บทความชวนดูงานศิลปะและนวัตกรรมจากโลกที่หนึ่ง ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีให้สังคมและชีวิตคน ผ่านสายตานักออกแบบมัลติมีเดียจากโลกที่สามในนามกลุ่ม Eyedropper Fill
Eyedropper Fill เรื่อง
เราเคยผ่านตาแคมเปญรณรงค์ยุติความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ มามากมาย เราต่างพยักหน้าเห็นด้วยว่าความรุนแรงเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นไม่ว่ากับใคร แต่สำหรับคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ร่วมกับความรุนแรง จะมีสักกี่คนที่สามารถจินตนาการได้ว่าความรุนแรงที่ว่านั้น ‘รุนแรง’ ขนาดไหน และมากไปกว่าความเจ็บปวดและเสียหายทางร่างกาย ความรุนแรง ทำงานกับ ‘จิตใจ’ ของเราอย่างไร ?
Violent Event˟ คือการแสดงระดับมาสเตอร์พีซจาก Verena Billinger และ Sebastian Schulz หรือ Billinger & Schulz ที่เชื้อเชิญผู้ชมเข้าไปสำรวจและมีประสบการณ์ร่วมกับความรุนแรงแบบตาต่อตา จัดแสดงครั้งแรกเมื่อปี 2015 และในปีนี้ การประชุมนานาชาติทางศิลปะการแสดงแห่งกรุงเทพมหานคร (Bangkok International Performing Arts Meeting) หรือ BIPAM ได้ยกการแสดงชิ้นนี้มาให้เราชาวกรุงเทพฯ ได้มีโอกาสเป็นสักขีพยานของความรุนแรงกันเป็นจำนวน 3 รอบ เมื่อวันที่ 17-19 ตุลาคมที่ผ่านมา ณ โรงละคร HOST BKK
Violent Event˟ คือการแสดงที่เราเรียกว่าการแสดงได้ไม่เต็มปาก เพราะสิ่งที่นักแสดงทั้งสี่ ผู้รับบทเป็น Sheena , Frank , Patricia และ Challenge ทำกันบนเวที ดูเหมือนเป็น ‘กิจกรรมทดสอบความเจ็บปวด’ มากกว่า และแน่นอน ทั้งหมดเล่นจริง เจ็บจริง !
โชว์เริ่มต้นและดำเนินไปด้วยการที่นักแสดงผลัดกัน ‘ทำร้าย’ อีกฝ่าย ด้วยกิจกรรมที่เริ่มต้นอย่างซอฟต์ๆ เช่น ปล่อยลูกบาสใส่หลังและหน้าท้อง เดาะลูกบาสกับหน้าผากอีกฝ่าย แล้วค่อยๆ ไต่ระดับไปจนถึงการผลัดกันตบหน้า สลับกันชกท้อง หรือผลักให้ล้ม
ในขณะที่นักแสดงท้าทายว่าจะทนกับความเจ็บปวดไปได้ถึงตรงไหน เราในฝั่งคนดู การได้นั่งมองความรุนแรง แม้จะเป็นความรุนแรง แม้ในระดับ ‘เบๆ’ อย่างการตบหน้าหรือตุ๊ยท้อง ก็ทำให้เรา ‘รู้สึก’ จนหลายครั้งแอบเกร็งหน้าและเกร็งท้องตาม พูดง่ายๆ คือ เจ็บแทน เพราะชีวิตจริงของเราอาจไม่เคยนั่งมองการทำร้ายกันแบบต่อหน้า และยากที่จะหันหนีแบบนี้มาก่อน
กิจกรรมทดสอบความเจ็บปวด เป็นเพียงด่านแรกให้คนดูอย่างเราสำรวจความรุนแรงที่ทำงานกับระดับ ‘กายภาพ’ ด้วยการให้เราจินตนาการถึงความรู้สึกเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับนักแสดง ก่อนที่การแสดงจะขยับไปสู่ ความเป็น ‘เกม’ ที่เล่นกับจิตใจ
นักแสดงผู้หญิงถูกจับมัดมือเท้า และครอบหัวด้วยถุงพลาสติกใส จากสีหน้าก็พอจินตนาการได้ว่าเธอหายใจลำบาก ไม่พอแค่นั้น เธอถูกปล่อยทิ้งไว้กลางเวที ในขณะที่เธอนอนพะงาบ นักแสดงผู้ชายจับคู่กัน บอกให้อีกฝ่ายนอนลง นำผ้าขนหนูวางลงบนหน้า เริ่มเทน้ำใส่ และเทไปจนกว่าอีกฝ่ายจะไม่ไหวและยกมือร้องขอชีวิต แต่เดี๋ยวนะ ก่อนพี่จะยกมือ เราเกือบตะโกนไปว่า พอ ! ไม่อยากเห็นคนตายกลางเวทีโว้ย !
นักแสดงหญิงหยิบไม้เบสบอลและสั่งให้นักแสดงชายเอาหมอนใส่ในเสื้อ ส่วนนักแสดงที่เหลือนำลูกบาสมาเดาะกับพื้นสร้าง ‘เสียงประกอบฉาก’ เพิ่มความลุ้น ก่อนเธอจะหวดไม้ลงบนลำตัวเพื่อนนักแสดงแบบสุดแรง แม้จะมีหมอนรับไว้ แต่ก็ไม่อยากเชื่อว่าจะไม่เจ็บ
‘เกมความรุนแรง’ ไม่เพียงทำให้คนดูหัวใจเกือบหยุดเต้นเพราะลุ้นตาม แต่บางขณะเราพบว่าตัวเองก็แอบ ‘เอ็นจอย’ กับบรรยากาศตื่นเต้นของเกมไปด้วย จากการสำรวจความรุนแรงในระดับของกายภาพในพาร์ทแรก ในพาร์ทนี้ การแสดงได้พาเราลงไปสำรวจว่าความรุนแรง ‘เล่น’ กับจิตใจของเราในรูปแบบไหนบ้าง
Violent Event˟ นอกจากจะพาเราไปสำรวจจิตใจตัวเองผ่านประสบการณ์ร่วมกับความรุนแรงรูปแบบต่างๆ ตรงหน้า ยังพูดถึงประเด็นที่น่าสนใจมากๆ อีกอย่าง นั่นคือการนำเสนอความรุนแรงผ่าน ‘สื่อ’
จอทีวีที่ตั้งใจวางไว้กลางเวที ตัดภาพผู้คนยิ้มแย้มโบกมือทักทายขึ้นมาเป็นระยะ ราวกับชวนให้เราคิดถึงความรุนแรงบางอย่างที่ไม่ได้อยู่กับเราแค่ตรงหน้า แต่คือรูปแบบความรุนแรงที่แฝงตัวอยู่ในนั้น – จอทีวี , หนังสือพิมพ์ , คอมพิวเตอร์ หรือหน้าจอสมาร์ทโฟนในมือของเรา
หลายครั้งระหว่างนั่งชมการแสดงชิ้นนี้ ชวนให้คิดถึง Funny Games ภาพยนตร์ในปี 1997 โดย Michael Haneke ที่พูดถึงประเด็นความรุนแรง ที่สื่ออย่างทีวีนำมาเสิร์ฟให้ครอบครัวของคุณถึงบ้านทุกเช้า
เทคนิคที่โดดเด่นภายใต้การออกแบบฉากที่ดูเรียบๆ ของ Violent Event˟ คือม่านพลาสติกสีข่าวขุ่นที่จงใจเลื่อนลงมาในบางครั้ง บังสายตาของเราจากความรุนแรงที่กำลังเกิดขึ้นบนเวที ภาพที่เห็นเมื่อมองผ่านฉากขุ่น คล้ายภาพความรุนแรงที่ถูกเซ็นเซอร์ในทีวี อีกเทคนิคที่ชอบมาก คือตอนที่นักแสดงนำแผ่นสะท้อนแสงสีทองมาคลุมตัวและดิ้นไปมาราวจะขาดใจ ภาพและเสียงเมื่อมองผ่านม่านเซ็นเซอร์ ดูคล้ายกำลังถูกไฟลุกท่วมตัวอยู่จริงๆ
Violent Event˟ เริ่มจากพาเราสำรวจความรุนแรงในชีวิตประจำวันที่สร้างความเสียหายทางร่างกาย ไต่ระดับสู่ความรุนแรงที่เล่นเกมกับจิตใจ ไปถึงความรุนแรงที่ถูกนำเสนอผ่านสื่อ และในช่วงสุดท้าย นักแสดงที่ยืนกลางเวที อ่านบทกวีที่ชวนคนดูอย่างเราคิดไปถึง สงคราม , การก่อการร้าย , สังหารหมู่ , การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หรือแม้กระทั่งฉากความรุนแรงและการสังเวยชีวิตในพระคัมภีร์ของศาสนา
นี่คือรูปแบบของความรุนแรงที่สร้างผลกระทบมหาศาล ที่เราเองอาจไม่เคยฉุกคิดถึง – ความรุนแรงที่สร้างขึ้นเพื่อสร้างและเผยแพร่ ‘ความกลัว’ ให้คน
ในหนังสือแห่งยุคอย่าง 21 Lessons for the 21st Century เขียนโดย ยูวัล โนอาห์ แฮรารี พูดถึงการก่อการร้ายที่เกิดขึ้นในศตวรรษนี้ ว่ามันคือ ‘เครื่องมือในการควบคุมจิตใจมนุษย์ที่มีประสิทธิภาพที่สุด’ เราอยู่ในโลกที่เชื่อมโยงกันด้วยสื่อหลากหลาย เราส่งสารหากันได้ในเวลาเสี้ยววินาทีผ่านสัญญาณอินเตอร์เน็ต การฆ่าคนเพียงหยิบมือสามารถสร้างความตื่นกลัวให้กับผู้คนเป็นพันล้านได้ในเวลาไม่ทันพ้นวัน
ในหนึ่งปีมีผู้เสียชีวิตจากการก่อการร้ายในยุโรปประมาณ 50 คน (เทียบกับผู้เสียชีวิตจากกอุบัติเหตุบนท้องถนนที่มีถึง 80,000 คน) แต่สามารถสร้างมวลพลังงานแห่งความกลัวปกคลุมทั้งโลกได้
ความรุนแรงของการก่อการร้าย จึงเปรียบเสมือน ‘การแสดง’ ที่มุ่งหวังให้ผู้ชมอย่างเราเกิดความกลัว และผลประโยชน์ที่เกิดจากความกลัว คือเป้าหมายของความรุนแรงรูปแบบนี้
นักแสดงผิวสีอาบด้วยโคลนและเลือดปลอมถูกลากมาที่กลางเวที ม่านหมอกเซ็นเซอร์เลื่อนลง นักแสดงอีกคนเล็งปืนเพนท์บอลไปที่เขา มีภาพพร่ามัวตรงหน้า บวกเสียงรัวของปืนสี เสียงเพลง Dance the Mussolini ดังขึ้น ม่านถูกเปิดออก มีเพียงรอยกระสุนสีส้มบนผนังขาว นักแสดงสี่คนออกมาเต้นในท่าทางของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ , มุสโสลินี และพระเยซูถูกตรึงกางเขน ตามคำร้องในเนื้อเพลง
นาทีสุดท้ายของการแสดง คือท่าเต้นสนุกสุดเหวี่ยงปนกับท่าทางของความรุนแรง เสียงเพลงชวนโยก ขัดแย้งกับพื้นเวทีที่เลอะไปด้วยโคลนและเลือด
ความรุนแรง กำลัง ‘เล่น’ กับเราในแบบไหน
มันทำให้เรารู้สึกเจ็บปวด เห็นอกเห็นใจผู้ถูกกระทำ
หรือมันทำให้เราสนุกสนานเพลิดเพลิน
หรือมันกำลังทำให้เราตกอยู่ใน ‘ความกลัว’ จนไม่กล้าทำอะไร
เราอาจลองใช้คำถามนี้ ถามตัวเองในขณะมองความรุนแรงที่เกิดรอบตัวในวันนี้ดู
ภาพ : https://billingerundschulz.de