รัฐที่ไม่ (ต้อง) พัฒนา เพราะใช้งานอาสาเป็นเกราะกำบัง

รัฐที่ไม่ (ต้อง) พัฒนา เพราะใช้งานอาสาเป็นเกราะกำบัง

ฉัตร คำแสง และเชษฐพันธุ์ ใจเปี่ยม เรื่อง

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2560 โครงการก้าวคนละก้าวได้สร้างปรากฏการณ์ระดับประเทศ พี่ตูน บอดี้สแลมวิ่งจากสุดเขตแดนใต้สู่สูงสุดแดนสยาม เพื่อระดมเงินบริจาคไปซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้แก่โรงพยาบาล 11 แห่งทั่วประเทศ ในวันนั้น เสียงชื่นชมพี่ตูนในฐานะฮีโร่ของสังคมไทยดังไปทั่วสารทิศ

เราต่างหวังว่าความพยายามที่ยิ่งใหญ่ครั้งนั้นจะช่วยแก้ปัญหาให้กับโรงพยาบาลได้ จากการช่วยเหลือเฉพาะจุด การชี้ให้ทุกคนเห็นถึงปัญหาในการบริหารจัดการระบบ และการจุดประกายให้ภาครัฐเริ่มพัฒนาระบบสาธารณสุขอย่างเข้มข้นถึงโครงสร้าง เพื่อไม่ต้องแบมือรอรับบริจาคอีก

แต่วิกฤตโควิด-19 ก็นำพาภาพเดิมๆ กลับมาอีก เราเห็นเอกชนเข้ามาช่วยเหลือภาครัฐอีกครั้ง ไม่เพียงระดมเงินบริจาค แต่ยังเข้ามาเสริมบริการสาธารณสุขของภาครัฐ ตั้งแต่ต้นน้ำอย่างการหาจุดตรวจเชื้อ การหาเตียง และรับ-ส่งผู้ติดเชื้อ กลางน้ำอย่างการจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์และถังออกซิเจน ไปจนถึงปลายน้ำอย่างการประสานหาฌาปนสถาน เราเห็นตัวอย่างของเอกชนหลากหลายฝ่าย เช่น กลุ่มเส้นด้าย เพจเราต้องรอด และมูลนิธิอิสรชน [1] รวมไปถึงกลุ่มอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งเราขอชื่นชมบุคคลเหล่านั้นที่อุทิศตนเพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวมจากใจจริง

เมื่อต้นทุนในการรอให้ภาครัฐแก้ไขปัญหาหมายถึงชีวิตของตัวเอง คนรู้จักหรือเพื่อนร่วมชาติที่ต้องสูญเสียไป การยอมลงมือช่วยเหลือกันเองจึงกลายเป็นทางเลือกที่ถูกต้องตามตรรกะ

แต่มันก็ทำให้เรานึกถึงคำพูดของ Henning When ซึ่งเป็นที่แพร่หลายมากในโลกอินเทอร์เน็ต ช่วยให้เราฉุกคิดว่างานจิตอาสาและการกุศลนั้นแสดงให้เห็นถึง ‘ความไร้น้ำยาของภาครัฐ’

ที่มา: https://www.facebook.com/CatDumbNews/photos/a.738940689482056/4386530594723029/

แม้เจตนาที่ดีของเหล่าอาสาสมัครมีศักยภาพในการพัฒนาสังคมอยู่มาก แต่ก็มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าการเข้ามาของเอกชนสามารถทำให้สถานการณ์แย่ลงได้ในหลายระดับ ตั้งแต่การลดประสิทธิภาพการทำงานของภาครัฐลง ไปจนถึงการลดทอนแรงจูงใจให้รัฐดำเนินนโยบายช่วยเหลือประชาชนส่วนใหญ่อย่างจริงจัง

วันนี้เราอยากชวนทุกท่านทำความเข้าใจว่างานการกุศลแบบไหนที่อาจส่งผลเสียมากกว่าผลดี มันเกิดขึ้นได้อย่างไร หรืออยู่ในบริบทแบบใด และมันมีนัยยะอะไรต่อการดำเนินนโยบายของรัฐไทย

เมื่อความช่วยเหลือจากประชาสังคมเข้าทดแทนการทำงานของรัฐ

ยูกันดาซึ่งเป็นประเทศยากจนที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีปัญหาสาธารณสุขรุมเร้าอย่างมาก ทั้งอัตราการเสียชีวิตของเด็กสูงเป็นลำดับต้นๆ ของโลก เช่น ทารกแรกเกิดเสียชีวิต 30 คน ต่อ 1,000 คน ทารกเสียชีวิต 66 คน ต่อ 1,000 คน และเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีเสียชีวิต 111 คน ต่อ 1,000 คน

แน่นอนว่าสาเหตุสำคัญก็คือการขาดแคลนระบบสาธารณสุขและบุคลากรทางการแพทย์ที่จะเข้าไปดูแลประชากร 24 ล้านคนในขณะนั้นได้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ พอรัฐทำเองไม่ไหว ก็จ้างประชาชนเข้ามาเป็นสาธารณสุขของภาครัฐตั้งแต่ปี 2001 แต่กว่าจะได้เริ่มดำเนินการก็จริงก็ในปี 2009 เนื่องจากขาดแคลนงบประมาณ

ในปี 2010 [2] พบว่าภาครัฐสามารถสรรหาอาสาสมัครได้เพียง 57% ของหมู่บ้านทั้งหมด ส่วนในหมู่บ้านที่เหลือนั้น ภาครัฐไม่สามารถสรรหาอาสาสมัครได้ เนื่องจากคนที่สมัครเข้ามาไม่ผ่านคุณสมบัติ หรือคนที่มีคุณสมบัติก็ไม่สมัครเพราะให้ค่าแรงต่ำ

บรรดา NGO เล็งเห็นปัญหาดังกล่าว และหวังดียื่นมือเข้าไปช่วยเหลือภาครัฐ ให้บริการสาธารณสุขแก่ประชาชนโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

ในหมู่บ้านที่ไม่มีอาสาสมัครสาธารณสุขของภาครัฐ การเข้าไปของ NGO ช่วยให้ประชาชนมีโอกาสเข้าถึงบริการสาธารณสุขเพิ่มขึ้น 31.1% นอกจากนี้ บริการสาธารณสุขของ NGO อาจมีคุณภาพสูงกว่าภาครัฐเสียด้วยซ้ำ เนื่องจากมีการฝึกอบรมอาสาสมัครมากกว่าภาครัฐ เช่น อาสาสมัครของ NGO ต้องผ่านการอบรมขั้นต้นเป็นเวลา 14 วัน (ขณะที่ภาครัฐใช้เวลา 5 วัน) และยังต้องเข้ารับการอบรมทบทวนเป็นประจำทุกเดือน

หมู่บ้านที่ NGO ลุยเดี่ยวยังพัฒนาได้ขนาดนี้ แล้วถ้า NGO ร่วมมือกับรัฐในการให้บริการในหมู่บ้านอื่น ระบบสาธารณสุขก็น่าจะยิ่งดีขึ้นอย่างก้าวกระโดดเลยใช่ไหม? สองหัวมันก็ย่อมต้องดีกว่าหัวเดียวอยู่แล้ว?

น่าเสียดายว่าสัญชาตญาณนี้ไม่เกิดขึ้น แม้ว่าเราอยากให้มันเป็นจริงสุดๆ ผลลัพธ์ด้านสาธารณสุขกลับแย่ลงอย่างเห็นได้ชัดในหมู่บ้านที่มีอาสาสมัครสาธารณสุขของภาครัฐอยู่ก่อนแล้ว เพราะการช่วยเหลือของ NGO ได้ลดบทบาทการทำงานของรัฐลง (crowding out effect)

เมื่อเห็นว่า NGO ให้บริการที่ซ้ำซ้อนกับภาครัฐ รัฐก็ตัดสินใจถอนอาสาสมัครสาธารณสุขของรัฐออกไปเมื่อมี NGO เข้าไปทำงาน สุดท้าย โอกาสการเข้าถึงบริการสาธารณสุขน้อยลงจาก 59% เหลือเพียง 45%

ที่มา: Deserranno, Nansamba, and Qian (2020), ผู้เขียน

นี่มันเกิดอะไรขึ้น?

สาเหตุสำคัญหนึ่งคือ NGO เหล่านี้ก็มีทรัพยากรจำกัด การดำเนินงานด้านสาธารณสุขแม้จะมาทำด้วยใจ ก็ยังต้องใช้เงินดำเนินการ พวกเขาจึงต้องดำเนินธุรกิจอื่นๆ ประกอบไปด้วย เช่น การขายสินค้าเพื่อระดมเงินมาดำเนินงาน ทำให้ NGO เสียสมาธิกับการประคององค์กรไปด้วย

ทั้งนี้ งานศึกษายังพบว่าบริการสาธารณสุขของ NGO เข้าถึงประชาชนที่มีรายได้ต่ำน้อยกว่าของภาครัฐ ในหมู่บ้านที่มี NGO ครัวเรือนยากจนเข้าถึงบริการสาธารณสุขโดยรวม น้อยกว่า ครัวเรือนไม่ยากจนถึง 13.6% แต่ในหมู่บ้านที่ไม่มี NGO ครัวเรือนยากจนกลับมีโอกาสเข้าถึงบริการสาธารณสุขโดยรวม มากกว่า ครัวเรือนไม่ยากจน 15.2%

ขณะเดียวกัน การเข้าไปในพื้นที่จึงเป็นการแย่งอาสาสมัครสาธารณสุขของภาครัฐด้วยการให้ค่าแรงที่สูงกว่า เพราะ NGO ต้องการบรรลุเป้าหมายที่ตนตั้งไว้ แต่ว่าคนที่มีความสามารถในแต่ละพื้นที่ก็อย่างจำกัด สุดท้าย ภาครัฐก็เลือกที่จะถอยด้วยการลดคนของตน โดยไม่ได้พยายามแก้ปัญหาให้ถึงราก

ย้อนกลับมาที่ประเทศไทยในปัจจุบัน เราเห็นเพจ Facebook หรือกลุ่มจิตอาสาต่างๆ เข้ามามีบทบาทในการช่วยหาเตียงรักษาผู้ป่วยโควิด-19 เพราะเขาเล็งเห็นว่าสายด่วนของภาครัฐมีคู่สายให้บริการจำนวนน้อย โทรติดยาก แต่ก็เป็นการให้บริการที่ทับซ้อนกันและมีหลายช่องทาง

สุดท้ายเมื่อบ้านไหนติดโควิด การปฏิบัติจริงก็คือไปรวบรวมช่องทางต่างๆ ในการหาเตียงและไล่ติดต่อไปในทุกช่องทางเหล่านั้น แม้ว่าจะมีคนรับสายและอาจมีความช่วยเหลือเบื้องต้นมาที่บ้าน แต่ก็ยังคงต้องรอเตียงอยู่

ความลักลั่นก็คือเอกชนเหล่านั้นก็ต้องกลับมาประสานงานกับหน่วยงานรัฐในท้ายที่สุด เพราะเตียงรักษาโควิด-19 โดยไม่มีค่าใช้จ่ายนั้นเป็นบริการของภาครัฐ แทนที่ทุกอย่างจะจบภายในหนึ่งระบบ กลายเป็นว่าจะต้องบริหารงานจากหลายระบบแทน โดยที่ระบบหลังบ้านของรัฐก็ยังเป็นคอขวดอยู่ดี

การเข้ามาของเอกชนจึงอาจแก้ปัญหาได้ในเบื้องหน้า แต่ก็ลดความจำเป็นที่รัฐจะต้องพัฒนาตัวเอง ซึ่งยังทำให้ระบบการหาเตียงนี้ไม่ได้มีประสิทธิภาพอย่างที่ควรจะเป็นอยู่ดี

แรงจูงใจของภาครัฐที่ขาดหายไป

ถึงตรงนี้อาจจะมีคำถามในใจว่า แล้วทำไมภาครัฐถึงไม่พัฒนาตัวเอง หรือถ้ามันยากนักก็ให้เอกชนเข้ามาทำแทนเสียเลยไหม?

นักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักส่วนใหญ่เชื่อว่าตลาดหรือเอกชนมีประสิทธิภาพสูงกว่ารัฐบาล เพราะด้วยแรงจูงใจที่ชัดเจนทำให้การทำงานมุ่งสู่เป้าหมายอย่างเต็มที่ อย่างการหาเตียงรักษาโควิด-19 ในโรงพยาบาลเอกชนนั้นเป็นเรื่องที่เรียบง่ายกว่าโรงพยาบาลรัฐบาลมาก ขอแค่เพียงคุณนำเงินหลักแสนมาวางมัดจำให้เขาก่อน คำถามสำหรับการได้เตียงจากโรงพยาบาลเอกชนจึงไม่ใช่ว่าคุณเป็นใคร หรือทำงานมีประสิทธิภาพแค่ไหน แต่คือคุณมีเงินมากพอหรือไม่

ดังนั้น คนยากจนจึงถูกกันออกจากบริการสาธารณสุขเอกชนเป็นจำนวนมาก การมีอยู่ของภาครัฐจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำให้บริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพกลายเป็นสิทธิพื้นฐานของประชาชน ตามหลักการในรัฐธรรมนูญของไทย

แต่การจะขับเคลื่อนอะไรในภาครัฐนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย รัฐเองก็มีทรัพยากร (เงิน เวลา เซลล์สมอง) อยู่จำกัด ประชาชนจะต้องส่งเสียงดังพอว่าบริการแบบไหนที่พวกเขายอมจ่าย (ในรูปเงินภาษี) และจะต้องมีเสียงมากพอจนเกิด critical mass รัฐบาลจึงจะยอมปฏิบัติตามนั้น

ในทฤษฎีเกมสร้างบริการสาธารณะ [3] จะต้องมีคนที่ร่วมลงขันให้ได้ตาม critical mass เพื่อให้เกิดบริการขึ้น ถ้าหากบริการดังกล่าวเกิดขึ้น ทุกคนทั้งที่ได้ร่วมลงขันและไม่ได้ลงขันก็จะได้รับประโยชน์กลับไป แต่ถ้าหากไม่เกิดขึ้น ผู้ที่ร่วมลงขันก็ต้องเสียเงินลงขันส่วนนั้นไปฟรีๆ

ปัญหาก็คือว่า การที่ทุกคนร่วมลงขันไม่ใช่คำตอบที่เป็นเหตุเป็นผลมากที่สุด เพราะถ้าหากมีคนร่วมลงขันเกินจำนวนที่ต้องการแล้ว เราก็เลือกอยู่เฉยๆ เพื่อรับประโยชน์โดยไม่ต้องเสียต้นทุนได้ และเมื่อคนอื่นตัดสินใจไม่ร่วมลงขัน การลงขันจากเราเพียงคนเดียวก็จะเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ไม่ได้ สถานการณ์แบบนี้จึงเป็นเกมที่ขึ้นกับประโยชน์ในแต่ละทางเลือก แรงจูงใจในการเกาะเพื่อนกิน (free ride) และสัญญาณในสังคมว่าจะมีความร่วมมือกันเกิดขึ้นหรือไม่

ในเกมเช่นนี้ สามารถเกิดเหตุการณ์ได้หลายหน้า โครงการบางอย่างที่ไม่ต้องการแรงสนับสนุนมากก็อาจเกิดขึ้นได้ยาก เพราะแต่ละคนก็นึกว่าคนอื่นจะสนับสนุนเพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ต้องทำอะไร ในขณะที่เหตุการณ์บางอย่างซึ่งอาจเกิดได้ยากต้องการความร่วมมือจากคนส่วนใหญ่กลับเกิดขึ้นได้เพราะทุกคนรู้สึกว่าจำเป็นต้องช่วยกัน ความรู้สึกว่าตัวเองอาจจะกำลังเป็นผู้ชี้ชะตาความสำเร็จ (pivotal voter) ทำให้เขาไม่อยากเป็นคนทำโครงการล่ม [4]

บางทีเกมก็มีหน้าตาเปลี่ยนไป เช่น แต่ละคนอาจจะไม่ได้เห็นผลประโยชน์ของแต่ละทางเลือกเท่ากัน การที่โครงการไม่เกิดสำหรับบางคนก็อาจไม่ได้ให้ประโยชน์เป็น 0 ซึ่งก็ยิ่งทำให้การร่วมมือเพื่อผลักดันเกิดได้ยากขึ้น

ในประเทศไทย ปรากฏการณ์การขับเคลื่อนภาครัฐ ‘ด้วยการด่า’ เป็นเกมสร้างบริการสาธารณะแบบหนึ่ง ถ้าหากคนในสังคมช่วยกันด่าจนได้ critical mass ก็สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้จริง เราเห็นกันมาหลายทีโดยเฉพาะในการบริหารสถานการณ์โควิด เรามีการขับเคลื่อนด้วยการด่าอยู่หลายที ไม่ว่าจะเป็นการล็อกดาวน์ การคลายล็อกดาวน์ การเลิกแทงม้าตัวเดียว การทวงวัคซีน Pfizer ให้ด่านหน้า และการยอมเปิดให้เอกชนนำเข้าวัคซีน

การปลดล็อกให้เอกชนนำเข้าวัคซีนนับเป็นกรณีที่น่าสนใจมาก ในตอนแรก ประชาชนเองก็เห็นว่ารัฐไม่มีความสามารถมากพอไปเจรจาวัคซีนเข้ามาจนทำให้ทุกอย่างล่าช้าไปหมด ภาคเอกชนก็ได้เรียกร้องให้อนุญาตให้เอกชนนำเข้ามาจำหน่ายได้เพื่อเป็นการบรรเทาปัญหา เพราะถึงวัคซีนจะแพงอย่างไรก็ยังต่ำกว่าต้นทุนทางเศรษฐกิจ

แต่ราคาวัคซีน Moderna ประมาณเข็มละ 1,700 บาท และวัคซีน Sinopharm แม้จะถูกลงมาก็อยู่ที่เข็มละ 777 บาท กลายเป็นปัญหาความเหลื่อมล้ำที่คนยากจนและแรงงานที่ไม่ได้มีเงินมากมายเข้าไม่ถึง ถ้าจะจองวัคซีนให้ทั้งบ้าน บางคนอาจต้องหมดเงินเรือนหมื่น หรือจริงๆ แล้วอาจจะถอดใจไปตั้งแต่การต้องเข้าไปลงชื่อจองก็เป็นได้

ผลข้างเคียงของการนำเข้าวัคซีนเอกชนเหล่านี้คือการเปลี่ยนเกมให้เกิดกลุ่มคน 2 กลุ่มคือ ‘กลุ่มที่พร้อมซื้อวัคซีน’ และ’ กลุ่มที่ไม่พร้อมซื้อวัคซีน’ โดยเกิดการเปลี่ยนแปลงมากในกลุ่มพร้อมซื้อ เพราะการนำเข้าโดยเอกชนทำให้พวกเขาได้รับผลประโยชน์ที่มากพอโดยไม่จำเป็นต้องออกตัวเรียกร้อง ในเหตุการณ์แบบนี้ แม้จะสร้างประสิทธิภาพให้คนได้รับวัคซีนที่มีคุณภาพได้เร็วขึ้นบ้าง แต่ก็เป็นการลดเสียงด่าจากชนชั้นกลาง-บนต่อแผนการบริหารจัดการวัคซีนด้วยการยอมตัดช่องน้อยแต่พอตัว เมื่อเป็นเช่นนี้ การจะไปให้ถึง critical mass ในการทำให้วัคซีนของไทยฟรีสำหรับทุกคน มีคุณภาพและหลากหลายเหมือนเช่นประเทศอื่น ๆ ทั้งที่พัฒนาแล้วและยังไม่พัฒนาทั่วโลกจึงต้องพังทลายลง

ความโชคดีในความโชคร้ายของเรื่องนี้คือ แม้การนำเข้าวัคซีน Moderna จะผ่านในหลักการ แต่ต้องผ่านวิบากกรรมอีกหลายชั้นกว่าจะติดต่อ ทำสัญญาสั่งซื้อ และรับของ กว่าจะออกมาได้ในทางปฏิบัติก็ล่าช้าไปมาก (เราเริ่มพูดคุยเรื่องนี้มาตั้งแต่ปลายปี 2563 จนตอนนี้ยังรอรับมอบวัคซีนกันอยู่) ข้อเสนอการนำเข้าวัคซีนคุณภาพและฟรีจึงกลับมาเดินอีกรอบจากการที่คนชนชั้นกลาง-บนเริ่มอยู่ไม่นิ่ง ในที่สุด เราก็ยอมเจรจาติดต่อซื้อวัคซีน Pfizer จนปัจจุบันมียอดจองไปแล้วมากถึง 30 ล้านโดส โดยจะส่งมอบตั้งแต่ปลายปีนี้

บทเรียนแบบไทยๆ ซึ่งไม่ได้ใหม่แต่ไม่ค่อยเรียนรู้ก็คือ การจะไปถึง critical mass ให้ได้นั้น คุณต้องทำให้คนชนชั้นกลางและล่างเห็นตรงกันและร่วมมือกันให้ได้ การปล่อยให้เอกชนเข้ามาจัดการแม้จะเพิ่มประสิทธิภาพให้สูงขึ้น แต่ก็จะไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างที่จะสร้างประโยชน์ให้กับทุกคน

ทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตยของเอนก เหล่าธรรมทัศน์ [5] ยังคงใช้ได้อยู่ในปัจจุบัน คำด่าที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนรัฐบาลจริงๆ จึงไม่ใช่คำด่าของตาสีตาสาที่ไหน แต่ต้องเป็นชนชั้นกลางในเมืองที่เป็นตัวเปลี่ยนเกมทางการเมือง (pivotal) ถึงจะมีพลังทางการเมือง

สรุปแล้วประชาชนยังควรช่วยเหลือกันเองอยู่ไหม? คำตอบก็คือแน่นอน

เราชื่นชมจิตใจที่ดีของคนไทยและความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันที่ทำให้ออกมาช่วยเหลือกันอย่างรวดเร็ว เข้าถึงผู้ที่ลำบากจริง ไม่ต้องรอชักช้ากับระบบรัฐราชการ ปัญหาหลายอย่างเป็นปัญหาที่เราไม่ต้องรอให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือได้ เราลุกขึ้นมาทำเองได้ และปัญหาบางเรื่องก็ไม่ควรให้รัฐดำเนินการ

อย่างไรก็ตาม กลไกเอกชนหรือประชาสังคมไม่ได้แก้ปัญหาในเชิงระบบทั้งหมด การที่มีประชาชนออกมาช่วยทำเครื่องช่วยหายใจและวิ่งหาเตียงให้ ไม่ได้ทำให้โรงพยาบาลรัฐมีเตียงที่เพียงพอและมีเครื่องไม้เครื่องมือที่ครบถ้วน หรืออย่างกรณีการปล่อยให้เอกชนนำเข้าวัคซีนได้ ก็แก้ปัญหาได้ในระดับ 10-20 ล้านคนจากคนไทย 68 ล้านคน ซึ่งเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่าและเป็นหน้าที่พื้นฐานของรัฐ

ในฐานะประชาชน แม้มือจะเข้าไปช่วยเหลือ แต่ก็อย่าหยุดใช้ปากเรียกร้องการแก้ปัญหาร่วมกันต่อไป


อ้างอิง

[1] https://www.bbc.com/thai/thailand-58096985

[2] Deserranno, E., & Qian, N. (2020). Aid crowd-out: The effect of NGOs on government-provided public services.

[3] Fudenberg, D., & Tirole, J. (1991). Example 6.1: Providing a Public Good under Incomplete Information. In Game Theory (pp. 211-212). Cambridge: MIT Press.

[4] Dziuda, W., Gitmez, A. A., & Shadmehr, M. (2021). The Difficulty of Easy Projects. American Economic Review: Insights, 3(3), 285-302.

[5] http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=สองนคราประชาธิปไตย

MOST READ

Politics

16 Dec 2021

สิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับและถูกควบคุมตัว (ตอนที่ 1) : เหตุใดจึงต้องพบศาล และต้องพบศาลเมื่อใด

ปกป้อง ศรีสนิท อธิบายถึงวิธีคิดของสิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับกุมและควบคุมตัว และบทบาทของศาลในการพิทักษ์เสรีภาพปัจเจกชน

ปกป้อง ศรีสนิท

16 Dec 2021

Politics

25 Jan 2024

ผู้พิพากษาอาวุโสมีไว้มากมาย… ทำไม

‘ใบตองแห้ง’ ชวนสำรวจเงินเดือนของเหล่าผู้พิพากษาอาวุโส ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี และชวนตั้งคำถามว่า บทบาทหน้าที่ของผู้พิพากษาอาวุโสเหล่านี้คืออะไร สร้างประโยชน์ใดให้แก่กระบวนการยุติธรรมไทยบ้าง

อธึกกิต แสวงสุข

25 Jan 2024

Politics

23 Feb 2023

จากสู้บนถนน สู่คนในสภา: 4 ปีชีวิตนักการเมืองของอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล

101 ชวนอมรัตน์สนทนาว่าด้วยข้อเรียกร้องจากนอกสภาฯ ถึงการถกเถียงในสภาฯ โจทย์การเมืองของก้าวไกลในการเลือกตั้ง บทเรียนในการทำงานการเมืองกว่า 4 ปี คอขวดของการพัฒนาสังคมไทย และบทบาทในอนาคตของเธอในการเมืองไทย

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

23 Feb 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save