อายุษ ประทีป ณ ถลาง เรื่อง
กฤตพร โทจันทร์ ภาพประกอบ
หลังจากแหงนถ่อรอคอยกันมาช้านาน นับแต่ผ่านพ้นการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 สิริรวมแล้วเป็นระยะเวลาเกือบ 5 เดือนเต็ม ในที่สุด ประชาชนคนไทยทุกหมู่เหล่าก็ได้คณะรัฐมนตรี รัฐบาลใหม่ ภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนแรกที่มาจากรัฐธรรมนูญฉบับ “ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา” เสียที
แต่ก็นั่นละ ยุคสมัยนี้ที่เป็นประชาธิปไตยแบบมีจารีตประเพณี วัฒนธรรม ชาวบ้านราษฎรคงได้แต่เก็บงำข้อสงสัยและคำถามต่างๆ เอาไว้ในใจ
ทั้งๆ ที่ หากคำนึงถึงวันเวลาแต่ละวินาทีว่ามีค่าสำหรับแก้ปัญหาให้กับประเทศชาติ ราษฎร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยามที่ประชาชนทุกข์เข็ญหน้าหมอง ไม่เหมือนหมุดใหม่กลางเมืองอวยชัยให้พรเอาไว้ จากปัญหาเศรษฐกิจปากท้องรุมเร้า คงไม่ใช้เวลายาวนานเป็นประวัติการณ์เช่นนี้
จะอ้างที่ล่าช้า กว่าจะประกาศผลคะแนนออกมาได้ ต้องใช้ความรอบคอบเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความถูกต้อง บริสุทธิ์ยุติธรรม ก็น่าขัน
จะว่าที่เนิ่นนานเนื่องจากต้องพิถีพิถัน ใช้เวลาในการคัดสรร เฟ้นหาคนดีมีความรู้ความสามารถเข้ามาบริหารประเทศชาติบ้านเมือง ก็ตลกร้าย
เห็นโฉมหน้าค่าตาแต่ละคน ถ้าไม่ใช่เจ้าของ หรือนายทุนพรรค ก็เข้ามาตามโควตา สัดส่วนภาค กลุ่มหรือมุ้งการเมืองต่างๆ จากแต่ละพรรค
หาได้มีใครมีคุณสมบัติพอให้เป็นที่เชื่อมั่นศรัทธา ไว้วางใจได้เลยไม่ ว่าจะเข้ามาจัดการปัญหาให้กับประเทศชาติ นำพาบ้านเมืองไปสู่ความมั่งคั่งรุ่งเรืองได้
หลายคนตกเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยในความซื่อสัตย์สุจริต แทนที่จะได้เข้ามาแก้ปัญหาให้กับประชาชน ตัวเองอาจกลายเป็นปัญหาให้กับประเทศชาติบ้านเมืองเสียด้วยซ้ำ
มีทั้งบุคคลซึ่งถูกตั้งข้อกังขาถึงคดีความในอดีตเกี่ยวกับการปล่อยสินเชื่ออื้อฉาว ที่หลายคนติดคุกติดตะรางไปแล้ว แต่กลับได้รับมอบหมายให้มาดูแลการเงินของแผ่นดิน
บางคนเคยเป็นเจ้าของฉายารัฐมนตรีซีทีเอ็กซ์ อุตส่าห์ตระบัดสัตย์กลับมารับตำแหน่ง ขณะที่อีกคนก็เคยได้สมญาว่ารัฐมนตรีเรียงหิน บางรายชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือในแวดวงมาเฟีย เจ้าพ่อผู้มีอิทธิพล เคยผ่านคุกตะรางในต่างประเทศมาก่อน วันนี้ได้ดิบได้ดี เป็นเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงรัฐบาล หรือบางคนก็ได้เป็นรัฐมนตรีแทนเมีย
มิพักพูดถึงพี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ ฯลฯ
คนดีตามมาตรฐานประยุทธ์ทั้งสิ้น
และมิทันไร ระหว่างรอแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ยังไม่สามารถทำหน้าที่ บริหารราชการแผ่นดินได้ หลายคนเริ่มออกมาโยนหินถามทาง เตรียมที่จะปัดป่ายบ่ายเบี่ยง หลบเลี่ยงที่จะปฏิบัติตามสัญญาประชาคมซึ่งให้กับประชาชนเอาไว้เมื่อครั้งหาเสียงเลือกตั้ง
ชาวบ้านร้านตลาดฟังแล้วได้แต่นั่งตาปริบ
จะทำอย่างไรได้นอกจากจะอดรนทนกันไปอีก 5 ปีเป็นอย่างน้อย เพราะตราบใดที่ยังคงบังคับใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 บทเฉพาะกาล มาตรา 272 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า ในระหว่างห้าปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ การให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี…ให้กระทำในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา และมติเห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรี…ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา
ดังนั้นแม้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. จะสิ้นสภาพไปแล้วก็ตาม ตราบเท่าที่ระบอบขาวสามด้านซึ่งทรงอิทธิพลครอบงำสังคมไทย มิได้ให้ฉันทานุมัติเป็นอื่น ก็อย่าหวังเลยว่าจะเกิดการพลิกผันเปลี่ยนแปลงใดๆ ในประเทศนี้
โหวตกี่ครั้งกี่หน หากพลเอกประยุทธ์ไม่ถึงกับต้องตะบันน้ำกิน ก็ยังคงผูกขาดเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปจนกว่าจะเบื่อไปเอง
การเมืองแบบนี้มีแต่รอให้ชีพจรลงเท้า ประชาชนอดรนทนไม่ไหวออกมาเดินถนนหรืออย่างไรจึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลง
ฝ่ายค้านน่ะหรือจะทำอะไรได้
อภิปรายในสภาไปจนปากฉีกก็แค่นั้น ไม่สามารถส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขึ้นมาได้ ด้วยปาฏิหาริย์ทางกฎหมาย เงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญดังกล่าว
ที่ปากกล้าขาสั่น ขู่ฟ่อเตือนพลเอกประยุทธ์ว่าในสภานรกมีจริงนั้น แค่เห็นอะไรสีเขียวไหวๆ เข้าหน่อยก็สะดุ้งโหยง เผ่นกระเจิงแทบไม่ทัน
ที่พอจะเป็นเสี้ยนตำเท้า หรือกรวดในเกือก สร้างความหงุดหงิดรำคาญให้กับระบอบขาวสามด้านอยู่บ้าง เห็นจะเป็นพรรคอนาคตใหม่ ที่ทำตัวเองจนกระทั่งเวลานี้ตกอยู่ในสภาพไม่ต่างไปจากลูกไก่ในกำมือ ที่เขาบีบก็ตายเขาคลายก็รอด ต้องพึ่งติ่งอิงมวลชนเป็นหลัก ในขณะที่ฝ่ายขวาไม่เอา-ฝ่ายซ้ายไม่ชอบ
แม้แต่พรรคเพื่อไทยเองก็ยังหวาดระแวง ไม่ไว้วางใจแม้จะเป็นฝ่ายค้านด้วยกันก็ตามที
น่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง กับปฏิกิริยา ปรากฏการณ์สร้างกระแสปลุกระดมความเกลียดชังของปีกการเมืองขวาจัด ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีนางสาวพรรณิการ์ วานิช ด้วยข้อกล่าวหาชักสีหน้าประกอบภาพ หรือแม้แต่การแต่งกาย เสื้อผ้าหน้าผม ทำถึงขนาดปลุกปั่นให้มีการใช้กำลังดักตบกันเลยทีเดียว
มีการสร้างวาทกรรมชังชาติ กล่าวหาผู้คนซึ่งออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ตรวจสอบรัฐบาล พยายามบิดเบือนประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย เมื่อปี พ.ศ. 2475 โดยมุ่งทำลายเกียรติภูมิของคณะราษฎร ฯลฯ
หากเปรียบเทียบกับต่างประเทศที่ปัญหาผู้อพยพ การก่อการร้าย ร้อยรัดเกี่ยวพันกับประเด็นทางศาสนา ชาติพันธ์ุและสีผิว ทำให้การเมืองปีกขวากลับมามีอิทธิพลอีกครั้งในชาติตะวันตกหลายประเทศ โดยมีการอธิบายกันว่า ที่เป็นเช่นนั้น เนื่องเพราะความรู้สึกหวาดหวั่น ไม่ปลอดภัย ไม่มั่นคงของประชาชนเป็นสำคัญ
การที่ประชากรท้องถิ่นหวั่นกลัวผลกระทบที่ตัวเองจะได้รับ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านสังคมหรือเศรษฐกิจ เปิดโอกาสให้การเมืองปีกขวา ลัทธิชาตินิยมหรืออัตลักษณ์นิยม กลับมาเติบโตอีกครั้ง เป็นเรื่องที่มีเหตุมีผล สามารถเข้าใจได้ไม่ยาก
สำคัญที่สุด ไม่ว่าการเมืองปีกขวาหรือฝ่ายซ้ายจะก้าวขึ้นมามีส่วนแบ่งอำนาจ การพึ่งพาอาศัยกลไกปกครองในระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นการทำประชามติ หรือการเลือกตั้งทั่วไป เป็นเครื่องมือแสวงหาฉันทานุมัติจากประชาชน คือหลักการอันเป็นหัวใจ ทำให้ผู้คนในสังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข โดยทุกคนยินยอมพร้อมใจยอมรับกับการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่จะเกิดขึ้นไปด้วยกัน
แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับประเทศไทย ซึ่งปกครองภายใต้ระบอบเลือกตั้ง สลับสับเปลี่ยนกับการทำรัฐประหารโดยกองทัพ สภาพแวดล้อมโดยทั่วไปเอื้ออำนวยต่อการดำรงอยู่และเติบโตของฝ่ายขวามาโดยตลอด
วันดีคืนดีก็ทวีความรุนแรง ปลุกระดมสร้างกระแสขวาจัดขึ้นมา พร้อมที่จะเข่นฆ่า ทำลายฝ่ายตรงกันข้ามที่มีความคิดเห็นผิดแปลกแตกต่างไปจากตัวเอง
ไม่ได้มีเหตุมีผล ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนโดยส่วนรวมแต่ประการใด
ที่พยายามสร้างกระแสยั่วยุ ปลุกปั่นให้ผู้คนเผชิญหน้า ห้ำหั่นกันเอง ทำเพื่อใครลองคิดดู