สืบเนื่องจากบทความที่ผมเคยเผยแพร่ใน the101.world เรื่อง ‘ความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์โลกบาดาล: จุดเปราะบางบนพื้นดินท้องทะเลระหว่างประเทศ‘ ที่ผมเล่าเรื่องโอกาสที่จะเกิดความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ครั้งใหม่ในท้องทะเลโดยเฉพาะในพื้นที่ทะเลหลวง (High Seas) บริเวณพื้นที่ (The Area) และพื้นดินท้องทะเล (International Seabed) รวมถึงความเปราะบางของระบบนิเวศและผลกระทบอันอาจจะเกิดขึ้น จากการแสวงหาผลประโยชน์จากการทำเหมืองแร่บนและใต้พื้นดินท้องทะเล รวมไปจนถึงการแสวงหาแหล่งพลังงาน และแหล่งกักเก็บก๊าซเรือนกระจกในรูปแบบ Carbon Capture and Storage (CCS) ที่กำลังจะเกิดขึ้นภายในปี 2025 หากแต่องค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เช่น องค์กรพื้นดินท้องทะเลระหว่างประเทศ (International Seabed Authority: ISA) กลับได้รับจัดสรรงบประมาณต่ำมาก จนไม่น่าจะเพียงพอสำหรับการทำการศึกษาวิจัยในระบบนิเวศที่ซับซ้อนและห่างไกลเหล่านี้ได้ ขณะที่ทางด้านกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง อย่างอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล (United Nations Convention on the Law Of the Sea: UNCLOS) ที่แม้จะมีประเทศภาคีที่ให้สัตยาบันเพื่อให้ UNCLOS มีผลบังคับใช้แล้วเป็นจำนวนถึง 168 ประเทศ แต่สหรัฐอเมริกากลับยังไม่ได้ร่วมเป็นภาคีในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล นี่จึงอาจเป็นชนวนความขัดแย้งที่มีศักยภาพที่จะพัฒนาให้ก้นทะเลลึกกลายเป็นดินแดนแห่งความขัดแย้งทั้งต่อระหว่างรัฐต่อรัฐ และระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติต่อไป
แต่ขณะนี้มีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้น นั่นคือ เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2023 ที่ผ่านมา ที่ประชุมสหประชาชาติสามารถสรุปผลการเจรจา ‘สนธิสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยทะเลหลวง’ (The United Nations High Seas Treaty) ได้แล้ว
สนธิสัญญาใหม่นี้จะทำให้เกิดการกำหนดพื้นที่คุ้มครองทางทะเล (Marine Protected Areas: MPAs) ในทะเลหลวง ซึ่งจำเป็นต่อการปฏิบัติตามพันธสัญญาสากลของความตกลงความหลากหลายทางชีวภาพทั่วโลกคุนหมิง-มอนทรีออล (Kunming-Montreal Global Biodiversity Framework: GBF) ที่สรุปผลไปเมื่อเดือนธันวาคม 2022 ในการประชุม 2022 United Nations Biodiversity Conference โดยมีการตั้งเป้าหมายเพื่อปกป้องอย่างน้อย 30% ของพื้นที่ทะเลหลวงภายในปี 2030
สนธิสัญญายังกำหนดให้ทั่วโลกต้องมีการประเมินผลกระทบของกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่อความหลากหลายทางชีวภาพในทะเลหลวง ประเทศกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาน้อยที่สุดจะได้รับการสนับสนุนในการเข้าร่วมในเพื่อดำเนินการตามสนธิสัญญาฉบับใหม่ โดยประเทศพัฒนาแล้วต้องมีการเสริมสร้างศักยภาพที่แข็งแกร่งและการถ่ายทอดเทคโนโลยีทางทะเล นอกจากนี้ สนธิสัญญาที่หาข้อสรุปร่วมกันมาได้นี้ยังกำหนดแนวทางการรับทุนสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและเอกชน และส่วนที่สำคัญที่สุดคือต้องมีการสร้างกลไกที่เป็นธรรมในการแบ่งปันผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นจากทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพในมหาสมุทร
ทุกอย่างดูเหมือนจะสามารถสรุปจบลงตัวได้อย่างดี หากแต่ผู้เขียนยังคงมีข้อสังเกตดังต่อไปนี้
- ต้องอย่าลืมว่า ขั้นตอนปัจจุบันคือการสรุปผลการเจรจา ซึ่งเจรจาต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 1994 แต่การสรุปผลการเจรจาไม่ได้หมายถึงการบังคับใช้ (implementation) โดยการที่ The United Nations High Seas Treaty จะมีผลบังคับใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีรัฐภาคีอย่างน้อย 60 รัฐให้สัตยาบัน (ratified) ซึ่งนั่นทำให้เรายังไม่สามารถกำหนดช่วงเวลาที่แน่นอนได้ว่าเมื่อไหร่สนธิสัญญานี้จะเกิดการบังคับใช้ได้จริง ต้องอย่าลืมว่าในอดีต กว่า UNCLOS จะได้รับการให้สัตยาบันและมีผลบังคับใช้ก็ล่วงเข้าไปปี 1994 ทั้งๆ ที่ตัวกฎหมายได้สรุปผลการเจรจาไปตั้งแต่ปี 1982 หรือใช้เวลาถึง 12 ปีกว่าจะมีผลบังคับใช้ ในขณะที่ต้องอย่าลืมว่าใบอนุญาตในการทำเหมืองแร่ใต้ทะเลได้ออกไปแล้วกว่า 21 ใบอนุญาตและจะเริ่มต้นทำเหมืองได้ตามคาดการณ์ในปี 2025
- ถึงแม้จะมีประเทศภาคี UNCLOS ถึง 168 ประเทศ และทั้งหมดก็ร่วมอยู่ในกระบวนการเจรจาเพื่อร่าง The United Nations High Seas Treaty หากแต่ประเทศมหาอำนาจที่มีทั้งเทคโนโลยี ทรัพยากร (ทั้งมนุษย์และเงินทุน) รวมทั้งมีส่วนได้ส่วนเสียเป็นอย่างยิ่งในการรักษาดูแลและใช้ประโยชน์จากพื้นที่ทรัพยากร อย่างสหรัฐอเมริกา ซึ่งยังคงไม่ได้ร่วมเป็นภาคีในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ก็ยังคงไม่ได้เป็นภาคีที่จะร่วมกันคุ้มครองดูแลอนุรักษ์ทะเลหลวงต่อไป
- ประเด็นความท้าทายที่สุดสำหรับผลในทางปฏิบัติเพื่อให้เกิดการอนุรักษ์และใช้ทรัพยากรในทะเลหลวงร่วมกันได้อย่างยั่งยืน นั่นคือในความเป็นจริง พื้นที่ที่จะได้รับความคุ้มครองภายใต้สนธิสัญญาดังกล่าวมีขนาดพื้นที่ที่เล็กน้อยเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่ทะเลหลวงซึ่งมีอยู่ทั่วทั้งโลก โดยหากพิจารณาจากภาพที่ 1 ซึ่งแสดงพื้นที่ทะเลหลวงด้วยพื้นที่สีน้ำเงิน ซึ่งมีขนาดกว้างใหญ่ไพศาลครอบคลุมพื้นผิวส่วนใหญ่ของโลก กับภาพที่ 2 แผนที่แสดงพื้นที่คุ้มครองทางทะเล (Marine Protected Areas: MPAs) เราจะเห็นได้ว่า พื้นที่ที่จะได้รับการคุ้มครองภายใต้ The United Nations High Seas Treaty คือพื้นที่เพียงส่วนน้อย ประมาณ 26,146,645 ตารางกิโลเมตร หรือคิดเป็นเพียง 7.2% ของพื้นที่ทะเลหลวงทั้งหมดเพียงเท่านั้น

ที่มา: https://en.wikipedia.org/wiki/High_Seas_Treaty#/media/File:Exclusive_Economic_Zones.svg

ที่มา: https://mpatlas.org/
แน่นอนว่า สนธิสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยทะเลหลวง (The United Nations High Seas Treaty) คือจุดเริ่มต้นอันถูกต้องดีงามที่เกิดขึ้นจากการทำงานอย่างหนักของหลายภาคส่วน หลายประเทศ หลายบุคลากรสำคัญ ภายใต้ข้อจำกัดทางความขัดแย้งระหว่างประเทศในมิติภูมิรัฐศาสตร์ หากแต่ความตั้งใจจริงในการอนุรักษ์ธรรมชาติ และระบบนิเวศที่เปราะบางหากแต่มีความสำคัญที่สุดต่อมนุษย์ ยังคงต้องการการผลักดันสนับสนุน และความจริงใจจากทุกๆ ประเทศต่อไป
อ้างอิง
- https://www.un.org/bbnj/sites/www.un.org.bbnj/files/draft_agreement_advanced_unedited_for_posting_v1.pdf
- https://th.eureporter.co/environment/biodiversity/2023/03/06/ocean-biodiversity-global-agreement-on-protection-and-sustainable-use-of-resources-and-biodiversity-in-high-seas/
- https://en.wikipedia.org/wiki/High_Seas_Treaty
- https://www.bbc.com/news/science-environment-64839763
- https://www.theguardian.com/environment/2023/mar/05/high-seas-treaty-agreement-to-protect-international-waters-finally-reached-at-un