วจนา วรรลยางกูร และ สมคิด พุทธศรี เรื่อง
เมธิชัย เตียวนะ ภาพ
ในช่วงเวลานับเดือนจากการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลของกลุ่มเยาวชนปลดแอกและสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) ที่มีข้อเรียกร้อง 3 ข้อ (ยุบสภา-หยุดคุกคามประชาชน-ร่างรัฐธรรมนูญใหม่) เกิดการชุมนุมของนิสิตนักศึกษาและนักเรียนอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศ ส่งผลให้สถานการณ์การเมืองร้อนขึ้นเรื่อยๆ
10 ส.ค. 2563 การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมได้เสนอ 10 ข้อเรียกร้องเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ ตามมาด้วยความคิดเห็นหลากทิศทางจากสังคม ทั้งฝ่ายที่สนับสนุนว่าเป็นการแสดงความเห็นอย่างสุจริตในขอบเขตของกฎหมาย และฝ่ายที่เห็นว่าเป็นการสร้างความแตกแยกอย่างรุนแรง
ความกังวลด้านหนึ่งที่เกิดขึ้นในสังคม คือ ปฏิกิริยาจากฝ่ายผู้มีอำนาจที่จะทำลายพื้นที่การแสดงความคิดเห็นและพูดคุยกันด้วยเหตุผล จนถึงการโต้กลับด้วยการดำเนินคดี การดำเนินการนอกกฎหมาย และโอกาสที่จะมีการโต้กลับด้วยความรุนแรงจากภาครัฐและมวลชนบางกลุ่ม โดยเฉพาะในการชุมนุมครั้งต่อๆ ไปของนักศึกษา
101 สนทนากับ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ นักวิชาการอาวุโส เจ้าของฉายา ‘ปัญญาชนสยาม’ ผู้ประกาศตัวและได้รับการยอมรับว่าเป็นฝ่ายกษัตริย์นิยม (royalist) คนสำคัญว่า เขามองข้อเรียกร้องเหล่านี้อย่างไร มีสิ่งใดที่ผู้มีอำนาจต้องระมัดระวัง และสังคมจะสร้างพื้นที่การพูดคุยด้วยเหตุผลอย่างไร
สุลักษณ์ยืนยันว่าเขาเคารพสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยใจ และเป็นความเคารพที่มีสติวิจารณญาณ โดยไม่ปฏิเสธการวิพากษ์วิจารณ์ หากผู้หลักผู้ใหญ่มีการรับฟังข้อเสนอของกลุ่มคนรุ่นใหม่เพื่อปรับปรุงแก้ไขก็จะเป็นผลดีต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
อาจารย์มองการชุมนุมของนักศึกษาช่วงนี้อย่างไร โดยเฉพาะเมื่อวันที่ 10 ส.ค. ที่มีข้อเรียกร้องเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์
ผมดีใจที่คนรุ่นใหม่ออกมาเรียกร้อง และคนรุ่นใหม่ในที่นี้ไม่ใช่เฉพาะนิสิตนักศึกษา แต่ยังรวมถึงนักเรียนด้วย ผมปลื้มปิติด้วยเหตุว่าสถาบันการศึกษากระแสหลัก ไม่ว่าโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยต่างสอนให้คนรุ่นใหม่สยบยอม สอนให้ไต่เต้าเอาดีเพื่อออกไปหางานทำ ไม่เคยสอนให้ปฏิเสธเผด็จการ ไม่สอนให้เป็นตัวของตัวเอง แม้กระนั้นก็มีคนรุ่นใหม่ออกมาได้ถึงเพียงนี้ ผมดีใจมากว่าบ้านเมืองเรามีความหวังแล้ว การที่คนรุ่นใหม่สามารถแหวกกระแสหลักออกมาได้อย่างกล้าหาญ และพูดจามีเหตุผล ทำให้ผมภูมิใจมาก เป็นอันว่าผมคงนอนตายตาหลับแล้ว ตอนนี้ผมก็ใกล้ 88 ปีแล้ว คงอยู่อีกไม่นาน ก็ดีใจว่าผมคงไม่หมดหวังกับบ้านเมืองนี้เสียทีเดียว
อาจารย์มองข้อเรียกร้อง 10 ข้ออย่างไร
ข้อเรียกร้อง 10 ข้อของเขาฟังดูก็สมเหตุสมผล เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์จะอยู่ได้ต้องเปิดเผยโปร่งใส พระมหากษัตริย์ต้องมีพระราชจริยวัตรเพื่อความสุขสวัสดีของราษฎร ไม่ใช่ราษฎรทำอะไรต่างๆ เพื่อพระมหากษัตริย์อย่างเดียว ผมเชื่อว่าพระเจ้าอยู่หัวท่านรับฟังข้อความที่เอ่ยถึงท่านและสถาบันของท่าน ท่านมีใจกว้างพอสมควร แต่ที่น่ากลัวคือพวกที่ทำตัวเป็นพระราชายิ่งกว่าพระราชา ไปอ้างอะไรต่างๆ ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เสื่อมเสีย เขาอ้างว่าจงรักภักดี แต่เป็นการจงรักภักดีแบบเอาดีให้ตัวเอง เอาความชั่วให้คนอื่น พวกนี้อันตรายมาก
ที่เขาเรียกร้องนั้นสมเหตุผล ไม่มีอะไรเกินเลยไป เรียกร้องด้วยความจงรักภักดี ไม่มีความรุนแรงหรือเป็นไปในทางทำลายล้าง ผมก็คิดว่าเด็กรุ่นใหม่นี้ไว้ใจได้ เชื่อใจได้
บางฝ่ายมองว่าข้อเรียกร้องเหล่านี้เป็นการก้าวล่วงสถาบัน
มันมีพวกขวาจัด ไปแตะอะไรเข้าหน่อยก็หาว่าจาบจ้วง พวกนี้อันตรายมาก ผมเองโดนกล่าวหาว่าหมิ่นพระนเรศวรมหาราช ทั้งที่กฎหมายบอกไว้ว่า ห้ามหมิ่นพระเจ้าแผ่นดินองค์ปัจจุบัน พระราชินี และรัชทายาท โดยเฉพาะมาตรา 112 พระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ท่านให้เลิกหมดเลย แต่รัฐบาลก็ไม่ได้ฟังพระราชกระแส เพราะถ้าฟังก็ควรแก้กฎหมายเลย ทำมาตรา 112 ให้เหมาะควรหรือเลิกไป แต่รัฐบาลก็ไม่ทำแล้วอ้างกฎหมายอื่นมาหาเรื่องจับคน
รัฐบาลควรจะเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของราษฎร รัฐบาลไม่ควรมีหน้าที่บีบบังคับราษฎร ราษฎรเห็นต่างจากรัฐบาลก็รังแกทุกอย่างเลย แม้จะอ้างตัวเป็นประชาธิปไตยแล้ว แต่หัวใจยังเป็นเผด็จการอยู่
ข้อเรียกร้องของนักศึกษาเป็นคุณต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างไร
ถ้าผู้หลักผู้ใหญ่ฟังข้อเรียกร้องของเขาและปรับปรุงแก้ไข มันก็เป็นของดี แต่ถ้าไม่ฟังข้อเรียกร้องเหล่านี้แล้วตะแบงยืนยันต่อต้านเขา มันก็ไม่ใช่ของดี เรื่องนี้รัชกาลที่ 6 ท่านถามน้องชาย คือ ทูลกระหม่อมจักรพงษ์ที่ทรงศึกษาที่รัสเซียและพระเจ้าซาร์เลี้ยงเหมือนพระราชโอรสบุญธรรมว่าทำไมราชวงศ์รัสเซียถึงพังพินาศไป แล้วคอมมิวนิสต์เข้ามาแทนที่ ทูลกระหม่อมบังคมทูลพี่ชายท่านว่า พระเจ้าซาร์เป็นคนน่ารัก เรียบร้อย แต่ท่านไม่ฟังคนที่คัดค้านท่านเลย ท่านฟังเฉพาะคนที่อุดหนุนท่านอย่างเดียว เพราะฉะนั้นสถาบันหลักต้องฟังคนที่คัดค้าน
พระพุทธเจ้าสอนว่ากัลยาณมิตรสำคัญที่สุดสำหรับทุกคน กัลยาณมิตรคือผู้ที่จะพูดในสิ่งที่เราไม่อยากฟัง เมื่อเราฟังที่เขาพูดแล้ว ถ้าเขาพูดเกินเลยไปก็สงสารเขา ยกประโยชน์ให้เขา ถ้าเขาพูดมีเหตุผลก็ต้องปรับปรุงแก้ไข นี่คือหัวใจ การปรับปรุงแก้ไขเกิดได้เมื่อเราฟังคำเตือน แม้คำเตือนนั้นมาจากความหวังดีหรือไม่หวังดีเราก็ต้องฟัง หากปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้จะเป็นของดี
นักศึกษาเหล่านี้กำลังถูกภาครัฐทำให้เป็น ‘ภัยต่อความมั่นคง’ การทำเช่นนี้อาจทำให้สถานการณ์นำไปสู่อะไรได้บ้าง
ผมไม่สามารถพูดแทนทุกคนได้ แต่ต้องเข้าใจว่าคนที่ออกมาเรียกร้องส่วนใหญ่เขามีความปรารถนาดี ควรจะรับฟังเขา อย่างน้อยต้องไม่รังแกหรือไม่ไปโจมตีเขา แต่มีคนที่ตั้งตัวเป็นคนที่จงรักภักดี ซึ่งผมคิดว่าเป็นพวกขวาตกขอบ อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ท่านบอกว่าเป็นพวกที่ตั้งตนเป็นพระราชายิ่งกว่าพระราชา พวกนี้อันตรายมาก ผมก็เตือนพวกนี้ด้วยความหวังดี ถ้าคุณรักสถาบันจริง อย่ามองว่าคนที่เห็นต่างจากคุณนั้นเลวร้าย เปิดโอกาสให้คนที่เห็นต่างจากคุณ ไม่เห็นด้วยกับเขาก็ไม่เป็นไร ในสังคมมีคนตั้งกี่ล้าน จะเห็นตรงกันหมดไม่ได้หรอก เห็นต่างกันก็ไม่เป็นไร ต้องเคารพเสียงที่คิดต่างจากเรา
เราต้องฝึก เพราะสังคมไทยเป็นสังคมที่สอนให้คนคิดเหมือนกันหมด สอนให้เคารพธงชาติเช้าเย็น “ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย” มันมีที่ไหน ผมนี่ชาติเชื้อเจ๊ก ปักษ์ใต้เป็นมลายูก็เป็นส่วนหนึ่งของประเทศเหมือนกัน เพลงชาติเช้าเย็นนี่ให้โทษที่เรามองไม่เห็น เปลี่ยนชื่อเป็นประเทศไทยนี่ก็อันตราย เพราะคนข้างล่างเขาไม่ใช่คนไทยแต่ก็อยู่ประเทศเดียวกันได้ รักกันได้ จงรักภักดีด้วยกันได้ ต่างศาสนาก็ไม่เป็นไร แต่เราทำให้คนต้องคิดเหมือนกัน ทำเหมือนกัน แต่งตัวเหมือนกัน ผมว่าไม่ได้เรื่องเลย
ท่าทีของนักศึกษาส่งผลแค่ไหนต่อการรับฟังข้อเรียกร้อง
ผมคงตอบแทนเขาไม่ได้ แนะนำได้ว่าต้องมีความใจกว้าง ฟังคนที่คิดไม่เหมือนกับเรา อย่าไปดูถูกว่าเป็นเด็กเป็นเล็ก ผมอายุแปดสิบกว่าแล้ว ที่ผมอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะผมฟังเด็กเล็ก ฟังคนที่คัดค้านผม บางครั้งผมก็ยอมรับว่าผมผิดแล้วเดินตามเขา สังคมต้องเป็นอย่างนั้น ผมอยากจะเตือนผู้ใหญ่ทั้งหลายว่าอย่าไปดูถูกคนอื่น อย่าไปโทษคนที่เห็นไม่เหมือนกับเรา ใจกว้างเข้าไว้เป็นของดีที่สุด
หลายฝ่ายกังวลเรื่องการใช้ไม้แข็งกับนักศึกษา
การใช้ไม้แข็งจะทำลายคนมีอำนาจเอง ที่อินเดีย มหาตมะ คานธี ให้คนต่อสู้โดยสันติวิธี ครั้งเดียวที่อังกฤษใช้ความรุนแรง นั่นเป็นเหตุใหญ่ที่ทำให้อังกฤษพังเลย อังกฤษอยู่ต่อมาโดยไม่ใช้ความรุนแรง แล้วคานธีก็ปลุกระดมคนให้ต่อสู้โดยสันติวิธีและเอาชนะอังกฤษได้ ทั้งที่เวลานั้นอังกฤษเป็นจักรวรรดิซึ่งพระอาทิตย์ไม่เคยตกดินเลย อินเดียเป็นประเทศยากจน มหาตมะ คานธี ท่านนุ่งผ้าเตี่ยวผืนเดียวสู้กับจักรวรรดิอังกฤษที่ยิ่งใหญ่มากจนสำเร็จ เพราะท่านสามารถชักชวนคนอินเดียว่าแม้จะยากไร้ขนาดไหนแต่ทุกคนมีความสำคัญและเท่าเทียมกันหมด ที่สำคัญคือสื่อกระแสหลักเห็นด้วยกับ มหาตมะ คานธี ซึ่งสำคัญมาก
สำหรับพวกที่ต่อต้านรัฐบาลในเวลานี้ก็มีสื่อนอกประเทศที่สนใจเรื่องนี้มาก รัฐบาลจะปิดตัวเองไม่ได้ อย่านึกว่าสื่อต่างประเทศไม่สำคัญ สื่อกระแสหลักที่เน้นไปทางบริโภคนิยม-ทุนนิยมอาจไม่สนใจ โฆษณาสินค้ามาจากนายห้างรวยๆ ทั้งนั้น และนายห้างรวยๆ เหล่านั้นก็สยบยอมกับเผด็จการทั้งนั้น แต่มีสื่อกระแสรองทั้งในและนอกประเทศที่พูดสัจจะวาจาขยายไปทั่วโลก ชัยชนะอยู่ที่สัจจะ ชัยชนะไม่ได้อยู่ที่อสัจ ชัยชนะอยู่ที่ประชาธิปไตย ไม่ได้อยู่ที่เผด็จการ
มีโอกาสที่ชนชั้นนำจะใช้ความรุนแรงไหม อะไรจะเป็นสิ่งป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงได้
ผมตอบแทนชนชั้นบนไม่ได้ แต่หวังว่าชนชั้นบนจะไม่โง่เขลาเบาปัญญาขนาดนั้น บทเรียนจาก 6 ตุลาฯ ก็ชัดเจนอยู่แล้ว ถ้าใช้ความรุนแรงแล้วไปกันใหญ่ นองเลือดเลย ตอน 14 ตุลาฯ เผด็จการสามคนที่คุมอำนาจหนีไปก็เลยไม่นองเลือด แต่ 6 ตุลาฯ ดึงดันอยู่ก็เลยพัง
อาจารย์เกิดปี 2475 รัฐประหารทุกครั้งอยู่ในช่วงชีวิตของอาจารย์หมด ถ้าประเมินตอนนี้มีโอกาสเกิดรัฐประหารไหม
มันเกิดอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะตั้งแต่ 2490 เป็นต้นมา ทหารเข้ามาเป็นรัฐ พอเริ่มเชื่อมั่นในตัวเองก็ให้มีการเลือกตั้ง มีรัฐธรรมนูญ พอทหารเห็นว่าไม่ได้เรื่อง ก็ล้มรัฐธรรมนูญอีกแล้ว ทำมาตลอดตั้งแต่ 2490 จนเดี๋ยวนี้ ตอนนี้ประยุทธ์ก็รู้สึกเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้นในการมีรัฐธรรมนูญที่เขียนเข้าข้างตัวเอง วุฒิสภาก็พวกตัวเองทั้งนั้น พรรคอนาคตใหม่เพียง 80 คนมีท่าทางหัวก้าวหน้าหน่อยก็รังแกเขา ยุบพรรคเขาเลย ใช้วิธีนี้เป็นวิธีที่โง่เขลา ถ้ารู้จักใช้วิธีที่อะลุ่มอล่วยได้ จะเป็นประโยชน์กับตัวเองเองด้วย เป็นประโยชน์กับบ้านเมืองด้วย
ยังไงการรัฐประหารก็มีโอกาสเกิดขึ้นอีก
ธรรมดาครับ แต่หวังว่าการประท้วงเหล่านี้จะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น ไม่ว่ารัฐบาลจะฟังหรือไม่ฟัง ถึงจะใช้ความรุนแรงแล้วสถานการณ์ดีขึ้น แต่มันดีขึ้นอย่างเจ็บปวดมาก ถ้ารัฐบาลฉลาดมันจะดีขึ้นอย่างเจ็บปวดน้อย
เริ่มมีการพูดถึงการเดินซ้ำรอย 6 ตุลาฯ ที่มีการระดมมวลชนฝ่ายขวา อะไรจะทำให้ไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น
อันนี้ผมไม่ทราบ เพราะเมื่อ 6 ตุลาฯ ตัวเลวร้ายออกมาชัด อย่าง สมัคร สุนทรเวช เป็นทั้งนักการเมือง ทั้งคุมสื่อมวลชน อุทาร สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ก็คุมสื่อมวลชนแล้วอ้างตัวเป็นราชวงศ์ หรือ อุทิศ นาคสวัสดิ์ นักดนตรีไทยที่คนเชื่อถือว่าเป็นอาจารย์เกษตรฯ คนพวกนี้เอาความน่าเชื่อถือของตัวเองมาสร้างความเลวร้าย บอกว่าธรรมศาสตร์เต็มไปด้วยญวน ป๋วยเป็นคอมมิวนิสต์ คนก็เชื่อไปได้พักเดียว เพราะสัจจะมันต้องปรากฏ ช่วงนี้ผมก็ยังดีใจ ยังไม่มีคนแบบที่กล่าวมา
อาจารย์คิดว่าผู้ใหญ่จำเป็นต้องเตือนหรือช่วยกันดึงแขนเด็กไม่ให้ไปไกลเกินเพื่อความปลอดภัยของเขาไหม
อย่าไปวิตก พยายามให้กำลังใจเขา และเตือนเขาด้วยความหวังดี ถ้าเขาไม่ฟังอย่าไปนึกว่าเขาดื้อ เด็กเขาก็ต้องแสดงความเป็นตัวของเขาเองบ้าง เขาอาจดื้อรั้นไปบ้างก็ให้โอกาสเขา เตือนเขาว่าพยายามอย่าให้หมิ่นเหม่โดยเฉพาะเรื่องสถาบัน ให้ใช้ภาษาด้วยความเคารพ ช่วยเตือนกันทุกฝ่าย
สำหรับอาจารย์ ในสภาพการณ์ปัจจุบัน สถาบันพระมหากษัตริย์ควรมีตำแหน่งแห่งที่แบบไหนในสังคมไทย
สถาบันเป็นนามธรรม ต้องพูดเป็นรูปธรรม พระมหากษัตริย์พระองค์นี้ท่านฟังและทำหลายเรื่อง ผิดกับพระราชบิดาที่ท่านไม่ได้มาแสดงเอง แต่ท่านให้คนอื่นทำแทนนะครับ อย่างจิตอาสาท่านก็อุดหนุนให้ทำ มีอะไรเดือดร้อนท่านก็ช่วยเหลือเกื้อกูล แม้ท่านจะอยู่ต่างประเทศ เดี๋ยวนี้สะดวก อีเมลถึงท่านทุกวัน หนังสือถึงท่านทุกวัน ท่านทำงานตลอดไม่หยุดยั้ง มองท่านในแง่บวกด้วย บางคนมองท่านในแง่ลบอย่างเดียว
แต่แน่นอนว่าท่านเป็นมนุษย์ ท่านก็มีข้อบกพร่องเช่นเดียวกัน ไม่ใช่ดีไปตลอดหมด เพราะฉะนั้นเราต้องมองท่านในฐานะมนุษย์ พูดกับท่านในฐานะที่ท่านเป็นมนุษย์ ท่านก็มีข้ออ่อนข้อแข็ง ข้อดีข้อด้อย แต่พูดอย่างเป็นมิตร พูดด้วยความเคารพนับถือก็เป็นประโยชน์กับท่าน เป็นประโยชน์กับสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นประโยชน์กับบ้านเมืองทั้งหมด
ปฏิเสธไม่ได้ว่าข้อเรียกร้องของนักศึกษามีส่วนมาจากข้อเสนอของ อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์เคยดีเบตกับ อ.สมศักดิ์ ในรายการตอบโจทย์ เวลาผ่านไปนับจากดีเบตครั้งนั้นมาถึงตอนนี้ อาจารย์มองเหมือนหรือต่างจากเดิมไหม
เรื่องมันก็หลายปีมาแล้ว วันนั้นที่เขาพูดกับผม ข้อเสนอของเขาเป็นข้อเสนอที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ดีที่สุดเลย แต่เสร็จแล้วไทยพีบีเอสยกเลิกรายการนี้เลย แล้วรายการอย่างนี้ก็ไม่มีอีก แสดงว่าผู้นำสื่อแม้กระทั่งสื่อสาธารณะก็ไม่มีความกล้าหาญทางจริยธรรมเลย ถ้าสื่อมีความกล้าหาญมากกว่านี้จะช่วยบ้านเมืองได้เยอะ แต่ก็ดีที่มีสื่อนอกกระแสหลัก แล้วคนก็หันมาหาสื่อนอกกระแสมากขึ้น ซึ่งน่าชื่นชม
ในสภาพสังคมแบบนี้ ทำอย่างไรจะเกิดพื้นที่ตรงกลางให้ฝ่ายอนุรักษนิยมและนักศึกษามาพูดคุยกันได้ด้วยเหตุผล
ไม่ว่าจะขวาตกขอบหรือซ้ายตกขอบ ถ้ามีโอกาสคุยกับฝ่ายตรงกันข้าม เคารพฝ่ายตรงกันข้าม มันจะช่วยทุกๆ คนเลย อย่าไปนึกว่าเราถูกคนเดียว คนอื่นเขาอาจจะถูกก็ได้ ต้องเคารพคนที่เราเห็นต่าง วันก่อนผมไปเยี่ยม เหวง โตจิราการ – วีระ มุสิกพงศ์ ที่ศาลอาญา แล้วผมก็เคยไปเยี่ยม พิภพ ธงไชย – จำลอง ศรีเมือง ตอนเขาติดคุก ผมเยี่ยมทั้งฝ่ายเสื้อเหลืองเสื้อแดง ไม่ใช่ว่าผมดีวิเศษอะไรหรอก แต่ผมเห็นว่าทุกคนเป็นเพื่อน ไม่จำเป็นต้องเห็นเหมือนกับผม ผมเคารพความเห็นต่างและเชื่อว่าคนเหล่านี้มีความปรารถนาดีด้วยกันทั้งนั้น จำลองเขาก็ปรารถนาดี เหวงก็ปรารถนาดี แม้เขาจะเห็นตรงกันข้ามก็ตามที
มองสถานการณ์ตอนนี้ อะไรคือสิ่งที่อาจารย์เป็นกังวลมากที่สุด
อย่าไปกังวลอะไรให้มาก ความกังวลไม่ทำให้เราคิดอะไรได้โปร่งใส พยายามคิดอะไรให้ชัดเจนโปร่งใส สำหรับผมที่เป็นพุทธศาสนิกชนต้องมีเวลาภาวนา อย่าใช้หัวสมองแก้ไขอย่างเดียว ใช้หัวใจแก้ไขด้วย คุณไม่ต้องถือศาสนาก็ภาวนาได้ ให้รู้ว่าสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเราคือลมหายใจ หัดฝึกลมหายใจ หายใจสั้นจะเครียด หายใจยาวจะช่วย แล้วจัดลมหายใจสั้นยาว จะสามารถฝึกจิตให้เปลี่ยนความโกรธเป็นความรักได้ แม้แต่พวกที่ไปร้องเย้วๆ อยู่ ถ้ามีเวลาหัดเดินลมหายใจบ้าง มิฉะนั้นจะเครียดเกินไป ต้องมีอารมณ์ขันด้วย หัวเราะเยาะตัวเองด้วย อันนี้จะช่วย
ฝ่ายนักศึกษาเรียกร้องว่านักการเมืองควรนำข้อเสนอไปพูดในสภา
เขาเรียกร้อง รัฐบาลจะทำหรือไม่ก็อีกเรื่อง แต่รัฐบาลก็ไม่เห็นจะต้องรังเกียจ ก็ทำได้ เอาเข้าสภา ตัวเองก็คุมสภาอยู่นี่ จะกลัวอะไรล่ะ
ฝ่ายนักศึกษาต้องปรับท่าทีหรือทิศทางการเรียกร้องอย่างไรไหม หากอยากให้ฝ่ายอนุรักษนิยมรับฟังอย่างจริงจัง
ยิ่งเรียกร้องมากขึ้น เขาก็จะปรับเปลี่ยนตัวเองได้มากขึ้น ประสบการณ์จะสอนให้เขาดีขึ้นเรื่อยๆ ธรรมดา เอาใจช่วยเขาเถอะ อย่าไปวิตกแทนเขาเลย
หากต้องพูดกับฝ่ายอนุรักษนิยมและผู้มีอำนาจในเวลานี้ ประเด็นใดที่พวกเขาควรคำนึงในการรับมือกับนักศึกษา
พูดไปแล้วเขาไม่ฟังก็ไม่มีประโยชน์หรอก ผมทั้งเขียน ทั้งลงเฟซบุ๊ก เตือนประยุทธ์มาตลอดเลย ถึงกับตั้งชื่อหนังสือ ‘สีซอให้ คสช.ฟัง’ เขาก็ไม่สนใจ ก็น่าสงสาร ทั้งๆ ที่ผมถือตัวเป็นเพื่อนกับเขานะ ผมไม่ได้ถือเป็นศัตรูกับเขาเลย เพราะฉะนั้นคนที่ไม่อยากจะฟังเราช่วยอะไรเขาไม่ได้หรอก พูดกับคนที่อยากฟังเราดีกว่า