ตีความอย่างไรให้เป็นนายกรัฐมนตรีได้เกิน 8 ปี

การชี้ขาดของศาลรัฐธรรมนูญในประเด็นปัญหาว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครบ 8 ปี อันเป็นเหตุให้พ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 170 ประกอบกับมาตรา 158 วรรคสี่แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 (รัฐธรรมนูญ 2560) หรือไม่ อาจจะไม่ได้เปลี่ยนฉากทัศน์ทางการเมืองของไทยมากนัก แต่สำหรับวงการนิติศาสตร์แล้ว คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญอาจจะเป็นบทสรุปของระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมไทยซึ่งถูกกระทำย่ำยีครั้งแล้วครั้งเล่าจนยากที่จะเชื่อว่าไทยมีระบบกฎหมายแบบตะวันตกมากกว่าร้อยปีและเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยเมื่อเก้าสิบปีก่อน

ประเด็นปัญหาการนับวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ก่อให้เกิดการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางทั้งในหมู่ประชาชนและนักกฎหมาย เราได้เห็นปรากฏการณ์ที่ผู้ร่างรัฐธรรมนูญออกมาแสดงความคิดเสนอแนะแนวทางในการตีความการนับระยะเวลา 8 ปี มาตรา 158 ทั้งที่ไม่ได้แสดงความคิดเห็นเอาไว้ในเวลาที่ควรแสดงความคิดเห็น คือ ในเวลาที่มีการประชุมของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ซึ่งประธานได้หยิบยกปัญหาเดียวกันเพื่อหารือ เราได้เห็นกรรมการร่างรัฐธรรมนูญที่เคยแสดงความเห็นอย่างหนึ่งไว้ในที่ประชุม แต่เปลี่ยนความคิดเห็นเป็นอีกอย่างหนึ่งในภายหลัง และเราได้ยินข่าวลือว่าประธานคณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญให้ความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญว่าความเห็นของตนที่ได้บันทึกไว้ในรายงานการประชุมของ กรธ. เป็นความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ผู้จดบันทึกรายงานการประชุมซึ่งยังไม่มีการรับรองโดยคณะกรรมการแต่อย่างใด

แนวทางการตีความกฎหมายและการโต้แย้งข้อเท็จจริงที่พิสดารเหล่านี้ ไม่มีฐานทฤษฎีในทางนิติศาสตร์รองรับอย่างชัดเจน และวางอยู่บนข้อเท็จจริงที่อาจจะไม่ครบถ้วนหรือถูกบิดเบือนเพื่อให้คำอธิบายของตนมีน้ำหนักและน่าเชื่อถือ อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ไม่เปิดเผยชื่อคนหนึ่งถึงขนาดแสดงความคิดเห็นว่า “เพราะการจะตัดสินอะไรคงไม่ต้องไปถามคนร่างกฎหมาย ไม่อย่างนั้นก็คงจะต้องตามไปถามคนร่างกฎหมายกันหมด ทั้งที่กฎหมายเขียนไว้ชัดแล้ว ต้องตีความกันอยู่ตรงนี้ จะไปเถียงอะไรกัน หรือการจะไปเอาผู้เชี่ยวชาญมาแสดงความคิดเห็นเดี๋ยวก็พูดอย่างนั้น เดี๋ยวก็พูดอย่างนี้ เพราะความคิดเห็นของคนเราเปลี่ยนแปลงไปได้ ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปฟังความคิดเห็นคนร่างกฎหมายอะไรมาก เพราะศาลรัฐธรรมนูญเป็นคนใช้กฎหมาย คนเขียนกฎหมายไม่ได้เป็นคนใช้ เมื่อศาลรัฐธรรมนูญเป็นคนใช้กฎหมายก็ต้องเป็นคนตีความเองว่าเขียนมาแบบนี้จะแปลความแบบไหน ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นอะไรเลย” (มติชน, 11 กันยายน 2565)

การตีความกฎหมายแบบไหนก็ได้ตามที่ผู้ตีความปรารถนา คือการตีความตามอำเภอใจ และการตีความตามอำเภอใจนี้เองเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้วิชานิติศาสตร์ในโลกตะวันตกพัฒนาขึ้นจนมีความสลับซับซ้อนในเชิงระบบและการให้เหตุผล หลักการทฤษฎีและกลไกทางกฎหมายถูกสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันและควบคุมการใช้และการตีความกฎหมายไม่ให้เป็นไปตามอำเภอใจ

ความแน่นอนในนิติฐานะเป็นหลักประกันของสิทธิเสรีภาพและค้ำจุนระบบกฎหมาย

มนุษยชาติเริ่มเรียนรู้ว่าสิทธิเสรีภาพจะไม่มีวันได้รับการคุ้มครองหากระบบกฎหมายไม่สามารถสร้างความชัดเจนแน่นอนในนิติฐานะ (legal certainty) ให้กับพวกเขา นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ชาวโรมันเรียกร้องให้มีการบัญญัติกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นครั้งแรก (กฎหมายสิบสองโต๊ะ) เมื่อกว่าสองพันปีก่อน

การเกิดขึ้นของกฎหมายสิบสองโต๊ะเป็นจุดเริ่มต้นของกฎหมายโรมันซึ่งเป็นรากฐานของระบบกฎหมายซีวิลลอว์ กฎหมายโรมันมีความศรัทธาอย่างแน่วแน่ในกฎหมายลายลักษณ์อักษร เพราะกฎหมายลายลักษณ์อักษรสร้างความชัดเจนแน่นอนในนิติฐานะให้กับประชาชน ทำให้ประชาชนทุกคนสามารถทราบถึงสิทธิและหน้าที่ทางกฎหมายของตนได้ล่วงหน้า โดยไม่ต้องรอการชี้ขาดหรือการตีความกฎหมายจารีตประเพณีตามอำเภอใจของผู้มีอำนาจ ความแน่นอนในนิติฐานะยังช่วยให้ประชาชนสามารถตรวจสอบได้ว่ารัฐบังคับใช้กฎหมายกับทุกคนอย่างเสมอภาคหรือไม่

แม้นว่าระบบกฎหมายคอมมอนลอว์จะพัฒนาหลักการกฎหมายจำนวนมากจากการใช้ดุลยพินิจของผู้พิพากษาในการตัดสินคดี แต่ระบบกฎหมายคอมมอนลอว์ก็มีหลักการตัดสินคดีตามคำพิพากษาบรรทัดฐาน (principle of stare decisis) ซึ่งช่วยกำกับไม่ให้ผู้พิพากษาตัดสินใจคดีตามอำเภอใจ ช่วยสร้างความแน่นอนในนิติฐานะให้กับประชาชน แม้ว่าคำพิพากษาจะสร้างกฎหมายคอมมอนลอว์ขึ้นจำนวนมากในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา กฎหมายส่วนใหญ่ของประเทศที่ใช้ระบบคอมมอนลอว์เป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่ตราขึ้นโดยฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งได้รับอำนาจและความชอบธรรมจากประชาชนในการตรากฎหมาย

กฎหมายลายลักษณ์อักษรในระบบกฎหมายต่างๆ มีทั้งแบบที่เขียนขึ้นเพื่อให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจความหมายได้ง่าย และมีแบบที่เป็นนามธรรมหรือเต็มไปด้วยเทคนิคทางกฎหมายที่ต้องพึ่งนักกฎหมายเท่านั้นจึงจะสามารถปรับใช้ได้อย่างถูกต้อง ไม่ว่ากฎหมายจะถูกถ่ายทอดออกมาในรูปแบบใด กฎหมายลายลักษณ์อักษรยังคงมีปัญหาความไม่ชัดเจนของถ้อยคำหรือข้อความที่ทำให้เกิดการถกเถียงและการแปลความหมายที่แตกต่างหลากหลายในหมู่นักนิติศาสตร์รวมทั้งประชาชนทั่วไปอยู่เสมอ นี่เป็นเหตุผลให้นักนิติศาสตร์ต้องพัฒนาหลักการและทฤษฎีว่าด้วยการใช้และตีความ เพื่อควบคุมไม่ให้การใช้และการตีความกฎหมายเป็นไปตามอำเภอใจของผู้ตัดสินคดี ถ้าไม่มีหลักและทฤษฎีว่าด้วยการใช้การตีความกฎหมาย การปรับใช้กฎหมายก็จะหาความแน่นอนไม่ได้ และผู้มีอำนาจบังคับใช้หรือตีความกฎหมายก็จะใช้ความไม่แน่นอนนี้เป็นเครื่องมือในการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามอำเภอใจ

การตีความตามตัวอักษรและการตีความตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย

หลักการร่างและบัญญัติกฎหมายในรัฐสมัยใหม่มีแนวโน้มที่จะบัญญัติกฎหมายลายลักษณ์อักษรให้ประชาชนทั่วไปอ่านทำความเข้าใจได้ง่าย ด้วยการใช้ภาษาชาวบ้านและลดการสร้างความซับซ้อนในทางเทคนิคกฎหมาย ด้วยเหตุนี้ถ้อยคำหรือข้อความของกฎหมายส่วนใหญ่จึงมีความหมายชัดเจนอยู่ในตัว เมื่อเกิดปัญหาที่ต้องตีความ ผู้ตีความจึงจำเป็นต้องตีความตามความหมายที่แสดงออกอย่างชัดเจนโดยถ้อยคำนั้นๆ

อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะบัญญัติกฎหมายไว้ชัดเจนเพียงใด ก็ยังอาจจะต้องใช้ความรู้ทางกฎหมายที่ได้รับจากการศึกษาอย่างเป็นระบบในการทำความเข้าใจ เช่น คำว่า ‘สมรส’ ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คนทั่วไปอาจจะไม่ทราบว่า หมายถึงเฉพาะการสมรสที่จดทะเบียนตามรูปแบบที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น หรือแม้ว่าถ้อยคำจะให้ความหมายธรรมดาเพียงใด นักนิติศาสตร์ก็ยังสามารถทำให้เกิดปัญหาในการแปลความหมายของถ้อยคำได้อยู่เสมอ นี่เป็นเหตุผลที่ว่าการตีความตามความหมายแห่งตัวอักษรไม่อาจยุติข้อขัดแย้งในการตีความได้ และนักนิติศาสตร์ต้องพึ่งพิงทฤษฎีการตีความอื่นที่สามารถมีความน่าเชื่อและสร้างความแน่นอนชัดเจนได้มากกว่า

แม้ว่านักนิติศาสตร์จะพัฒนาทฤษฎีการตีความจำนวนมาก และมีหลักที่แตกต่างกันไปในแต่ละสาขาของกฎหมายไม่ว่าจะเป็นกฎหมายเอกชน กฎหมายมหาชน กฎหมายอาญา หรือกฎหมายระหว่างประเทศ แต่หลักการตีความทั่วไปที่นักกฎหมายในทุกสาขายอมรับร่วมกันคือ การตีความตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย

การตีความกฎหมายตามเจตนารมณ์ คือ การตีความกฎหมายเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของกฎหมายนั้นๆ

การค้นหาเจตนารมณ์ของกฎหมายจะต้องทำโดยกระบวนการที่แน่นอนและน่าเชื่อถือ การค้นหาเจตนารมณ์ของกฎหมายจากเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการร่างกฎหมายเป็นวิธีการที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในหมู่นักนิติศาสตร์ เนื่องจากเป็นการบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงได้แม่นยำและน่าเชื่อถือที่สุด แม้ว่าความคิดเห็นของผู้ร่างจะไม่ใช่สิ่งเดียวกันกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย แต่เป็น ‘เบาะแส’ ที่สำคัญที่สุดที่จะช่วยค้นหาเจตนารมณ์ของกฎหมาย การค้นหาเจตนารมณ์ของผู้ร่างโดยการสอบถามหรือเค้นหาความจริงจากผู้ร่างที่มีชีวิต เป็นวิธีการยกเว้นหรือเป็นเพียงวิธีการเสริม เฉพาะกรณีที่ไม่สามารถค้นหาเจตนารมณ์ของกฎหมายหรือกรณีที่ข้อมูลในเอกสารไม่ถูกต้องเท่านั้น เนื่องจากความเห็นของคนเป็นมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและปัจจัยแวดล้อมที่ดำรงอยู่ในเวลาที่ถาม แต่ข้อความที่บันทึกในเอกสารไม่กลับกลอกตามกาลเวลาและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป

ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เอกสารการร่างกฎหมายของไทยมีเพียงบันทึกรายงานการประชุมและเอกสารโต้ตอบของคณะกรรมการร่างกฎหมายหรือคณะกรรมการตรวจร่างกฎหมาย แต่ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองมีการจัดตั้งสภาผู้แทนราษฎรซึ่งก่อตั้งกระบวนการนิติบัญญัติที่มีความสลับซับซ้อนตามแบบประเทศประชาธิปไตยตะวันตก และมีการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาซึ่งทำหน้าที่ช่วยรัฐบาลในการร่างกฎหมายก็พัฒนาระบบการร่างและการตรวจแก้ร่างกฎหมายที่มีความสลับซ้อนขึ้น เอกสารการร่างกฎหมายสำหรับกฎหมายฉบับหนึ่งๆ มีปริมาณมากขึ้น และเริ่มมีการกำหนดรูปแบบในการจัดทำบันทึกหลักการและเหตุผลประกอบร่างกฎหมายเพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้ทราบถึงเจตนารมณ์ในการร่างกฎหมายฉบับนั้นๆ

กฎหมายบางฉบับ อย่างเช่นรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มีการจัดทำเอกสารบันทึกเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแต่ละมาตราไว้ ใช้ชื่อว่า ‘ความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560’ เอกสารชนิดนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการค้นหาเจตนารมณ์ของกฎหมาย เนื่องจากมีการแสดงเจตนารมณ์ของกฎหมายไว้อย่างชัดเจน ทำให้ผู้บังคับใช้กฎหมายและประชาชนทั่วไปสามารถทำความเข้าใจกฎหมาย บังคับใช้กฎหมาย และปฏิบัติตามกฎหมายได้โดยสะดวกและมีความแน่นอน

หากค้นหาเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 158 วรรคสี่ จากเอกสารความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญฯ ก็จะพบเหตุผลของการจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไว้อย่างชัดเจนว่า “การกำหนดระยะเวลาแปดปีไว้ก็เพื่อมิให้เกิดการผูกขาดอำนาจในทางการเมืองยาวเกินไปอันจะเป็นต้นเหตุเกิดวิกฤติทางการเมืองได้” (หน้า 275) กล่าวคือ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ประสงค์ที่จะให้บุคคลใดอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเกิน 8 ปี ซึ่งรัฐธรรมนูญเห็นว่ายาวนานเพียงพอสำหรับบุคคลหนึ่งในการครองอำนาจสูงสุดในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหารและยาวนานเพียงพอที่จะบริหารจัดการตามนโยบายให้เกิดผลสัมฤทธิ์ การรับหลักการจำกัดระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งซึ่งใช้กันโดยทั่วไปในระบบประธานาธิบดีมาใช้กับระบบรัฐสภาของไทย แสดงให้เห็นว่ารัฐธรรมนูญมีเจตนารมณ์พิเศษในการสร้างระบบที่พิลึกพิลั่นเช่นนี้ขึ้น ดังนั้นจึงต้องตีความให้บรรลุผลตามเจตนารมณ์พิเศษเช่นว่านั้น

เจตนารมณ์ของมีชัย ฤชุพันธุ์ คือเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ?

แม้ว่าเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 158 วรรคสี่ จะถูกแสดงไว้อย่างชัดเจนในเอกสารความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญฯ แต่ยังมีผู้ที่พยายามด้อยค่าเจตนารมณ์ดังกล่าวด้วยการตีว่ารัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับไปข้างหน้า (ตั้งแต่วันที่มีผลใช้บังคับวันที่ 6 เมษายน 2560) เท่านั้น เพราะฉะนั้นการนับวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต้องเริ่มจากวันดังกล่าวเป็นต้นไป

จริงอยู่ที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่ารัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2560 แต่วันที่รัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับไม่ได้หมายความว่า การกระทำทางกฎหมายที่เกิดขึ้นก่อนที่รัฐธรรมนูญ 2560 จะไม่เป็นที่ยอมรับหรือไม่มีผลทางกฎหมายภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 ถ้าการตีความพิสดารเช่นนี้ถูกต้อง บทบัญญัติที่กำหนดคุณสมบัติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือรัฐมนตรี เช่น ไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก จะมีผลใช้บังคับกับเฉพาะคำพิพากษาจำคุกที่ออกมาภายหลังจากที่รัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับ เช่นนี้คนที่เคยต้องคำพิพากษามาก่อนรัฐธรรมนูญ 2560 มีผลใช้บังคับไม่ถือว่าขาดคุณสมบัติใช่หรือไม่?

ความพยายายามที่จะขยายวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้ยาวนานกว่า 8 ปี ด้วยการตีความที่พิลึกพิลั่นเช่นนี้คงมีผลทำให้บทบัญญัติหลายมาตราของรัฐธรรมนูญไม่สามารถบังคับใช้ให้เกิดผลตามเจตนารมณ์ได้ ทั้งยังขัดแย้งต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในหลายคดีก่อนหน้า ที่ตัดสิทธิบุคคลหรือยุบพรรคการเมืองเพราะการกระทำที่เกิดขึ้นก่อนรัฐธรรมนูญ 2560 มีผลใช้บังคับ

หากเห็นว่าเจตนารมณ์ของมาตรา 158 วรรคสี่ที่ผู้ร่างรัฐธรรมนูญ 2560 บันทึกไว้ในเอกสารความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญฯ ยังไม่เพียงพอในการแก้ไขข้อขัดแย้งในการตีความ เอกสารการร่างกฎหมายอีกชิ้นที่สามารถบ่งชี้เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญคือ รายงานการประชุมของ กรธ.

ไม่บ่อยนักที่ปัญหาการตีความที่เกิดขึ้นภายหลังกฎหมายใช้บังคับแล้ว จะถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกันตั้งแต่ในชั้นการร่างกฎหมาย แต่ปัญหาการนับระยะเวลา 8 ปี ของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กลับถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกันโดยนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. ในการประชุมครั้งที่ 500 โดยนายมีชัยได้แสดงความเห็นอย่างชัดเจนว่าระยะเวลา 8 ปีของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ เริ่มนับตั้งแต่เมื่อเริ่มดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2557 ภายหลังจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยึดอำนาจ บทบาทอันสำคัญยิ่งของนายมีชัยในฐานะสมาชิกพลเรือนเพียงคนเดียวของ คสช. ถ้าคนไทยจำนวนมากเชื่อว่า เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ 2560 ก็คือเจตนารมณ์ของนายมีชัย ก็คงไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผล และถ้ามองว่าเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ 2560 ก็คือเจตจำนงของ คสช. นายมีชัยในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของ คสช. ก็คือผู้ร่วมก่อตั้งเจตจำนงนั้น เพราะฉะนั้นความเห็นของนายมีชัยในการประชุมครั้งที่ 500 ไม่ใช่เป็นเพียงความเห็นของประธานหรือสมาชิกคนหนึ่งของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่เป็นความเห็นที่ทรงพลังในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งเจตจำนงของรัฐธรรมนูญที่ทราบถึงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ 2560 ดีกว่าใครในโลกนี้

มีผู้โต้แย้งว่าความเห็นให้นับวาระ 8 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2557 ในการประชุมครั้งที่ 500 ของ กรธ. เป็นเพียงความเห็นของประธานกับรองประธานเท่านั้น ถ้าไม่นับว่านายมีชัยคือผู้รู้เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ 2560 ดีที่สุดในโลกนี้ คนที่คุ้นเคยกับการประชุมร่างกฎหมายก็จะทราบว่า หากกรรมการร่างกฎหมายมีความเห็นถึงหลักการหรือแนวทางใช้หรือการตีความของบทบัญญัติที่กำลังร่างอยู่เป็นประการใด ก็จะได้แสดงความคิดเห็นและมีการจดบันทึกไว้ในรายการประชุม โดยปกติจะไม่มีการลงคะแนนว่าจะถือเอาตามความคิดเห็นแบบใด เพราะฉะนั้นแล้วหากมีผู้แสดงความคิดเห็นไว้ในทางเดียวกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นความเห็นของประธานและรองประธานโดยไม่มีกรรมการร่างคนใดแสดงความคิดเห็นไว้เป็นอย่างอื่น ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจตรงกันได้ว่า คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญมีความคิดเห็นร่วมกันว่าการนับระยะเวลา 8 ปีของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 158 วรรคสี่ ให้เริ่มนับตั้งแต่ พ.ศ. 2557 ในหนังสือ ‘ความในใจของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ 2560’ นายมีชัยเขียนไว้เองว่า “ในการทำงานของ กรธ. ตั้งแต่ต้นจนจบ จึงไม่เคยใช้วิธีการลงคะแนน (อันที่จริงเคยมีการลงคะแนนกันครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นครั้งเดียวเท่านั้น นั่นคือ เมื่อจะต้องออกไปทำงานที่ต่างจังหวัดเพื่อเร่งรัดให้แล้วเสร็จทันกำหนดเวลา มีคนเสนอให้ไปชายทะเล อีกคนเสนอให้ไปภูเขา ซึ่งไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องพูดกันให้ยืดยาว ผมเลยขอให้ยกมือลงคะแนน เมื่อเสียงข้างมากให้ไปทะเล เราจึงไปทะเล)” (หน้า 20)

รายงานการประชุม กรธ. ครั้งที่ 501

หากกรรมการร่างรัฐธรรมนูญคนใดไม่เห็นด้วยกับความเห็นของนายมีชัยที่ให้นับวาระ 8 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2557 ก็คงจะได้แสดงความคิดเห็นโต้แย้งไว้ในการประชุมครั้งที่ 500 ซึ่งมีการหยิบยกประเด็นปัญหานี้มาหารือ และยังมีโอกาสที่จะโต้แย้งได้อีกในการประชุมครั้งที่ 501 ซึ่งมีการรับรองรายงานการประชุมครั้งที่ 500 การที่ไม่มีกรรมการคนใดทักท้วงถึงความเห็นของนายมีชัย ก็เป็นที่เข้าใจกันได้ว่ากรรมการเหล่านั้นมีความเห็นสอดคล้องต้องกันกับความคิดเห็นของนายมีชัย และยอมรับอย่างเอกฉันท์ว่า การนับวาระ 8 ปีตามมาตรา 158 วรรคสี่ ต้องนับตั้งแต่ พ.ศ. 2560 นี่คือพยานหลักฐานที่ดีและสมบูรณ์ที่สุดที่แสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญในการนับวาระ 8 ปีของนายกรัฐมนตรี

ยิ่งมีความพยายามจากผู้ร่างรัฐธรรมนูญในการลบล้างความคิดเห็นและการกระทำครั้งก่อนๆ ของตน ยิ่งมีความพยายามในการทำลายความน่าเชื่อถือของข้อเท็จจริงที่ถูกบันทึกไว้ในรายงานการประชุมครั้งที่ 500 ด้วยการอ้างว่าการมีการจดบันทึกรายงานการประชุมที่คลาดเคลื่อนหรือไม่เคยมีการรับรองรายงานการประชุม ยิ่งทำให้น่าเชื่อว่า ความเห็นในการตีความมาตรา 158 วรรคสี่ของนายมีชัยที่บันทึกไว้ในรายงานการประชุมครั้งที่ 500 คือเจตนารมณ์ที่แท้จริงของบทบัญญัติ

การตีความตามอำเภอใจให้อยู่เกิน 8 ปี

มีผู้เสนอให้ใช้หลักรัฐศาสตร์เหนือหลักนิติศาสตร์ในการตีความมาตรา 158 วรรคสี่ โดยเฉพาะความเห็นที่ว่าให้เลือกทางสายกลางระหว่างตัวเลือกที่ให้เริ่มนับ 8 ปี จาก พ.ศ. 2557 พ.ศ. 2560 และ พ.ศ. 2562 คือให้เริ่มนับ 8 ปีตั้งแต่ พ.ศ. 2560 การตีความกฎหมายแบบทางสายกลางเช่นว่าไม่เคยมีหลักหรือทฤษฎีไหนในทางนิติศาสตร์รองรับหรืออธิบายความชอบธรรมได้ การตีความทางสายกลางในลักษณะที่ใช้หลักรัฐศาสตร์นำหลักนิติศาสตร์เป็นเพียงผลของการตีความตามอำเภอใจ ซึ่งเป็นความพยายามในการทำลายผลทางกฎหมายที่เกิดขึ้นจากการปรับใช้หลักกฎหมายตรงอย่างตรงไปตรงมา การปรับใช้มาตรา 158 วรรคสี่ และการค้นหาเจตนารมณ์ของบทบัญญัตินี้ คือการใช้และการตีความบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ไม่ใช่การปรับใช้หลักรัฐศาสตร์

สังคมไทยต้องเสียหายและประชาชนคนไทยต้องเสียโอกาสไปเท่าไหร่กับการตีความโดยใช้หลักรัฐศาสตร์นำหลักนิติศาสตร์ในคดีสำคัญๆ ซึ่งเป็นจุดผกผันทางการเมืองและทางกฎหมายของประเทศ

การตีความการนับเวลา 8 ปี ตามมาตรา 158 วรรคสี่ให้สอดคล้องกับหลักนิติศาสตร์ คือการตีความเจตนารมณ์ของกฎหมาย ซึ่งเป็นแนวทางการตีความที่ก่อให้เกิดความชัดเจนแน่นอนในทางกฎหมายอันจะเป็นหลักประกันสิทธิเสรีภาพให้กับประชาชน เจตนารมณ์ของมาตรา 158 วรรคสี่ในการนับเวลา 8 ปีของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมีเพียงเจตนารมณ์เดียวเท่านั้น คือการเริ่มนับตั้งแต่ พ.ศ. 2557 แต่ถ้าอยากตีความให้นายกรัฐมนตรีอยู่เกิน 8 ปี ก็ต้องตีความตามอำเภอใจ ซึ่งเป็นการตีความแบบไทยๆ ที่มีให้เห็นอยู่เสมอ ถ้าจะตีความตามอำเภอใจอีกสักคดีก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดประการใดในสังคมไทยที่ระบบกฎหมายและกระบวนยุติธรรมถูกย่ำยีเป็นปกติ

MOST READ

Politics

16 Dec 2021

สิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับและถูกควบคุมตัว (ตอนที่ 1) : เหตุใดจึงต้องพบศาล และต้องพบศาลเมื่อใด

ปกป้อง ศรีสนิท อธิบายถึงวิธีคิดของสิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับกุมและควบคุมตัว และบทบาทของศาลในการพิทักษ์เสรีภาพปัจเจกชน

ปกป้อง ศรีสนิท

16 Dec 2021

Politics

25 Jan 2024

ผู้พิพากษาอาวุโสมีไว้มากมาย… ทำไม

‘ใบตองแห้ง’ ชวนสำรวจเงินเดือนของเหล่าผู้พิพากษาอาวุโส ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี และชวนตั้งคำถามว่า บทบาทหน้าที่ของผู้พิพากษาอาวุโสเหล่านี้คืออะไร สร้างประโยชน์ใดให้แก่กระบวนการยุติธรรมไทยบ้าง

อธึกกิต แสวงสุข

25 Jan 2024

Law

19 Jun 2024

‘สมรสเท่าเทียม’ ก้าวสำคัญกฎหมายครอบครัวไทย: สาระสำคัญและเรื่องที่ยังไปไม่ถึง

ไชยพัฒน์ ธรรมชุตินันท์ ชวนมองหลักการสำคัญใน ‘พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม’ พร้อมตั้งข้อสังเกตต่อบทบัญญัติที่แก้ไขใหม่และผลที่อาจตามมา

ไชยพัฒน์ ธรรมชุตินันท์

19 Jun 2024

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save