นรา เรื่อง
ภาพิมล หล่อตระกูล ภาพประกอบ
รางวัลออสการ์ครั้งล่าสุดที่เพิ่งผ่านพ้น หนังที่ผมชอบมากอย่าง If Beale Street Could Talk ไม่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงในสาขาหนังยอดเยี่ยม นี้เป็นความผิดหวังส่วนตัวของผมเอง ซึ่งยอมรับและเข้าใจได้ว่ารางวัลออสการ์นั้น นอกจากจะชี้วัดตัดสินกันที่คุณภาพของเนื้องานแล้ว ยังมีเหตุปัจจัยอื่นๆ ประกอบ ตั้งแต่กระแสสังคม การคำนึงถึงเรตติ้งในวงกว้าง รวมถึงขนบจารีตบางอย่างที่ยึดถือกันมา
กรณีเช่นนี้ ทำให้ผมนึกไปถึง Some Like It Hot ผลงานปี 1959 ของบิลลี ไวด์เลอร์ (ซึ่งมีอายุครบรอบ 60 ปีในปีนี้) ด้วยความหวังว่า ในอนาคตข้างหน้า If Beale Street Could Talk จะมีที่ทางสถานะในโลกภาพยนตร์แบบเดียวกัน
Some Like It Hot ไม่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขาหนังยอดเยี่ยม ส่วนสาขาอื่นๆ ที่ได้เข้าชิง ก็พลาดไปเกือบหมด หนึ่งเดียวที่เป็นผู้ชนะคือ รางวัลออกแบบเครื่องแต่งกาย (สำหรับหนังขาวดำ) แต่ยิ่งเวลาผ่านพ้นไปนานเท่าไร งานชิ้นนี้ก็ยิ่งโดดเด่นและได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์ และเป็นที่รักของผู้ชมเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้นตามลำดับ
จนถึงปัจจุบัน Some Like It Hot ได้รับการคัดเลือกจาก American Film Institute ให้เข้ากลุ่ม 100 หนังตลก (อเมริกัน) ที่ดีที่สุดตลอดกาล โดยอยู่ในอันดับที่หนึ่ง และการโหวตโดยนักวิจารณ์ 252 คน จาก 52 ประเทศ โดย BBC เป็นเจ้าภาพ ลงคะแนนให้เป็นอันดับหนึ่ง หนังตลก (นับรวมทุกสัญชาติ) ที่ดีที่สุดตลอดกาล
ตามความเข้าใจของผม หนังตลกที่ยกย่องกันว่าดีที่สุดนี้ ไม่น่าจะหมายความว่า เป็นหนังที่ตลกขบขันเรียกเสียงหัวเราะได้มากสุดหรอกนะครับ เพราะพิจารณาจากรายชื่อหนังอื่นๆ ที่ติดกลุ่มในการเลือกสรรทั้ง 2 ครั้งแล้ว มีงานเด่นๆ อีกหลายเรื่องที่ตลกกว่าเยอะ (ตัวอย่างชัดๆ ก็เช่น หนังของชาร์ลี แชปลินและบัสเตอร์ คีตัน) นี่ยังไม่นับรวมว่า ความรู้สึกของผู้ชมที่มีต่ออารมณ์นั้น มักจะแตกต่างไม่ลงรอยกันได้มากสุด เมื่อเทียบกับอารมณ์อื่นๆ อย่างเช่น ความตื่นเต้น สะเทือนใจ สะพรึงกลัว
ผมจึงเข้าใจแบบคิดเองเออเองว่า การยกย่องที่ Some Like It Hot ได้รับ น่าจะมีความหมายถึงว่า เป็นหนัง ‘ดีที่สุด’ โดยคำนึงถึงองค์ประกอบความเป็นศิลปะ คุณภาพการแสดง การกำกับ งานสร้าง ความบันเทิง เนื้อหาสาระ รวมถึงการสร้างอิทธิพลแรงบันดาลใจให้กับหนังรุ่นหลังถัดมา ซึ่งในแง่นี้ Some Like It Hot สมบูรณ์แบบเพียบพร้อม จนสามารถนิยามได้ว่าเป็น The Perfect Comedy
ผมดู Some Like It Hot ครั้งแรกเมื่อนานมาแล้ว ในช่วงวัยที่ชั่วโมงบินการดูหนังยังอ่อนหัด ไม่ได้เข้าถึงเล็งเห็นคุณงามความดีอะไรมากนัก และจดจำได้แต่เพียงว่า เป็นหนังที่สนุกชวนติดตามมากๆ
แตกต่างกันไกลลิบลับกับการย้อนมาดูครั้งล่าสุด ซึ่งพบสัมผัสความยอดเยี่ยมของหนังอยู่ตลอดเวลา
ความล้ำเลิศประการแรกของ Some Like It Hot ก็คือ มันเป็นหนังที่มีเนื้อเรื่องเบาสมอง มีความเป็นเรื่องแต่งพาฝัน ห่างไกลจากชีวิตจริง มีลีลารูปแบบซึ่งตั้งใจแสดงความคารวะต่อหนังตลกแบบ slapstick และ screwball ซึ่งเป็นแนวทางของหนังตลกที่มักจะโดนดูแคลนเสมอมาว่า มีรสนิยมอยู่ในระดับล่างๆ
พูดง่ายๆ คือ เป็นหนังที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานปัจจัยที่หมิ่นเหม่ไม่มั่นคง มีแนวโน้มสูงยิ่งที่จะออกมาเลอะเทอะเหลวไหลกลายเป็นหนังเลว แต่ความเก่งกาจสามารถของบิลลี ไวด์เลอร์ ซึ่งดึงเอาศักยภาพของทีมงานผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็ทำให้หนังพลิกโฉมกลับตาลปัตรในทางตรงกันข้ามเข้าขั้นน่าอัศจรรย์ใจ
พล็อตคร่าวๆ ของหนัง จับความเหตุการณ์ในปี 1929 ใช้ชิคาโกเป็นฉากหลัง เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ไปทั่วประเทศ ผู้คนสิ้นเนื้อประดาตัวล่มจมกันเป็นจำนวนมาก มีการออกกฎหมายห้ามจำหน่ายสุรา (prohibition law) ซึ่งกลายเป็นเหตุปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งทำให้เกิดการค้าเหล้าเถื่อนอย่างเป็นล่ำเป็นสัน จนกระทั่งส่งผลให้แก๊งอาชญากรรมเฟื่องฟู
ท่ามกลางสภาพแวดล้อมดังกล่าว โจกับเจอร์รี 2 หนุ่มนักดนตรีถังแตกและตกงาน จับพลัดจับผลูโชคร้ายไปตกอยู่รู้เห็นเป็นพยาน การฆ่าล้างแค้นระหว่างแก๊งมิจฉาชีพ (ฉากนี้บทหนังเขียนขึ้นโดยอิงจากเหตุการณ์จริงที่เป็นข่าวครึกโครม และเรียกกันในเวลาต่อมาว่า The Saint Valentine’s Day Massacre ซึ่งสมาชิกแก๊ง North Side จำนวน 7 คน โดนกระหน่ำยิงอย่างเหี้ยมโหด เชื่อและสงสัยกันว่าเป็นการบงการของอัล คาโปน แต่ขาดหลักฐานที่จะเอาผิด)
ผลก็คือ 2 หนุ่มตกเป็นเป้าการไล่ล่า เพื่อฆ่าปิดปาก จนต้องหลบหนีเอาชีวิตรอดออกจากชิคาโก โดยการปลอมตัวเป็นสตรี เดินทางด้วยรถไฟมุ่งสู่ฟลอริดา ไปกับวงดนตรีแจ๊ซหญิงล้วน เพื่อทำการแสดงในโรงแรมหรูหราแห่งหนึ่งเป็นเวลา 3 สัปดาห์ (ตรงนี้หนังเล่นกับความประจวบเหมาะ ในการที่วงดนตรีดังกล่าวขาดสมาชิกไป 2 ตำแหน่งแบบปุบปับฉับพลัน และการฉวยโอกาสสวมรอยเข้าแทนที่ของตัวเอก ได้อย่างฉลาดหลักแหลมและตลกครื้นเครงมาก)
บนรถไฟ โจกับเจอร์รี (ซึ่งใช้ชื่อปลอมว่า โจเซฟินกับดาฟเน) ได้พบ รู้จัก และสนิทสนมกับสาวสวยเซ็กซี่ผมบลอนด์ชื่อชูการ์ เคน ซึ่งรับหน้าที่เป็นนักร้องนำของวง
ด้วยการที่ 2 หนุ่มช่วยเหลือให้เธอรอดพ้นจากการถูกไล่ออกจากวง ชูการ์จึงไว้เนื้อเชื่อใจเพื่อนใหม่หญิงปลอมทั้งคู่ ถึงขั้นยินดีเปิดเผยเล่าเรื่องส่วนตัวอย่างหมดเปลือก โดยเฉพาะความผิดหวังซ้ำซากในชีวิตรัก ซึ่งถูกผู้ชายคนแล้วคนเล่า เข้ามามีสัมพันธ์ชั่วแล่น ครั้นสมหวังแล้วก็ตีจากทอดทิ้ง (ยิ่งไปกว่านั้นยังปอกลอกข้าวของเงินทองไปด้วย)
โจเซฟินจึงปลอบประโลม ให้ความหวัง และคำแนะนำว่า ที่ฟลอริดานั้นเต็มไปด้วยเศรษฐี ชูการ์อาจพบใครสักคนที่เธอสามารถจับ และฉกฉวยแสวงหาผลประโยชน์
คำแนะนำของโจเซฟินนั้น ไม่ได้ประสงค์ดีเจตนาดี แต่เป็นการวางเหยื่อหรือกับดักโดยแท้ เป็นหลุมพรางที่เขาขุดวางเอาไว้ เพื่อจะได้ชื่นชมและมีสัมพันธ์กับชูการ์ และพร้อมจะตีจากทอดทิ้งเธอไปอย่างไม่ไยดี เมื่อสมหวังเรียบร้อยแล้ว ดังเช่นที่เขาเคยกระทำกับหญิงสาวมากหน้าหลายตาในช่วงต้นเรื่อง (หนังเก่งมากในการปูพื้นเพเหล่านี้ของตัวละคร ผ่านรายละเอียดเพียงแค่ฉากเดียวและบทพูดอีกไม่กี่ประโยค)
เมื่อทั้งหมดเดินทางไปถึงฟลอริดา โจซึ่งปลอมตัวเป็นผู้หญิงชื่อโจเซฟิน ก็ปลอมตัวอีกทอดหนึ่งเป็นชายหนุ่มมหาเศรษฐีชื่อเชลล์ออยล์ จูเนียร์ และหาลู่ทางทำความรู้จักกับชูการ์ จากนั้นก็กลายเป็นความสัมพันธ์ในแบบต่างฝ่ายต่างหลอก ชายหนุ่มโกหกสร้างเรื่องสารพัดของมหาเศรษฐีหนุ่มที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง ขณะที่หญิงสาวก็หว่านเสน่ห์เพื่อหวังผูกมัด พร้อมๆ กับกุเรื่องต่างๆ นานาให้ตนเองเป็นหญิงสาวซื่อบริสุทธิ์ไร้เดียงสา
เรื่องยังยุ่งเหยิงอีรุงตุงนังยิ่งไปกว่านั้น เมื่อดาฟเนกลายเป็นที่ติดเนื้อต้องใจของมหาเศรษฐีวัยกลางคนเจ้าสำราญชื่อออสกูดที่ 3 แรกเริ่มดาฟเนก็ต่อต้านขัดขืน แล้วต่อมาเมื่อได้รับการพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจ ทุ่มหว่านสิ่งของมีค่าสารพัดสารพัน ก็เริ่มเปลี่ยนความคิด เล็งเห็นช่องทางที่จะกอบโกยสร้างความมั่นคง จนยอมเล่นละครตบตาหลอกลวงอย่างเต็มใจ
เรื่องราวยุ่งเหยิงพัลวันพัลเกขึ้นอีก เมื่อโจเซฟินทราบถึงความสัมพันธ์ของเพื่อนคู่หู จึงฉวยใช้ประโยชน์จากฐานะมั่งคั่งของออสกูด สวมรอยเป็นมหาเศรษฐีให้สมบทบาทยิ่งขึ้น เพื่อหวังจะได้เชยชมชูการ์
เหตุการณ์ถัดจากนั้นไปจนจบ เล่นกับความสนุกสนานครื้นเครงจากสถานการณ์โกลาหลอลหม่านที่ทบทวีมากขึ้นตามลำดับ จนนึกเดาได้ยาก ว่าหนังจะหาทางจบคลี่คลายสวยๆ ได้อย่างไร?
งานของบิลลี ไวด์เลอร์นั้นเป็นที่ขึ้นชื่อลือชาและยกย่องกันว่า มักจะมีบทภาพยนตร์ที่ดีมากๆ และ Some Like It Hot ก็คือตัวอย่างเด่นชัดเป็นรูปธรรมจับต้องได้มากสุดเรื่องหนึ่ง เป็นบทหนังในแบบที่ผมอยากนิยามว่า ‘ฉลาดเป็นกรด’ ดำเนินเรื่องกระชับฉับไว คิดและสร้างฉากชวนจดจำได้เก่งฉกาจฉกรรจ์ เต็มไปด้วยบทพูดหลักแหลมคมคายและขบขันตลอดเวลา พร้อมๆ กับที่ทำหน้าที่เล่าเรื่องและสร้างความเป็นเหตุเป็นผล ตลอดจนสื่อสารเนื้อหาสาระไปควบคู่กัน (บนท้องเรื่องที่เหลือเชื่อ) อีกทั้งยังเปี่ยมด้วยชั้นเชิงทางศิลปะ
มี 2-3 อย่างในงานเขียนบท Some Like It Hot ที่ผมคิดว่าเข้าขั้นอภิอัครมหาเทพ นั่นคือ การเล่นกับความบังเอิญประจวบเหมาะครั้งแล้วครั้งเล่า การขับเคลื่อนเรื่องราวไปข้างหน้าตลอดเวลา ด้วยการที่ตัวละครอยู่ในสภาพ ‘ตกกระไดพลอยโจน’ และการแก้ไขให้รอดพ้นจากเหตุคับขันด้วยไหวพริบปฏิภาณ (ทั้งของตัวละครและการเล่าเรื่องของหนัง) ทั้ง 3 อย่างนี้ผสมปนกันอย่างลื่นไหลและทำได้เนียนเหลือเกิน
ที่ผมชอบมากอีกอย่างคือ ความแพรวพราวเก๋าเกม ในการเลือกเน้นจุดใดจุดหนึ่งแบบขยี้ลงลึกรายละเอียด และการเลือกที่จะหลบเลี่ยงละเว้นไม่เล่าถึงในบางส่วน (ในแง่นี้มักเป็นการข้ามรายละเอียดที่จะนำพาผู้ชมไปติดขัดปัญหาด้านความสมจริง) ประการหลังนี้ผมคิดว่าเป็น ‘การเล่นท่ายาก’ มากสุด เพราะถ้ามือไม่ถึง ทำได้ไม่ดีพอ จะกลายเป็นจุดอ่อนข้อด้อย หรือความไม่ประณีตรัดกุมของบทหนังขึ้นมาทันที
ตัวอย่างเท่าที่ผมพอนึกออกจดจำได้ก็เช่น การข้ามรายละเอียดเกี่ยวกับการปลอมตัวเป็นผู้หญิงของตัวละครเอกทั้งสอง หรือฉากปาร์ตี้ครื้นเครงบนรถไฟ ซึ่งควรจะมีปัญหายุ่งยากติดตามมามากมาย (จากการที่ตัวละครดึงสัญญาณหยุดรถฉุกเฉิน) แต่หนังก็แก้ปัญหาอย่างชาญฉลาด โดยอาศัยความเป็นหนังตลกเบาสมอง ตัดจบลงอย่างเฉียบขาด ให้ตัวละครเดินทางไปถึงฟลอริดาในฉากต่อมาทันที
นอกจากจะเป็นบทหนังที่ประกอบสร้างเรื่องราวได้อย่างโลดโผนพิสดารในทุกรายละเอียดแล้ว ความสำเร็จต่อมาก็คือ มันเป็นหนังตลกที่สนุกครบรส เรื่องอารมณ์ขันนั้นแทบไม่ต้องพูดถึง มีอยู่ในปริมาณมากมายเกินกว่าจะพรรณนาได้ครบถ้วน และกล่าวได้ว่าเป็นอารมณ์ขันที่ครอบคลุมทุกรูปแบบ ตั้งแต่ตลกแบบเอะอะมะเทิ่ง ตลกลึกคมคาย ไปจนถึงตลกร้ายเสียดสี
ความสนุกครบรสของหนังนั้นยังกินขอบเขตไปไกลถึง ความตื่นเต้นเร้าใจแบบหนังอาชญากรรม ความโรแมนติก และอารมณ์ซาบซึ้งสะเทือนใจในฐานะหนังรัก
เหตุการณ์ตามท้องเรื่อง ตลอดจนพฤติกรรมบางครั้งบางขณะของตัวละคร ทำให้หนังมีหลายฉากหลายตอนที่โฉบเฉี่ยวคาบเส้น พร้อมที่กลายเป็นหนังตลกสัปดนทะลึ่งตึงตังสองแง่สองง่ามได้ไม่ยาก แต่บทและชั้นเชิงของคนทำหนัง ก็ทำให้แง่มุมที่มีนัยยะส่อไปในทางเพศ นำเสนอออกมาในทางลึกและมีรสนิยมดี รวมทั้งพลิกผันด้วยความชาญฉลาดจนกระทั่งคลี่คลายอย่างสะอาดสะอ้าน กลายเป็นหนังที่อบอุ่นนุ่มนวล น่ารักน่าเอ็นดู ถูกสุขลักษณะอนามัย
Some Like It Hot เป็นหนังที่มุ่งเน้นความบันเทิงเป็นหลัก และทำได้ถึงพร้อมตามเป้าหมาย แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้หนังได้รับการยกย่องมากขึ้นไปอีกหลายระดับขั้นก็คือ ไม่เพียงแต่จะนำเสนอพล็อตเรื่องค่อนข้างไปทางเหลวไหลเลอะเทอะ ให้กลับกลายเป็นดูดีมีชาติตระกูลเท่านั้น ทว่ายังมีประเด็นทางเนื้อหาแง่คิดให้คติธรรมแก่ผู้ชม และสามารถสื่อสารเนื้อความสาระได้สอดคล้องกลมกลืนไปกับพล็อตเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ
แก่นเรื่องของหนัง นอกจากจะเสนอภาพกว้างๆ คร่าวๆ ของสังคมอเมริกันช่วงคาบเกี่ยวระหว่างปลายทศวรรษ 1920 ถึงต้นทศวรรษ 1930 แล้ว ยังสะท้อนถึงโลกแห่งการโกหกหลอกลวงกัน เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายในชีวิต บนความเชื่อที่ว่า ความร่ำรวยหรือคุณค่าในทางวัตถุ คือบทสรุปของทุกสิ่งทุกอย่างที่มุ่งไปสู่ความสุข ก่อนที่บรรดาตัวละครหลักทั้งหมดจะได้เรียนรู้ในบั้นปลาย ว่าแท้จริงแล้วมันเป็นเพียงเปลือกนอกหรือภาพลวงตา และได้ตระหนักถึงความสำคัญบางสิ่งที่ถูกมองข้ามหลงลืมไป ไม่ว่าจะเป็นมิตรภาพระหว่างเพื่อน ความซื่อสัตย์จริงใจต่อกัน หรือความรัก
ประเด็นทางเนื้อหาใน Some Like It Hot เป็นแง่คิดง่ายๆ ไม่ได้ลึกซึ้งหรือสลับซับซ้อนสูงส่ง แต่ความน่าสนใจอยู่ที่วิธีการนำเสนอสาระเหล่านี้อย่างเป็นระบบ ผ่านการจัดระเบียบในทางศิลปะ ด้วยน้ำเสียงแบบทีเล่นทีจริง บางครั้งก็เย้ยหยันประชดประชัน (แบบชวนให้ผู้ชมฉุกคิด) บางครั้งก็เจือด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนปลอบประโลม และที่ดีงามสุดคือ ทั้งหมดนี้แทรกปนไปกับความบันเทิงของหนัง โดยปราศจากการชี้นำสั่งสอนแบบขึ้นธรรมาสน์เทศน์
หนังเรื่องนี้มีบทพูดสั้นๆ ประโยคหนึ่ง ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก เป็นคำพูดที่หากเล่าสู่กันฟังแล้ว ปกติธรรมดาเหลือเกิน จนไม่รู้สึกอะไรเลย แต่เมื่อมันปรากฏในหนังแบบถูกที่ถูกเวลา หลังจากที่ผู้ชมผ่านการติดตามตัวหนังทั้งเรื่อง และรู้จักมักคุ้นกับตัวละครเป็นอย่างดี ตลอดจนได้เห็นสีหน้าแววตาของนักแสดงที่กล่าวคำพูดนี้
ด้วยปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมา ถ้อยคำอันแสนดาษดื่นธรรมดา พลันกลับกลายเป็นประโยคจบที่เด็ดขาดทรงพลัง เป็นแก๊กตลกแบบต้องขบก่อนแล้วจึงค่อยขันที่ดีที่สุดอีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของโลกภาพยนตร์ และเป็นทั้งการสรุปเนื้อหาสาระหลักของหนังอย่างกระชับสั้นได้ใจความเป็นที่สุด
Some Like It Hot เป็นหนังขาวดำในช่วงเวลาที่หนังส่วนใหญ่นิยมถ่ายทำด้วยฟิล์มสี เหตุผลเบื้องหลังก็คือ บิลลี ไวด์เดอร์ต้องการใช้คุณสมบัติของความเป็นหนังขาวดำ เพื่อกลบเกลื่อนอำพรางลดทอนความฉูดฉาดจัดจ้าน ในการแต่งหน้าของตัวละครฝ่ายชายที่ต้องปลอมตัวเป็นหญิง
ความคิดดังกล่าว เมื่อประกอบรวมกับฝีมือการแสดงของโทนี เคอร์ติส และแจ็ค เลมมอน รายละเอียดในการกำหนดสร้างบุคลิกของตัวละครจากการเขียนบท ส่งผลให้ทั้งคู่กลายเป็น ‘ชายไม่จริงหญิงปลอม’ แบบที่ผู้ชมเห็นชัดอยู่ทนโท่ (เพื่อผลในทางตลกขบขัน) ขณะเดียวกันก็สามารถคล้อยตามยอมรับได้อย่างไม่รู้สึกขัดเขินหรือติดข้องค้างคาใจถึงความไม่สมจริง
นอกเหนือจาก 2 นักแสดงในบทนำแล้ว คนอื่นๆ ที่เหลือทั้งหมดในบทรองลงมา ล้วนเล่นดีกันโดยทั่วหน้า ที่โดดเด่นเป็นพิเศษคือ โจ อี. บราวน์ในบทมหาเศรษฐีวัยกลางคนที่มาตกหลุมรักสาวปลอม ตัวละครนี้มีความเป็นการ์ตูนตั้งแต่รูปลักษณ์หน้าตา วิธีการพูดจา รวมไปถึงบุคลิกนิสัยใจคอ จนกลายเป็นสีสันและอารมณ์ขันในทุกครั้งที่ปรากฏตัว
อย่างไรก็ตาม คนที่โดดเด่นและเป็นจอมขโมยซีนที่แท้จริง คือ มาริลีน มอนโรในบทชูการ์ เคน ซึ่งเข้าลักษณะ ‘สาวสวย เซ็กซี ไร้สมอง’ เป็นส่วนผสมที่น่ามหัศจรรย์และมีความเฉพาะตัวมาก ระหว่างการขายรูปลักษณ์ภายนอก พลังของความเป็นเซ็กซ์ซิมโบลที่ยากจะหาใครมาเทียบเคียง และความสามารถทางการแสดง
มาริลีน มอนโรทำให้ชูการ์ เคน เป็นทั้งตัวละครที่เซ็กซี่เย้ายวนในทางเพศ มีอานุภาพการทำลายล้างสูงยิ่ง ขณะเดียวกันก็เป็นตัวละครที่เปราะบาง อ่อนไหว ชวนให้ผู้ชมรักและเอาใจช่วย และหวั่นกังวลว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีไม่งามกับตัวเธอไปด้วยพร้อมๆ กัน ที่ยอดเยี่ยมไปกว่านั้นคือ การแสดงของเธอยังผสมผสานกันระหว่างความตลกอย่างร้ายกาจและความหม่นเศร้าลึกสะเทือนใจ
มีเบื้องหลังซึ่งเป็นที่โจษจันเล่าขานกันอยู่มาก ว่าช่วงที่เล่นหนังเรื่อง Some Like It Hot ชีวิตจริงของมาริลีน มอนโร เต็มไปด้วยปัญหาทุกข์ตรมหนักหนาสาหัส พูดง่ายๆ คือ อยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมทำงาน และความประพฤตินอกจอของเธอ ทั้งการมาถึงกองถ่ายล่าช้ากว่านัดหมาย 2-3 ชั่วโมงอยู่เนือง ๆ การขาดสมาธิในการท่องจำบทพูด (ว่ากันว่า มีหลายฉากหลายตอนที่พูดประโยคสั้นๆ ง่ายๆ แต่กว่ามาริลีน มอนโรจะเล่นได้ถูกต้อง ก็ปาเข้าไปร่วมๆ 40 เทค) หรือความเจ้าอารมณ์ไม่อยู่กับร่องกับรอยตามประสาดาราใหญ่ แผลงฤทธิ์อาละวาดกับใครต่อใครไปทั่ว ก็ทำให้ทีมงานทั้งหมดพากันเอือมระอาปวดเศียรเวียนเกล้าไปตามๆ กัน โดยเฉพาะบิลลี ไวด์เลอร์ ซึ่งทั้งรักทั้งแค้นมาริลีนไปอีกหลายปี และโทนี เคอร์ติสที่มีบทต้องร่วมแสดงด้วยกันเยอะสุด รายหลังนี้ถึงขั้นป่าวประกาศว่า ‘การเล่นบทเข้าพระเข้านางมีบทจูบกับมาริลีนในหนังเรื่องนี้ เปรียบเทียบเท่าการจุมพิตกับฮิตเลอร์’ (คำพูดนี้เก็บความมาเล่าต่อด้วยถ้อยคำสำนวนของผมเองนะครับ ไม่ตรงกับข้อมูลจริงเสียทีเดียว แต่ความหมายนั้นประมาณนี้)
แต่พ้นจากความเป็นดาราเจ้าปัญหาแล้ว มาริลีน มอนโรก็ถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะผู้เก่งกาจ (ที่มักจะถูกมองข้ามความสามารถ โดยความงามของเธอเอง) เมื่อไรก็ตามที่เข้าฟอร์ม เธอมักจะมอบการแสดงที่วิเศษเสมอ
และ Some Like It Hot ก็คือ ของขวัญในทางการแสดงอันยอดเยี่ยมไม่มีที่ติ มีความเป็นอมตะ (หลังจากผ่านเบื้องหลังการทะเลาะเบาะแว้งตบตีชนิดแทบฆ่ากันตาย) ที่มาริลีน ฝากไว้แก่โลกภาพยนตร์ ก่อนที่เธออำลาจากไปในอีก 3 ปีต่อมา
Some Like It Hot เป็นหนังตลกที่ดีที่สุดตลอดกาล และเป็นบทบาทการแสดงที่ดีที่สุดของมาริลีน มอนโร