fbpx

นโยบายปราบ ‘อันธพาล’ กับการสร้างภาพลักษณ์ ‘พ่อบ้าน’ ทางการเมืองไทยของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์

                  “เพราะข้าพเจ้าเป็นนายกรัฐมนตรี ข้าพเจ้ามีความรับผิดชอบมากกว่าคนอื่น ข้าพเจ้าต้องรับผิดชอบต่อความผาสุกของคนไทยทั้งประเทศ…เปรียบเสมือนครอบครัว พ่อบ้านเห็นลูกคนไหนไม่ดี จะอัปเปหิขับไล่ตัดเป็นตัดตายเสียเลยทีเดียว โดยไม่อบรมดุด่าว่ากันเลย ก็ไม่ถูก ข้าพเจ้าเป็นดั่งพ่อบ้าน เห็นท่านไม่ดีจึงสั่งให้มาจับตัวมากักไว้ อบรมว่ากล่าวให้รู้ตัวชั่วดีกันเสียก่อน”[1]

แม้ว่าภาพจำทางการเมืองไทยในปัจจุบันของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีคนที่ 11 ของไทยจะมีภาพจำที่มิสู้ดีนัก กล่าวคือ เป็นภาพจำของผู้นำเผด็จการทหารที่โหดเหี้ยม เด็ดขาด และรุนแรง กระนั้นก็ปฏิเสธมิได้ว่า สำหรับผู้คนจำนวนหนึ่งในสังคมไทย โดยเฉพาะผู้สูงวัยบางคนที่เคยผ่านประสบการณ์ชีวิตทางการเมืองในยุคจอมพลสฤษดิ์ (พ.ศ. 2500-2506) กลับมีอาการ ‘คิดถึงจอมพลสฤษดิ์’ ในยามที่บ้านเมืองไทยเต็มไปด้วยความวุ่นวายทางการเมือง

เป็นไปได้ว่า สาเหตุหนึ่งของอาการ ‘คิดถึงจอมพลสฤษดิ์’ มาจากภาพความทรงจำว่าด้วยบุคลิกภาพที่น่ากลัวและน่าเกรงขามของจอมพล ด้วยการเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติและนายกรัฐมนตรีที่ใช้อำนาจสั่งการอย่างเด็ดขาด รุนแรง และการดำเนินนโยบายทางการเมืองแบบ ‘ยาแรง’ เช่น การสั่งประหารชีวิตด้วยวิธีการ ‘ยิงเป้า’ ผู้ต้องสงสัยในกรณีลอบวางเพลิง ไปจนถึงการปราบปรามบรรดาเหล่านักเลงอันธพาล ทำให้จอมพลสฤษดิ์ที่มีภาพจำในฐานะของผู้นำเผด็จการทหาร แต่ในขณะเดียวกันก็ทำกลับทำให้หลายคนมีภาพความทรงจำว่า ยุคสมัยการปกครองของจอมพลสฤษดิ์เป็นยุคที่สังคมไทย
มีความสงบสุขเรียบร้อยอย่างที่มิเคยเป็นมา 

ตลอดยุคสมัยทางการเมืองของจอมพลสฤษดิ์ หนึ่งในนโยบายที่ถือได้ว่าเป็นนโยบาย ‘โบว์แดง’ คือนโยบายปราบอันธพาล ซึ่งได้เริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจังนับตั้งแต่เมื่อจอมพลสฤษดิ์ได้ทำการยึดอำนาจในนามของการ ‘ปฏิวัติ’ เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2501 ดังที่จอมพลสฤษดิ์ในนามหัวหน้าคณะปฏิวัติ ได้ออกประกาศให้ประชาชนทราบโดยทั่วกันเพียงไม่นานหลังการปฏิวัติสำเร็จว่า

                  “ด้วยปรากฏว่า ได้มีบุคคลประพฤติตนเป็นอันธพาล กระทำการด้วยตนเองหรือสนับสนุนคนอื่น รังแกข่มเหง ขู่เข็ญ หรือรบกวนให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่ประชาชน และในบางกรณีก็กระทำการแสดงตนให้บุคคลอื่นเกรงกลัว จำต้องยอมทนรับกรรมบางประการ ไม่กล้าขัดขืนหรือร้องเรียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ดำเนินการ เพราะเกรงภัยอันจะเกิดแก่ตน ทั้งนี้ นับเป็นภัยอันตรายแก่ความสงบสุขของประชาชนพลเมืองทั่วไป นอกจากนั้น ยังปรากฏว่ามีบุคคลอยู่ไม่น้อยที่ดำรงชีพด้วยการกระทำผิดต่อกฎหมาย เช่นเป็นเจ้ามือการพนันสลากกินรวบอันเป็นภัยต่อเศรษฐกิจของชาติ คณะปฏิวัติเห็นเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่เจ้าพนักงานฝ่ายปกครองและตำรวจจะได้จัดการปราบปรามบุคคลเช่นว่านั้น เพื่ออำนวยความสุขแก่ประชาชน และความเจริญของบ้านเมือง”[2]

แม้เหตุผลตามประกาศคณะปฏิวัติจะเป็นไปเพื่อความสงบสุขของประชาชน แต่นโยบายปราบอันธพาลของจอมพลสฤษดิ์ก็มีความเป็นการเมืองอย่างมาก เนื่องจากในช่วงทศวรรษ 2490 เป็นที่รับรู้กันดีว่า เหล่าบรรดานักเลงอันธพาลส่วนใหญ่ซึ่งมักจะมีอาชีพเป็นคนคุมซ่อง คุมบ่อนการพนัน และคุมแหล่งอบายมุขต่างๆ อยู่ภายใต้การสนับสนุนดูแลของพลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจ ผู้เป็นนายตำรวจใหญ่และนักการเมืองมือขวาคู่ใจของจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ทำให้เหล่าบรรดานักเลงอันธพาลที่มีชื่อเสียงในช่วงทศวรรษ 2490 ในเขตพระนครอย่าง ‘เกชา เปลี่ยนวิถี’ และ ‘โอวตี่’ นิลราช แซ่โค้ว ล้วนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทางเจ้าหน้าที่ 

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีความเป็นไปได้ว่า กลุ่มนักเลงอันธพาลส่วนใหญ่ถือเป็นฐานเสียงและหัวคะแนนให้แก่พรรครัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ทั้งยังเป็นเครื่องมือทางการเมืองไว้สำหรับคอยก่อกวนรังขวานคู่แข่งทางการเมืองหรือฝ่ายตรงข้ามที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล[3]

ดังนั้น ในด้านหนึ่ง นโยบายปราบอันธพาลของจอมพลสฤษดิ์จึงเป็นการทำลายเครื่องมือและกลไกอำนาจทางการเมืองของกลุ่มพลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ ซึ่งถือเป็นฝ่ายอำนาจเก่าที่จอมพลสฤษดิ์ได้ทำการรัฐประหารยึดอำนาจ (ในครั้งแรก) เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2500 ก่อนที่หลังจากนั้นเพียงหนึ่งปี จอมพลสฤษดิ์ก็ทำการปฏิวัติยึดอำนาจซ้ำอีกครั้งในวันที่ 20 ตุลาคม 2501 ในนามของ ‘คณะปฏิวัติ’

นโยบายปราบอันธพาลของจอมพลสฤษดิ์ดำเนินไปอย่างเข้มข้นตั้งแต่หลังการปฏิวัติ 20 ตุลาฯ และปรากฏเป็นข่าวหน้าหนึ่งบนหนังสือพิมพ์หลายฉบับอย่างต่อเนื่อง โดยจากสถิติบัญชีผลการปราบปรามบุคคลอันธพาลของตำรวจนครบาลระบุว่า นับจากวันปฏิวัติ 20 ตุลาฯ จนถึงสิ้นปี 2501 มีเหล่าอันธพาลถูกเจ้าหน้าที่จับกุมจำนวนทั้งสิ้น 894 คน ในขณะที่ตลอดทั้งปี 2502 ซึ่งเป็นปีที่มีการจับอันธพาลมากที่สุด มีอันธพาลถูกเจ้าหน้าที่จับกุมจำนวนมากถึง 2,210 คน และตลอดสมัยทางการเมืองของจอมพลสฤษดิ์ (พ.ศ. 2501-2506) มีเหล่าอันธพาลถูกจับกุมไปทั้งสิ้นเป็นจำนวนมากถึง 7,539 คน[4]

ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง นโยบายปราบอันธพาลของจอมพลสฤษดิ์ก็ช่วยสร้างเสริมภาพลักษณ์การเป็นผู้นำทางการเมืองของจอมพลสฤษดิ์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเด็ดขาด ดังที่หนังสือพิมพ์หลายฉบับในสมัยนั้นมักกล่าวถึงจอมพลสฤษดิ์ด้วยวาทศิลป์ว่า ‘เด็ดขาด’ หรือ ‘เฉียบขาด’ ดังรายงานข่าวหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งที่รายงานข่าวนโยบายปราบอันธพาลของจอมพลสฤษดิ์ ว่า ‘จะปราบอันธพาลเด็ดขาด’

                  “จอมพลสฤษดิ์ก็ได้ดำริที่จะปราบปรามอันธพาลให้หมดสิ้นไปโดยเด็ดขาด เพราะเห็นว่าเหล่าอันธพาลเหล่านี้เป็นลูกตุ้มถ่วงความเจริญของประเทศชาติ ทั้งทำให้การปฏิบัติของคณะปฏิวัติบังเกิดความไม่สะดวกตามจุดประสงค์ แม้คณะปฏิวัติจะดำเนินการลดค่าครองชีพประชาชนหรือแก้ไขสิ่งเลวร้ายในสังคมให้ดีขึ้น แต่ถ้ายังมีเหล่าอันธพาลคอยก่อกวนก็เสมือนยังมีโรคร้ายอยู่ ประชาชนผู้สุจริตถูกพวกอันธพาลเบียดเบียนอยู่เสมอดังนี้ จึงเห็นความจำเป็นที่จะต้องปราบอันธพาลเหล่านี้ให้หมดสิ้นให้จงได้ และจะถือเป็นงานชิ้นสำคัญที่คณะปฏิวัติจะต้องกระทำอย่างรีบด่วนอีกด้วย”[5]

ไม่เพียงเท่านั้น ในช่วงแรกๆ ของการดำเนินนโยบายปราบปรามอันธพาล จอมพลสฤษดิ์ยังเดินทางไปสถานีตำรวจต่างๆ ด้วยตนเอง เพื่อสำรวจตรวจสอบการจับกุมอันธพาลของเจ้าหน้าที่ และได้สั่งสอนเหล่าบรรดาอันธพาลที่ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมนำตัวมาไว้ที่โรงพักด้วยตัวเอง ดังรายงานข่าวฉบับหนึ่งที่รายงานว่า “จอมพลสฤษดิ์ตักเตือนอันธพาล ยังไม่สายเกินไปที่จะกลับตัว”

                  “หลังจากที่ได้ไปตรวจสถานีตำรวจพญาไทและเบิกตัวอันธพาลมาทำการอบรมสั่งสอนให้กลับตัวเสียใหม่มาคืนหนึ่งแล้ว คืนต่อมาจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ หัวหน้าคณะปฏิวัติได้ไปตรวจและเบิกตัวบุคคลเป็นอันธพาลมาอบรมที่สถานีตำรวจพลับพลาไชยทั้งสองเขต 22 คน และจากคำสั่งสอนนี้เอง ทำให้อันธพาลบางคนได้สำนึกความผิดถึงกับหลั่งน้ำตาว่า ‘ผมผิดไปแล้ว’ ก่อนจะกลับได้สั่งให้ทำการกวาดล้างอันธพาลที่ยังเหลือต่อไปอีก 

                  ...ขณะที่จอมพลสฤษดิ์กำลังอบรมอยู่นั้นอันธพาลสองคนซึ่งภายหลังทราบว่าชื่อนายฮั๊ว แซ่เบ้ กับนายชิด แซ่ลิ้ม ยืนร้องไห้น้ำตาไหลได้สารภาพกับจอมพลสฤษดิ์ว่าจะพยายามกลับตัวเป็นคนดี เพราะสำนึกถึงความผิดที่ได้กระทำไปแล้ว”[6]

อย่างไรก็ดี คงไม่มีการจับกุมอันธพาลครั้งใดจะเป็นข่าวความสนใจได้เท่าการจับกุมนายเกชา เปลี่ยนวิถี นักแสดงประเภท ‘ดาวร้าย’ ชื่อดังของวงการภาพยนตร์ไทย ซึ่งได้เริ่มต้นอาชีพการแสดงในช่วงยุคปลายทศวรรษ 2490 ทว่าก็มีชื่อเสียงทางด้านการเป็นนักเลงดังย่านฝั่งพระนคร รวมทั้งยังมีข้อมูลด้วยว่า นายเกชา เคยเป็นฐานเสียงและหัวคะแนนให้กับพรรคเสรีมนังคศิลาของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในช่วงการเลือกตั้งใหญ่ต้นปี 2500

นายเกชาจึงถือเป็นเป้าหมายอันดับแรกๆ ของคณะปฏิวัติในการดำเนินนโยบายปราบอันธพาล โดยปรากฏข่าวว่า จอมพลสฤษดิ์ได้เรียกตัวให้นายเกชาไปพบและตักเตือนนายเกชาด้วยตนเองว่า ไม่ให้ประพฤติตนเป็นอันธพาล ถ้าไม่เชื่อฟังจะจัดการเด็ดขาด”

                  “จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ หัวหน้าคณะปฏิวัติคาดโทษนายเกชา เปลี่ยนวิถี กับนายเต้อ หรือวิชัย วานิชยทัตต์ ในขณะที่รองอธิบดีตำรวจนำตัวไปพบ ณ กองบัญชาการคณะปฏิวัติว่า ให้กลับตัวเป็นคนดีเสีย หากยังขืนข่มเหงรังแกประชาชนอีกจะจัดการอย่างเด็ดขาดต่อไป…

                  จอมพลสฤษดิ์ได้สอบถามปากคำบุคคลทั้ง 2 และตักเตือนสั่งสอนให้เลิกประพฤติตัวเป็นนักเลงอันธพาลเกะกะเกเรเสียที หากพ้นและถูกปลดปล่อยเป็นอิสระไปแล้วยังขืนทำตัวเป็นนักเลงรังแกชาวบ้านอีกละก้อจอมพลสฤษดิ์ได้คาดโทษว่าจะจัดการอย่างเฉียบขาด ซึ่งตลอดเวลาที่จอมพลสฤษดิ์สั่งสอนอยู่เกือบ 1 ชั่วโมงนั้น ทั้งสองก้มลงกราบอยู่ไม่ขาด”[7]

กล่าวได้ว่า ข่าวการจับกุม ตักเตือน และสั่งสอนนายเกชา ได้ช่วยสร้างเสริมภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำทางการเมืองที่มีความ ‘เด็ดขาด’ และ ‘เฉียบขาด’ ให้แก่จอมพลสฤษดิ์ในฐานะหัวหน้าคณะปฏิวัติเป็นอย่างมาก เป็นการแสดงให้ประชาชนเห็นถึงความเอาจริงเอาจังในการดำเนินนโยบายปราบอันธพาล และในอีกด้านหนึ่ง นโยบายปราบอันธพาลของจอมพลสฤษดิ์ก็ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ในการเป็น ‘พ่อบ้าน’ ทางการเมืองไทยของจอมพลสฤษดิ์ ภายใต้การปกครองแบบไทยด้วยคติ ‘พ่อปกครองลูก’

ควรกล่าวนำก่อนว่า ภาพลักษณ์ของจอมพลสฤษดิ์ในประวัติศาสตร์นิพนธ์ทางการเมืองไทยมีภาพลักษณ์เป็น ‘พ่อขุนอุปถัมภ์’ มาเป็นเวลาหลายสิบปี โดยมีอิทธิพลมาจากข้อเสนอในงานวิชาการคลาสสิคเรื่อง ‘การเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ’ ของ ทักษ์ เฉลิมเตียรณ[8]

อย่างไรก็ตาม จากข้อเสนอชิ้นหนึ่งของผู้เขียนก่อนหน้านี้ ได้พยายามเปิดประเด็นให้เห็นว่า ผู้นำทางการเมืองไทยที่มีภาพลักษณ์เป็น ‘พ่อขุน’ ทางการเมืองนั้นมีเพียงคนเดียว คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งภาพลักษณ์พ่อขุนก็กลับเป็นภาพลักษณ์ทางการเมืองที่ได้ก่อให้เกิดปัญหาแก่จอมพล ป.พิบูลสงคราม อยู่มาก ภาพลักษณ์ ‘พ่อขุนจอมพล ป.’ จึงกลายเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่จอมพลสฤษดิ์ว่า ภาพลักษณ์ ‘พ่อขุน’ ทางการเมืองไทยจะไม่ประสบผลสำเร็จเช่นกันหากจอมพลสฤษดิ์จะนำมาใช้[9]

ดังนั้น เมื่อสำรวจโอวาทและคำกล่าวต่างๆ ของจอมพลสฤษดิ์โดยละเอียดแล้วนั้น จึงเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าแม้คติการปกครองของจอมพลสฤษดิ์จะเป็นคติแบบ ‘พ่อปกครองลูก’ หากแต่จอมพลสฤษดิ์มิได้เปรียบตนเองว่าเป็นพ่อขุนดังที่เข้าใจกันมา แต่จอมพลสฤษดิ์ได้เปรียบตนเองเป็นดั่ง ‘พ่อบ้าน’ หรือ ‘หัวหน้าครอบครัว’ 

น่าสนใจว่า จอมพลสฤษดิ์ นิยมกล่าวว่าตนเองเป็นดั่ง ‘พ่อบ้าน’ หรือ ‘หัวหน้าครอบครัว’ ในพิธีปิดการอบรมอันธพาล ซึ่งเป็นการอบรมที่จอมพลสฤษดิ์ได้มีนโยบายให้นำเหล่าอันธพาลที่ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมไปเข้ารับการฝึกอบรมบ่มนิสัย ฝึกหัดระเบียบวินัยแบบทหาร และให้ฝึกหัดอาชีพต่างๆ เป็นระยะเวลาหลายเดือน โดยจอมพลสฤษดิ์ได้ให้ความสำคัญกับพิธีการดังกล่าวนี้เป็นอย่างมาก ดังเห็นได้จากจอมพลสฤษดิ์จะเดินทางมาเป็นประธานให้โอวาทแก่เหล่าอันธพาลในพิธีปิดการอบรมด้วยตนเองอยู่เสมอ ดังเช่น โอวาทในพิธีปิดการอบรมอันธพาล วันที่ 6 กันยายน 2503 จอมพลสฤษดิ์ได้ให้โอวาทว่า

                  “ข้าพเจ้าไม่ได้เกลียดท่านชังท่านทั้งหลาย เพราะท่านจะเป็นอันธพาลหรือเป็นอะไรท่านก็เป็นเพื่อนร่วมประเทศของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถืออยู่เสมอ ว่าชาติเป็นเสมือนครอบครัวอันใหญ่ จะเป็นบุญหรือกรรมก็ตามที ข้าพเจ้าเผอิญต้องมารับหน้าที่หัวหน้าครอบครัวในเวลานี้”[10]

และในพิธีปิดการอบรมอันธพาล รุ่นที่ 4 วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2504 จอมพลสฤษดิ์ได้ให้โอวาท ว่า “เพราะข้าพเจ้าเป็นนายกรัฐมนตรี ข้าพเจ้ามีความรับผิดชอบมากกว่าคนอื่น ข้าพเจ้าต้องรับผิดชอบต่อความผาสุกของคนไทยทั้งประเทศ…เปรียบเสมือนครอบครัว พ่อบ้านเห็นลูกคนไหนไม่ดี จะอัปเปหิขับไล่ตัดเป็นตัดตายเสียเลยทีเดียว โดยไม่อบรมดุด่าว่ากันเลย ก็ไม่ถูก ข้าพเจ้าเป็นดั่งพ่อบ้าน เห็นท่านไม่ดีจึงสั่งให้มาจับตัวมากักไว้ อบรมว่ากล่าวให้รู้ตัวชั่วดีกันเสียก่อน”[11]

กล่าวได้ว่า ภายใต้เหตุผลเพื่อความสงบสุขของประชาชน นโยบายปราบอันธพาลของจอมพลสฤษดิ์ไม่เพียงแต่จะเป็นการทำลายฐานอำนาจคู่แข่งทางการเมืองเท่านั้น แต่ยังเป็นนโยบายที่ช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ความเป็น ‘พ่อบ้าน’ ทางการเมืองไทยของจอมพลสฤษดิ์ ด้วยคติการปกครองแบบ ‘พ่อปกครองลูก’ ให้เด่นชัด 

และหากจะกล่าวมากไปกว่านั้น ในบริบทที่ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภามีสถานะราวกับเป็น ‘คนแปลกหน้า’ ของสังคมการเมืองไทย ลึกๆ ลงไปแล้ว นโยบายปราบอันธพาลของจอมพลสฤษดิ์ แสดงให้เห็นถึงมโนทัศน์การปกครองของไทยด้วยคติการปกครองแบบ ‘พ่อปกครองลูก’ ทำให้เห็นถึง ‘กระบวนการสร้างความเป็นเหตุเป็นผล’ ของการปกครองด้วยระบบอำนาจนิยมแบบเผด็จการของไทยในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ที่ใช้มิติทางการเมืองวัฒนธรรมอธิบายความสันพันธ์ทางอำนาจการปกครองผ่านการเปรียบเปรย เปรียบเหมือน หรืออุปลักษณ์ (metaphor) ว่าผู้นำทางการเมืองเป็นดั่ง ‘พ่อบ้าน’ ที่ปกครองลูกๆ ประชาชน

บุคลิกภาพที่น่ากลัวและน่าเกรงขามของจอมพลสฤษดิ์ในฐานะผู้นำเผด็จการทหาร จึงได้ถูกแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นภาพของ ‘พ่อบ้าน’ ที่มีหน้าที่และความชอบธรรมในการอบรมสั่งสอนและว่ากล่าวลูก ๆ ประชาชน ให้ประพฤติปฏิบัติตนเป็นประชาชนพลเมืองที่ดีของระบอบปฏิวัติ หรือที่เรียกกันในอีกชื่อว่า ‘ระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ’


[1] จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์, โอวาทในวันปิดการอบรมเพื่อปลดปล่อยอันธพาล รุ่นที่ 4 วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2504, ประมวลสุนทรพจน์ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พ.ศ. 2505-2506 (เล่ม 2), คณะรัฐมนตรีพิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ ฯพณฯ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (พระนคร: สำนักนายกรัฐมนตรี, 2507), 578.

[2] ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 21 (2 พฤศจิกายน 2501) ใน ราชกิจจานุเบกษา (ฉบับพิเศษ) เล่ม 75 ตอน 89 (2 พฤศจิกายน 2501), 2.

[3] ดูประเด็นนี้ใน วรยุทธ พรประเสริฐ, นักเลงพระนคร: ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ – สังคมกับการเกิดนักเลงแบบเมืองในสังคมไทย พ.ศ.2411 – 2500, วิทยานิพนธ์ศิลปะศาสตรมหาบัณฑิต สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยนเรศวร, 2562, 206 – 217.

[4] ประเสริฐ รุจิรวงศ์, การปราบปรามบุคคลอันธพาล, ใน ประวัติและผลงานของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ คณะรัฐมนตรี พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ ฯพณฯ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ณ เมรุหน้าพลับพลาอิสริยาภรณ์ วัดเทพศิริน
ทราวาส เมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2507, (พระนคร: สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี), 50.

[5] ชาวไทย 21 ธันวาคม 2501

[6] สารเสรี 20 ธันวาคม 2501

[7] ชาวไทย 29 ธันวาคม 2501 ใน ก/ป7/2501/บ. 21.1 การกระทำการปฏิวัติ

[8] ดู ทักษ์ เฉลิมเตียรณ, การเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ, พิมพ์ครั้งที่ 3 (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2552).

[9] ดู อิทธิเดช พระเพ็ชร, กลับไม่ได้ ไปไม่ถึง : “จอมพล ป. นักประชาธิปไตย” ถึง “พ่อขุนจอมพล ป.”ภาพลักษณ์ทางการเมืองสุดท้ายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม, ใน ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 44 ฉบับที่ 7 (พฤษภาคม 2566).

[10] จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์, โอวาทและคำกล่าวปิดการอบรมอันธพาล ในวันที่ 6 กันยายน2503, ประมวลสุนทรพจน์ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พ.ศ. 2502-2504 (เล่ม 1), คณะรัฐมนตรีพิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ ฯพณฯ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (พระนคร: สำนักนายกรัฐมนตรี, 2507), 215.

[11] จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์, โอวาทในวันปิดการอบรมเพื่อปลดปล่อยอันธพาล รุ่นที่ 4 วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2504, ประมวลสุนทรพจน์ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พ.ศ. 2505-2506 (เล่ม 2), 578.

MOST READ

Thai Politics

3 May 2023

แดง เหลือง ส้ม ฟ้า ชมพู: ว่าด้วยสีในงานออกแบบของพรรคการเมืองไทย  

คอลัมน์ ‘สารกันเบื่อ’ เดือนนี้ เอกศาสตร์ สรรพช่าง เขียนถึง การหยิบ ‘สี’ เข้ามาใช้สื่อสาร (หรืออาจจะไม่สื่อสาร?) ของพรรคการเมืองต่างๆ ในสนามการเมือง

เอกศาสตร์ สรรพช่าง

3 May 2023

Politics

23 Feb 2023

จากสู้บนถนน สู่คนในสภา: 4 ปีชีวิตนักการเมืองของอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล

101 ชวนอมรัตน์สนทนาว่าด้วยข้อเรียกร้องจากนอกสภาฯ ถึงการถกเถียงในสภาฯ โจทย์การเมืองของก้าวไกลในการเลือกตั้ง บทเรียนในการทำงานการเมืองกว่า 4 ปี คอขวดของการพัฒนาสังคมไทย และบทบาทในอนาคตของเธอในการเมืองไทย

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

23 Feb 2023

Thai Politics

20 Jan 2023

“ฉันนี่แหละรอยัลลิสต์ตัวจริง” ความหวังดีจาก ‘ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์’ ถึงสถาบันกษัตริย์ไทย ในยุคสมัยการเมืองไร้เพดาน

101 คุยกับ ‘ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์’ ถึงภูมิทัศน์การเมืองไทย การเลือกตั้งหลังผ่านปรากฏการณ์ ‘ทะลุเพดาน’ และอนาคตของสถาบันกษัตริย์ไทยในสายตา ‘รอยัลลิสต์ตัวจริง’

ภาวรรณ ธนาเลิศสมบูรณ์

20 Jan 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save