโรงแรมที่พักเดียวกัน ผมถือโอกาสชวนคุยระหว่างนั่งในรถว่าไปยังไงมายังไง ได้ความว่าเหมารถตู้กันมาสี่คันรวมสี่สิบชีวิตขาดไปหนึ่ง ออกจากกรุงเทพฯ ตอนสามทุ่ม กว่าจะถึงขอนแก่นก็ปาเข้าไปตีสี่หรือเมื่อเช้ามืดนี้เอง
ใช่, ทุกคนล้วนมุ่งมาให้กำลังใจไผ่ ดาวดิน ในคดีชูป้ายคัดค้านรัฐประหารตามที่ศาลนัดสืบพยานโจทก์ปากหนึ่งตอนบ่ายโมงครึ่งวันที่ 22 สิงหาคม ยิ่งทราบว่าหลายท่านไม่ใช่เพิ่งมาเป็นครั้งแรกเหมือนพวกเราด้วยแล้ว ผมอดละอายใจไม่ได้ เนื่องจากพอรู้อยู่ว่าฐานะทางเศรษฐกิจของเพื่อนมิตรผู้อาวุโสอย่างพี่บัณฑิต อานียา จัดว่าอัตคัดขัดสนด้วยซ้ำ
นักเขียนหนุ่มนามวิทยากร โสวัตร ส่งยิ้มร่าตรงเข้ามาหาเมื่อย่างบ่าย ก่อนหน้านี้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ผมเพิ่งได้รับแจ้งจากพวกเราบางคนว่าวิทยากรหรือเจี๊ยบเผลอไปเยี่ยมไผ่ยังเรือนจำด้วยความไม่รู้หรือเข้าใจผิดอะไรสักอย่าง
“เป็นไง ได้ข่าวว่าเฟอะฟะไปเรือนจำเลยเหรอ” ผมส่งเสียงหยอกล้อมิตรรุ่นน้อง
เจี๊ยบยิ้มเขินๆ ก่อนเล่าว่าใช้เวลาขับรถออกจากอุบลฯ มาตั้งแต่เช้า เบ็ดเสร็จแล้วร่วมหกชั่วโมงกว่าจะถึง “ไผ่มันเคยไปนอนที่ร้านผมครับพี่” ชายหนุ่มเจ้าของทรงผมหัวสิงโตหมายถึงร้านหนังสือชื่อฟิลาเดลเฟียของเขา ผมยังไม่เคยไปเยือนสักที แต่จำได้แม่นยำว่าพี่เสก (เสกสรรค์ ประเสริฐกุล) เคยบอกไว้เกินสองปีมาแล้วว่าร้านนี้ ‘น่ารักดี’
แดดต้นบ่ายร้อนบัดซบจนเหงื่อไหล ผมสาวเท้าขึ้นบันไดไม่กี่ขั้นเข้าไปในตัวอาคารศาลหมายหลบร้อน โถงกลางพื้นที่ราวยี่สิบห้าตารางเมตรมีม้านั่งยาวตั้งเรียงอยู่สองแถวทางซีกซ้าย รวมแล้วสิบตัว แต่ละตัวนั่งเบียดกันได้เต็มที่ไม่เกินห้า มันถูกยึดครองจากบรรดาผู้มาให้กำลังใจจำเลยจนไม่เหลือที่ว่าง กระนั้นก็แทบไม่มีเสียงพูดจากันแต่อย่างใด เข้าใจว่าแต่ละคนคงรู้ดีว่าสถานที่แห่งนี้มิใช่พื้นที่เปิดให้ส่งเสียงได้สะดวกปากอยู่แล้ว ตรงข้ามกับม้านั่งยาวที่ถูกจับจองโดยหมู่ญาติมิตรหรือขวามือชิดผนังจากทางเข้าอาคาร มีตู้น้ำดื่มชนิดกดตั้งอยู่ตัวหนึ่ง บนก้นถังมีถ้วยพลาสติกสีคล้ำคว่ำอยู่ใบเดียว ทหารชั้นผู้น้อยและผู้มาเยือนต่างอาศัยมันรองน้ำเย็นยกดื่มหน้าตาเฉยก่อนวางคืนไว้ก้นถังตามเดิม ลึกเข้าไปด้านเดียวกันเป็นห้องขังชั่วคราว สารวัตรทหารสองนายยืนปักหลักเฝ้าประตูห้องนี้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ขณะอีกหลายรายยืนกระจายไปทั่ว ไม่นับอีกสองยืมคุมเชิงอยู่ตรงฐานบันไดที่ทอดขึ้นไปสู่ชั้นบน ใกล้ปากประตูห้องขังตั้งโต๊ะกระดำกระด่างไว้ตัวหนึ่งพร้อมเก้าอี้มีพนักพิงอีกตัว
ระหว่างไล่ดูตารางนัดหมายประจำวันของศาลทหารบนแผ่นกระดาษหน้ากระดานติดผนังใกล้ตู้น้ำดื่ม เพียงครู่ก็พบคดีชูป้ายต้านรัฐประหารซึ่งไผ่หรือนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา อายุ 26 ตกเป็นจำเลยนั้น ถูกกำหนดให้ขึ้นศาลแห่งนี้เป็นรายการลำดับที่ 14 เวลาบ่ายโมงครึ่ง ทว่าบัดนี้ใกล้ถึงเวลานัดเต็มที แต่ยังไม่มีวี่แววว่าเจ้าหน้าที่เรือนจำจะนำตัวไผ่มาส่งเอาเสียเลย
แล้วจู่ๆ นายทหารหนุ่มหน้าขาวเนียนกว่าชาวบ้านร้านตลาดทั่วไปนายหนึ่งก็โผล่ออกมาจากห้องข้างๆ ก่อนปักหลักนั่งบนเก้าอี้หลังโต๊ะอย่างวางก้าม ผมรู้สึกคุ้นหน้าหมอนี่ แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหนเมื่อไร รู้แต่ว่าทันทีที่จ่อมก้น พ่อหน้าขาวก็ก้มหน้าก้มตาเล่นสมาร์ทโฟนโดยไม่แยแสใครทั้งสิ้น ครู่ถัดมาพลันได้ยินพี่แกส่งเสียงดังลั่นคุยกับใครสักคนที่ต่อสัญญาณเข้ามา ผมปรายหางตานึกในใจ ท่าทางพระเดชพระคุณท่านคงไม่เคยเปิดพจนานุกรมคำว่า ‘มารยาท’
เลี่ยงออกมาข้างนอก เห็นพี่สุชาตินั่งคุยกับพริ้ม บุญภัทรรักษา มารดาของไผ่ อยู่ที่โต๊ะหินใต้ร่มไม้ซ้ายมือ จึงตรงเข้าไปทักทาย เหลือบเห็นภาณุเตร่อยู่ใกล้ๆ เลยถือวิสาสะเรียกมาแนะนำตัว เพื่อให้แม่ของไผ่ได้รับรู้ว่าในยามทุกข์ยากเช่นนี้ ชั่วๆ ดีๆ ยังมีนักเขียนและคนทำสื่อกลุ่มเล็กๆ อีกจำนวนหนึ่งพร้อมเคียงข้าง
ภายหลังพูดคุยกันไปครู่หนึ่ง ผมนึกขึ้นได้ว่าหนังสือหนังหาตลอดจนบทกวีที่ตระเตรียมมาฝากไผ่ ควรทำเช่นไร ด้วยเริ่มไม่แน่ใจว่าจะมีโอกาสเข้าถึงตัวไผ่หรือไม่ เมื่อดูจากจำนวนญาติโยมที่แห่กันมาหนาตา ประกอบกับล่วงมาถึงตอนนี้ เลยเวลานัดของศาลฯ ไปแล้วพักใหญ่ ไม่มีใครทราบว่าทำไมเจ้าหน้าที่เรือนจำยังไม่นำตัวไผ่มาส่งเสียที หรือเมื่อมาถึงแล้วจะต้องเข้าห้องพิจารณาคดีทันทีหรือไม่ พี่พริ้มเสนอให้ฝากไว้กับตนน่าจะดีสุด เพราะไม่แน่ใจเช่นกันว่าวันนี้เจ้าหน้าที่จะอนุญาตให้มอบกับมือไผ่ได้โดยตรงหรือไม่
“บางครั้งก็ให้ บางทีก็ไม่ยอม” สีหน้าคนเป็นแม่เอือมระอา
ก่อนปลีกตัวลุกขึ้นไปให้ผู้สื่อข่าวแห่งอีสานเร็คคอร์ดสัมภาษณ์ พี่สุชาติถือโอกาสล้วงหนังสือเล่มโตบรรจุซองสีน้ำตาลออกจากเป้มาวางไว้บนโต๊ะรอสมทบกับของคนอื่นๆ ผมไม่ได้ถามว่าเรื่องอะไร แต่เท่าที่เห็นแวบๆ เข้าใจว่าน่าจะเป็นผลงานของกุหลาบ สายประดิษฐ์ นักคิดนักเขียนคนสำคัญของประเทศนี้ที่เคยถูกจับกุมคุมขังสมัยรัฐบาลเผด็จการ ป.พิบูลสงคราม จนติดคุกติดตะรางสองหนรวมแล้วราวห้าปี ผมเองนอกจากจะรับฝากบทกวีของประกาย ปรัชญากับเดือนวาด พิมวนา มามอบให้ไผ่อีกทอดหนึ่งแล้ว ยังมี ‘คนนอก’, ‘คนกับเสือ’ และ ‘เมืองโสมม’ มาฝากโดยตรง ลำพังชื่อเรื่องของหนังสือทั้งสามเล่มนี้ คงไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายเพิ่มเติมว่าประสงค์สื่อนัยอันใดกับไผ่
ระหว่างนั่งเป็นเพื่อนพี่พริ้มเพียงลำพัง ผมเลียบๆ เคียงๆ สอบถามสภาพความรู้สึกโดยรวมของผู้เป็นแม่ หลังจากค่ำคืนที่ผ่านมาได้รับรู้ภาวะความรู้สึกของผู้เป็นพ่อมาพอสมควร สารภาพตามตรงก็ได้ว่าผมพูดไม่ออก เมื่อมารดาของไผ่บอก “แม่รับมือคนเดียวไม่ไหว ยิ่งถ้าเกิดพ่อไผ่เป็นอะไรไปด้วยแล้ว…” ถ้าใครติดตามความเคลื่อนไหวบนหน้ากระดานเฟซบุ๊กของนายวิบูลย์ บุญภัทรรักษา ทนายอู๊ด คงสังเกตได้ไม่ยากว่าบิดาของไผ่สุขภาพไม่สู้ดีสักเท่าไร แต่ด้วยวิสัยชายชาติเสือจึงไม่นิยมฟูมฟายให้ผู้ใดต้องมาสงสารเห็นใจ
ในวินาทีนั้น ผมทำได้มากสุดเพียงยื่นมือไปบีบหลังมือเธอเบาๆ
4.
“ไผ่มาแล้ว!” เสียงใครสักคนตะโกนลั่น ทุกคู่สายตาหันไปมองยังทางเข้าศาลฯ เป็นจุดเดียว มากคนกรูกันไปยืนออแถวขั้นบันไดตลอดจนบนพื้นลานซีเมนต์แคบๆ หน้าตัวอาคารศาลฯ ซึ่งเชื่อมต่อกับถนนด้านหน้าจนแน่นขนัดภายในพริบตา
ปิคอัพสีขาวแบบสองตอนต่อเติมกระบะแบบครอบผนังและหลังคาทึบพร้อมติดตาข่ายลวดแน่นหนาตรงส่วนที่เจาะเป็นหน้าต่าง ค่อยๆ ถอยท้ายเข้ามาจนเกือบชิดบันได สารวัตรทหารสี่ห้านายขมีขมันยืนคุมเชิงแกมป้องปรามอยู่ในที เจ้าหน้าที่เรือนจำผู้ทำหน้าที่สารถีจอดรถนิ่งสนิทแล้วลงมาไขประตูด้านท้าย เปิดมันออก ก่อนไขประตูเหล็กกรุตาข่ายอีกบานด้านใน
และแล้วในวินาทีนั้น ชายหนุ่มผู้เป็นสัญลักษณ์ต่อต้านรัฐประหารครั้งล่าสุดพลันปรากฏกายในชุดเสื้อคอกลมสีน้ำตาล กางเกงขาสั้นสีโทนเดียวกันแต่เข้มกว่า สองเท้าเปลือยเปล่า ก้าวขาออกจากกรงขังเคลื่อนที่ในลักษณาการค้อมหัวหลบขอบหลังคา พลางส่งยิ้มซื่อใสยกมือไหว้บุพการีทั้งสอง
“ไงลูก…” ผู้เป็นมารดาส่งเสียงอ่อนโยนขณะก้าวลงบันได ยื่นสองแขนไปข้างหน้าเตรียมกอดรับขวัญลูกชายผู้กำลังก้าวลงมา คนเป็นพ่อสาวเท้าตามติดภรรยา ทว่าสารวัตรทหารผู้ยืนอยู่ตรงขั้นบันไดนายหนึ่งกลับขยับร่างออกอาการขัดขวาง
“เดี๋ยว… ผมทักทายลูกผมก่อน” ผู้เป็นพ่อบอกกล่าวแกมร้องขอ พลางยกมือปรามสารวัตรทหารผู้แสดงอำนาจนายนั้น แต่กลับถูกจาบจ้วงจับต้นแขนบริเวณเหนือข้อศอก ถึงจุดนี้น้ำเสียงจึงเพิ่มระดับเป็นตวาด “ผมทักทายลูกผมก่อน!” พร้อมสะบัดแขน ถลึงตาใส่อย่างไม่หวั่นเกรง
ภาพพ่อแม่ลูกกอดกันกลมในเสี้ยวนาทีถัดมา แม้ดำเนินอยู่ช่วงสั้นๆ กระนั้นก็ดูจะนำความแช่มชื่นเต็มตื้นมาสู่หัวใจบางดวงเกินกลั้น หากใครสังเกตย่อมทันเห็นความปีติชั่ววูบปรากฏเป็นรูปหยาดน้ำใสๆ เคลือบบางคู่สายตาไม่ยาก ขณะเสียงเรียกขาน ‘ไผ่ๆๆๆ…’ ดังไม่ขาดระหว่างเจ้าหน้าที่เดินประกบห้อมล้อมนำตัวชายหนุ่มใบหน้าเปื้อนยิ้มไร้แวววิตกไปเข้าห้องขังชั่วคราวขวาสุดด้านใน
แม่ของไผ่แจ้งไว้ตอนนั่งคุยกันตามลำพังแล้วว่า ก่อนลูกชายจะถูกนำตัวขึ้นศาล เธออยากให้เขามีโอกาสได้กินขนมนมเนยที่ตระเตรียมมา แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่ด้วยว่าจะกรุณามากน้อยหรือไม่แค่ไหน
คม (อธิคม คุณาวุฒิ) เรียกผมไปปรึกษาหารือโดยเกริ่นนำว่าโอกาสที่พวกเราจะถ่ายรูปอยู่ในเฟรมเดียวกับไผ่น่าจะเป็นศูนย์ ด้วยเหตุนี้จึงเสนอว่า ในขณะออกจากห้องขังชั่วคราวก่อนขึ้นศาลซึ่งจะต้องเดินผ่านหน้าต่างบานหนึ่งนั้น เราควรส่งเสียงเรียกไผ่ให้ชะโงกหน้าลงมาเพื่อจะได้ฉวยโอกาสบันทึกภาพไว้สักหน่อย พร้อมทั้งพาไปดูตำแหน่งใต้หน้าต่างบานที่ว่า ทว่าไม่ทันได้ข้อสรุป นายทหารหน้าขาวราวดาราโฆษณาครีมบำรุงผิวพลันโผล่ออกมาแทน แถมส่งเสียงขู่ ห้ามถ่ายรูปอะไรทั้งสิ้น
“จะเอาไปลงในโซเชียลมีเดียล่ะสิ ผมรู้ทันพวกคุณ ระวังเหอะ ที่นี่มีกล้องไม่รู้สักกี่ตัวเก็บรูปทุกคนไว้แล้ว” ว่าพลางชี้ไม้ชี้มือไปตามยอดไม้เสาไฟฟ้าเรื่อยเปื่อยราวกับกล้องของพระเดชพระคุณท่านมันแขวนกลืนอยู่ในอากาศมิอาจเห็นได้ด้วยสายตาธรรมดา
วินาทีนั้น ผมพลันนึกออกว่าหมอนี่คือใคร จึงถามไถ่มิตรสหายรุ่นน้อง “คมรู้จักไอ้หอกหักนี่ไหม” อธิคมส่ายหน้า ชวนให้เชื่อว่าไม่รู้จักจริงๆ ผมจึงบรรยายสรรพคุณล่าสุดที่ทำให้ชาวบ้านร้านตลาดพลอยเดือดร้อนไปทั่ว คมพยักหน้าเนือยๆ แล้วยิ้มเหยียด ไม่มีทีท่าสนอกสนใจ ก่อนจะว่า “ไร้ราคาเกินกว่าจะลดตัวไปรู้จัก”
อีกพักใหญ่ๆ ถัดมา ใครบางคนเดินมาเรียกผมกับเจ้าสำนักวิถีทางให้เข้าไปข้างในตัวอาคารศาล เราเห็นพี่สุชาตินั่งปักหลักบนเก้าอี้แถวหน้าอยู่ก่อนแล้ว ไม่ทันถามไถ่อันใด ได้ยินเสียงบิดาผู้ต้องหาคดีชูป้ายต้านรัฐประหารประกาศต่อหน้าญาติโยม “คิวถัดไป ขอความกรุณาพี่น้องให้คณะนักเขียนได้เข้าเยี่ยมไผ่ก่อนนะ” จากนั้นแจ้งกติกาให้รับทราบว่า เข้าเยี่ยมได้ทีละกลุ่ม กลุ่มละห้าคน แต่ละกลุ่มได้สิทธิ์ห้านาที ขอให้ฝากกระเป๋าและอุปกรณ์สื่อสารทุกชนิดไว้ข้างนอก
ห้องขังชั่วคราวมีขนาดพื้นที่ราวสิบห้าตารางเมตร มันถูกกั้นเป็นสองส่วนตามแนวยาวด้วยลูกกรงเหล็กตั้งฉากจากพื้นจรดเพดาน นอกจากประตูที่พวกเราเดินเข้ามาแล้ว มีหน้าต่างตรงข้ามอยู่บานเดียว พูดง่ายๆ ว่าฝั่งซ้ายด้านในลูกกรงเป็นผนังทึบทั้งสามด้าน ตอนที่พวกเราโผล่เข้าไปนั้น นายทหารหน้าเนียนไม่ทราบว่าไปแสดงอำนาจหรือเล่นสมาร์ทโฟนอยู่หนใด เห็นแต่สารวัตรทหารชั้นผู้น้อยนายหนึ่งยืนนิ่ง ทว่ามีทีท่าอารีอยู่ชิดผนังหลังโต๊ะฝั่งขวาอยู่คนเดียว
ไผ่ยืนชิดอยู่หลังลูกกรงค่อนไปทางมุมใน ส่งยิ้มร่ายกมือไหว้ทักทาย ก่อนยื่นไม้ยื่นมือออกมาจับกับทุกคน ผมสอดมือซ้ายเข้าไปในระหว่างช่องลูกกรงเหล็กตบหลังตบไหล่ ขณะมือขวากระชับแน่นกับมือข้างเดียวกันของมิตรรุ่นน้อง ได้ยินพี่สุชาติแจ้งไผ่ว่า ฝากหนังสือ ‘ศรีบูรพา’ มาให้อ่านเล่มหนึ่ง ไผ่กล่าวขอบคุณพร้อมบอกว่ามีโอกาสได้อ่านผลงานนักเขียนท่านนี้บางเล่มแล้วเช่นกัน
“สุขภาพเอ็งเป็นไงบ้างวะ” ผมเอ่ยถาม
“ดีครับพี่ ผมหมั่นออกกำลังกายตลอด” ไผ่ยิ้มยืนยัน
“ผู้คุมเขามอบหมายงานอะไรให้ทำในแต่ละวันหรือเปล่า” ผมถามใหม่ ไผ่ตอบว่ามีหน้าที่เป็นผู้ช่วยประจำโรงพยาบาล
“ถ้างั้น เอ็งควรทำตัวให้พวกพยาบาลสาวๆ มีเมตตาแล้วหละ…” ผมพูดไม่ทันจบ ทั้งที่อยากจะบอกต่อ ‘เผื่อจะได้เป็นพ่อสื่อให้ทนายน้อยมันมีเมียเป็นพยาบาลเสียทีไง’
ไผ่โพล่งทันที “มีแต่พวกผู้ชายทั้งนั้นเลยพี่” ว่าแล้วส่ายหน้า
ตลอดเวลาแห่งการสนทนา ใบหน้าชายหนุ่มยิ้มละไม ประกายตาสดใส น้ำเสียงร่าเริงไร้กังวล และแล้วเมื่อได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ประกาศเตือนว่าใกล้หมดเวลา ผมถือโอกาสถามส่งท้าย “พวกพี่มาเยี่ยมเอ็งนอกจากในนามส่วนตัวแล้ว ยังมาในฐานะนักเขียนกลุ่มหนึ่งด้วยว่ะ เอ็งมีอะไรอยากฝากไปถึงพวกนักเขียนและกวีบ้างไหม เผื่อพี่จะได้นำความไปกราบเรียนให้พระเดชพระคุณท่านทั้งหลายรับรู้รับทราบน่ะ”
“ผมได้ทำหน้าที่ของตัวเองเต็มที่แล้ว แต่พวกนักเขียนและกวีได้ถามตัวเองบ้างไหม ว่าได้ทำหน้าที่ของตัวเองเต็มที่แล้วหรือยัง” ไม่เพียงตอบทันที หากไผ่ยังยิ้มพรายเต็มใบหน้า ผมค่อนข้างแน่ใจว่ารอยยิ้มนั่นมิได้ซื่อใสไร้เดียงสา หากแฝงนัยตรงข้ามอยู่ในทีมากกว่า
อธิคมคงจับสังเกตได้ไม่ต่าง ไม่เช่นนั้นคงไม่หัวเราะ ก่อนกระเซ้า “ไม่วายกวนอวัยวะใช้เดินนะเรา”
5.
โครงการยกคณะมาเยี่ยมไผ่ภายใต้การนำของสุชาติ สวัสดิ์ศรี หนนี้ โดยข้อเท็จจริงแล้ว พวกเราหารือกันมานานเต็มที แต่กว่าทุกคนจะว่างตรงกัน ไผ่ก็ถูกจองจำปาเข้าไปแปดเดือนแล้ว อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรื่องหนึ่งซึ่งรบกวนจิตใจผมครั้งแล้วครั้งเล่าเท่าที่ติดตามสำรวจตรวจสอบข่าวคราวอยู่เป็นระยะๆ ก็คือ แทบไม่ปรากฏนักเขียนและกวีผู้มีชื่อเสียงระดับประเทศคนใดแสดงออกผ่านสื่อในแง่ให้กำลังใจไผ่ ดาวดิน เอาเสียเลย
ผมไม่อยากเชื่อหรอกว่า นักเขียนและกวีจำนวนไม่น้อยในประเทศนี้ พากันเห็นดีเห็นงามกับความอยุติธรรมที่ฟาดลงบนกบาลไผ่โครมใหญ่ จนไม่เหลือใจใคร่มาเยี่ยมหรือแสดงออกบอกกล่าวถึงความเห็นอกเห็นใจ ในเมื่อท่านทั้งหลายเหล่านั้นเคยสื่อนัยผ่านงานเขียนให้รับรู้มาแล้วนักต่อนักว่าต่างรังเกียจชิงชังความอยุติธรรมในสังคมด้วยกันทั้งสิ้น
มันคงต้องมีเงื่อนปมอะไรแน่ๆ ที่ผมเองก็ยังถอดรหัสไม่ออก กระทั่งเคยนำความเรื่องนี้ไปขอใช้บริการทางปัญญาของเพื่อนมิตรในแวดวงสื่อสารมวลชนท่านหนึ่งให้ช่วยวิเคราะห์วิจารณ์ เผื่อจะช่วยให้หูตาสว่างขึ้นมาบ้าง ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับทำให้ยิ่ง ‘ไปไม่เป็น’ หลังจากสู้อุตส่าห์ร่ายยาวให้เพื่อนเห็นถึงปรากฏการณ์ในแวดวงวรรณกรรมไทยภายใต้การจุติของ ‘ลุงกำนัน’ อันยากจะปฏิเสธได้ว่า นักการเมืองส่วนใหญ่ในบ้านเราจัดว่าด้อยคุณภาพจริงๆ แต่ถึงแม้เป็นเช่นนั้น มันมีเหตุผลที่ดีอันใดเล่าที่เหล่าเขาจึงกระหยิ่มยินดีปรีดากับการเข้ามา ‘รับไม้ต่อ’ โดยผู้บัญชาการกองทัพบกและคณะ
ประเด็นก็คือ ถึงที่สุดแล้วบรรดานักเขียนและกวีส่วนใหญ่ในบ้านเรา ต่างรังเกียจนักการเมืองจนพลอยชิงชังระบอบประชาธิปไตยไปด้วยใช่หรือไม่ เช่นนี้แล้ว มันมิหมายความว่าแยกแยะกันไม่ออกเลยหรือไรว่ามันเป็นคนละส่วน หรือเอาเข้าจริงเพราะฝักใฝ่ในระบอบอำนาจนิยมผสมวาดหวังว่าจะมีอัศวินขี่ม้าขาวมาเนรมิตบ้านเมืองตามตัณหาเบื้องลึกกันแน่ ถ้าเช่นนั้นจะอธิบายอย่างไรกับการผลิตซ้ำในแง่นี้ของผู้นำกองทัพที่ทำให้ประเทศไทยติดอันดับโลกไปแล้วกับการทำรัฐประหาร กล่าวคือ แล้วมันมีจริงไหมล่ะ?
พูดก็พูดเถอะ ผมตระหนักดีว่าบรรดานักเขียนและกวีในบ้านเรานั้นไม่ได้มีพลังทางปัญญาต่อสังคมสักเท่าใดอยู่แล้ว กระนั้นยังอดมุ่งหวังมิได้ว่า ถ้ารู้จักที่จะพิทักษ์หลักการประชาธิปไตยไว้ให้มั่น นานวันผ่านไป ผู้คนในคืนวันข้างหน้าจะย้อนกลับมาแลเห็นเองว่า อย่างน้อยที่สุดในยามที่สังคมไทยถูกเหล่าอภิชนรวมหัวกันปล้นสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคไปแล้วจนสิ้นนั้น ยังพอเหลือผู้คนกลุ่มซึ่งประกอบสัมมาอาชีวะโดยอาศัยหลักการพื้นฐานดังกล่าวเป็นเครื่องมือทำงาน พร้อมจะยืนหยัดต่อต้านอำนาจเผด็จการเฉกเช่นกลุ่มนักเขียนนักคิดในรุ่นกุหลาบ สายประดิษฐ์ ได้สาธิตให้ประจักษ์มาแล้ว แต่สภาพความเป็นจริงของเหล่านักเขียนและกวีส่วนใหญ่เท่าที่ผมพอจะรับรู้อยู่บ้างจวบจนถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะในแง่จุดยืนทางสังคมการเมือง ยากจะปฏิเสธได้ว่าไม่เป็นอริต่อแนวคิดกับบรรพบุรุษในสาขาวิชาชีพของตนอย่าง ‘นายผี’, ‘เปลื้อง วรรณศรี’, ‘จิตร ภูมิศักดิ์’, ‘สุภา ศิริมานนท์’, ‘เสนีย์ เสาวพงศ์’ และ ฯลฯ โดยตรง
ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ มีหรือที่ผมจะไม่อยากรู้ว่า แท้แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับเหล่านักเขียนและกวีร่วมสมัยส่วนใหญ่ที่พากันหันเหไปสมาทานลัทธิอำนาจนิยมเป็นคำตอบของสังคม ทว่าเพื่อนมิตรผู้ถูกผมขอใช้บริการทางปัญญาท่านนั้นกลับมีสีหน้าเอือมระอาอย่างเห็นได้ชัดก่อนตัดบท ‘ไปเสียเวลาให้ราคากับพวกขยะฉุยฉายถ่ายปฏิกูลทำม้าย…’
ระหว่างเดินทางกลับ ผมถูกจัดให้นั่งกลางแถวสองติดพี่เชื้อ ‘จอมเกรียนแห่งวงวรรณกรรมไทย’ โดยมีวาด รวี ทำหน้าที่คุมหลังอยู่กับพี่อากร ภูวสุธรและเพื่อนมิตรอีกคน ขณะวีระพงษ์ สุนทรฉัตราวัฒน์ รับบทเป็นเพื่อนโชเฟอร์นั่งหน้า แถวถัดมาโกวิท โพธิสาร ‘งัวงานแห่งเว็บฯ เวย์’ นั่งเคียงคุณชายเจ้าของนวนิยายล่าสุด ‘ลมละเมอ’ อย่างทินกร หุตางกูร
โดยข้อเท็จจริงแล้ว กว่าพวกเราจะได้ฤกษ์ออกเดินทางก็ภายหลังตะวันตกดินไปไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมง กล่าวอย่างย่นย่อก็คือ พวกเราส่วนหนึ่งถูกจัดให้เข้าไปนั่งฟังการซักค้านพยานโจทก์ในห้องพิจารณาคดีซึ่งมีที่นั่งรองรับได้ไม่เกิน 15 ก้น มีโอกาสได้เห็นลวดลายกวนอวัยวะใช้เดินของ ‘ทนายน้อย’ อานนท์ นำภา พอสมควรแก่เหตุ ถัดจากนั้นจึงพากันยกโขยงไปหาของคาวของขมกล่อมอารมณ์ในร้านอาหารบ้านๆ หลังมหาวิทยาลัยขอนแก่น ก่อนร่ำลาเมื่อเวลาล่วงผ่านสองทุ่ม
เนื่องเพราะนั่งติดกันกับพี่สุชาติ ผมจึงถือโอกาสถามไถ่สนทนาสารพัดเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นสภาพจิตโดยรวมของนักเขียนและกวีร่วมสมัย ว่าเราเห็นเหมือนหรือต่างกันแค่ไหนอย่างไร หวยศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ปีนี้ที่มีข่าวกระเส็นกระสายมาเข้าหูว่าจัดวางตัวกันไว้แล้ว ตลอดจนอนาคตของประเทศนี้ที่ยังมองไม่ออกว่าจะเป็นเช่นไรในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า รู้แค่ว่าน่าหวั่นวิตกสิ้นดี
แน่ละว่า หนึ่งในบรรดาหัวข้อสนทนาของเราระหว่างรถแล่นฝ่าความมืดไปข้างหน้านั้น ย่อมไม่พ้นวกกลับมายังเรื่องราวของไผ่ ดาวดิน ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
ยิ่งดึก เพื่อนร่วมทางยิ่งม่อยหลับลงทีละรายสองราย ความเงียบย่างกรายเข้าครอบครองทุกอณูในรถตู้ สองข้างทางบางช่วงมืดสนิทจนมองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากสีดำ เช่นเดียวกับหนทางข้างหน้าซึ่งแสงไฟรถฝ่าไปไม่ถึง
ผมพลันหวนระลึกนึกถึงบางถ้อยวลีจากนวนิยายเรื่องหนึ่งขึ้นมาในวินาทีนั้น ความว่า ทุกชีวิตต้องผ่านห้วงยามมืดมิดที่สุดไปเสียก่อน จึงจะได้ลิ้มรสแสงแรกแห่งอรุณ ขณะห้วงนึกวนเวียนอยู่กับน้ำหนักแห่งทุกข์ที่หล่นทับชีวิตผู้คนบนแผ่นดินนี้นับไม่ถ้วน หนักเบาแตกต่างกันไป ในขณะเดียวกันนั้นมีผู้คนแค่หยิบมือเดียวที่เสวยสุขตลอดมาโดยแท้
เหลือบมองเพื่อนรุ่นพี่ซึ่งนั่งชิดติดกันขวามือ กว่าสามทศวรรษที่มีโอกาสรู้จักคบหาสมาคม นี่คือหนึ่งในจำนวนไม่ถึงนิ้วมือข้างเดียวที่ผมไม่เพียงยกมือไหว้ได้อย่างสนิทใจมาแต่ไหนแต่ไร หากยังเป็นหลักมั่นคงของวงการวรรณกรรมไทยตลอดมาอย่างน่านับถือที่สุดอีกด้วย ยามนี้ดูเหมือนพี่สุชาติจะจมอยู่กับภวังค์ส่วนตัว
“เราต้องมีหัวใจแบบไหน ถึงจะรับมือกับมันไหวเหมือนพ่อแม่ของไผ่ที่ลูกต้องติดคุกติดตะรางอันเนื่องมาแต่ความอยุติธรรม ยิ่งในกรณีของเหน่ง พันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ ที่ลูกชายวัยสิบเจ็ดถูกยิงจนเสียชีวิตด้วยแล้ว…”
ผมกึ่งถามกึ่งรำพึงกับพี่เชื้อที่เคารพรัก ขณะเรากำลังฝ่าความมืดไปด้วยกัน.