ในช่วงที่โควิดกลับมาระบาดอีกครั้งในประเทศไทยแถมยังลุกลามแพร่กระจายไปมากกว่าเดิม โรงหนังในจังหวัดเขตพื้นที่เฝ้าระวังสูงสุดหลายๆ แห่ง รวมถึงกรุงเทพมหานครจำต้องปิดให้บริการกันอีกคำรบ จนค่ายหนังต้องชะลอการเปิดตัวภาพยนตร์เรื่องใหม่ๆ ทำให้โรงหนังในบางจังหวัดจำต้องฉายหนังโปรแกรมเดิมๆ เวียนวนไป ไม่ได้มีตัวเลือกอะไรมากนัก
แต่หลังการประกาศผลรางวัลออสการ์ประจำปี 2020 เมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา ก็ยังพอมีหนังคว้ารางวัลหลงเหลือให้ได้ดูกันในโรงหนังช่วงนี้อยู่ไม่กี่เรื่อง หนึ่งในนั้นคือผลงานที่คว้ารางวัลบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมมาครอง แถมยังได้เข้าชิงรางวัลใหญ่อย่างภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปี อย่างเรื่อง Promising Young Woman ของผู้กำกับและมือเขียนบทหญิงมือใหม่ Emerald Fennell ผู้เคยเป็นนักแสดงมาก่อน
Promising Young Woman นับเป็นอีกหนึ่งสีสันที่แตกต่างบนเวทีการประกวดออสการ์ประจำปีนี้ เพราะนอกจากจะเป็นหนึ่งในสองของภาพยนตร์ที่กำกับโดยผู้กำกับสตรีที่ได้เข้าชิงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและผู้กำกับยอดเยี่ยมแล้ว เสียงสะท้อนจากผู้ที่ได้ดูล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า หนังกล่าวถึงประเด็นร่วมสมัยอย่างกระแส #MeToo ออกมาอย่างเด่นชัด จัดเป็นงานสะท้อนภาพปัญหาร่วมสมัยในโลกความรักความสัมพันธ์ของผู้หญิงและผู้ชายเล่าผ่านเนื้อหาการสางปมความพยาบาทแต่หนหลังอันดุเดือดเข้มข้นและจริงจัง ตั้งคำถามต่อประเด็นที่ยังไม่มีผู้ใดสามารถตอบได้อย่างลึกซึ้งคมคาย ภายใต้ภาพลักษณ์ของหนังล่าล้างแค้นเกรดบีที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะเข้าทางรางวัลออสการ์อย่างที่เคยประกวดกันมา
เนื้อหาหลักของหนังเล่าถึงปฏิบัติการจองเวรคู่กรณีในอดีตของ Cassandra (นำแสดงโดย Carey Mulligan) หญิงสาวอดีตนักศึกษาแพทย์ที่ต้องสูญเสียทั้งอนาคตและเพื่อนรักนาม Nina ไป หลังจากที่ Nina ถูกกลุ่มเพื่อนผู้ชายมอมเหล้าจนไม่ได้สติ โดยในคืนนั้นเธอถูกรุมข่มขืนต่อหน้าพยานหลายราย และสุดท้ายก็ต้องจบชีวิตลง สร้างความรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อ Cassandra ที่ไม่ได้ไปร่วมงานปาร์ตี้เป็นเพื่อน Nina เพื่อช่วยปกป้องเธอ ด้วยปมอดีตฝังใจอันนี้ทำให้ Cassandra ลุกขึ้นมาจองเวรเหล่าผู้ชาย ‘สารเลว’ ทั้งหลาย แต่งกายเซ็กซี่ยั่วยวนแล้วทำทีเป็นเมาหัวราน้ำตามลำพังในผับ หลอกให้หนุ่ม ๆ ต้องแสดงความเป็น ‘สุภาพบุรุษ’ อาสาพาไปส่งโดยหวังว่าจะแอบพาเข้าห้อง
ก่อนที่ Cassandra จะลุกขึ้นถามเสียงแข็งอย่างมีสติว่า “นี่เธอคิดจะทำอะไรฉันหรือจ๊ะ” ประกาศสิทธิในร่างกายที่ไม่ว่าชายใดก็มิอาจล่วงเกินหากเธอยังไร้สติจะยินยอม! และเมื่อเธอได้หลักฐานชิ้นใหม่ว่ามีใครอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ล่วงละเมิดทางเพศ Nina ในคืนนั้นอีกบ้าง Cassandra ก็ไม่รอช้า หาวิธีดับฝันตัดอนาคตของผู้ที่เคยทำร้าย Nina อย่างสาสม ซึ่งไม่ว่าจะมีอุปสรรคคมหนามประการใด Cassandra ก็ยอมฝ่าฟันแลกทุกอย่างได้ด้วยหัวใจ ในฐานะของผู้หญิงที่เคยผ่านประสบการณ์แบบ #MeToo มาก่อน
จากเรื่องย่อก็คงพอจะนึกภาพได้ว่า Promising Young Woman เป็นหนังสายเฟมินิสต์จ๋า ที่ทำออกมาเพื่อด่าผู้ชายระยำตำบอน และปกป้องความเป็นเจ้าของร่างกายของสตรี ที่พวกเธอควรมีสิทธิสำมะเลเทเมาได้อย่างใจแต่พวกผู้ชายไม่มีสิทธิที่จะ ‘ฉวยโอกาส’ ซึ่งตัวหนังก็เล่าเนื้อหาเหล่านี้ออกมาอย่างชัดเจนซึ่งๆ หน้า ผ่านพฤติกรรมของตัวละครหลัก Cassandra ที่ทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงให้ผู้กำกับ จนกลายเป็นหนังที่ผู้หญิงดูแล้วจะสะใจ ผู้ชายดูแล้วจะหลอนด้วยฝันร้าย ซึ่งก็ไม่น่าประหลาดใจว่าบรรดา ‘ผู้ชาย’ วัยเจริญพันธุ์ในหนังเรื่องนี้แทบจะไม่มีใครเป็น ‘คนดี’ ได้เลยจริงๆ
แต่ถึงแม้ว่า Promising Young Woman จะเป็นหนัง ‘ผู้หญิง’ ที่วางตัวเป็นงานระทึกขวัญแฟนตาซีโจมตีพฤติกรรมชอบ ‘ฉวยโอกาส’ ของผู้ชายอย่างตรงไปตรงมา ทว่าตัวบทซึ่งผู้กำกับ Emerald Fennell เป็นคนเขียนเองก็ยังได้แจกแจงให้เห็นอย่างน่าสนใจว่า อารมณ์พยาบาทอาฆาตแค้นของ Cassandra นั้น จริงๆ แล้วเป็นอะไรที่สวนทางกับมุมมองของสุภาพสตรีรอบข้างตัวเธออย่างสิ้นเชิงเลยเหมือนกัน
ไม่ว่าจะเป็น Madison อดีตเพื่อนร่วมชั้นของ Cassandra และ Nina ซึ่งเป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์คืนที่ Nina ถูกล่วงละเมิด แต่กลับมองว่าสาเหตุของเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเพราะ Nina นั่นแหละที่เป็นฝ่ายเข้าหาผู้ชายไปทั่ว และก็เป็นเรื่องสนุกคะนองธรรมดาๆ ตามประสาวัยรุ่นที่ยังไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ Cassandra จะไปถือสาอะไรกันนักหนา แถมเธอยังปล่อยมุกต่อว่าความสุดโต่งของสตรีสายเฟมินิสต์จ๋าทั้งหลาย ราวกับว่าการเรียกร้องสิทธิเท่าเทียมจนเกินพอดีเป็นสิ่งที่ไร้สาระสิ้นดี
ไม่ต่างจาก Elizabeth อธิบดีของวิทยาลัยแพทย์ผู้เคยรับเรื่องร้องเรียนของ Nina ทว่ากลับเพิกเฉย เพียงเพราะเธอได้รับคำอุทธรณ์เหล่านี้เดือนหนึ่งไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง จนสิ่งนี้กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เธอแทบไม่ต้องเงี่ยหูฟัง ด้วยไม่อยากไปทำลายชีวิตของชายหนุ่มอนาคตดีทั้งหลายจากคำขยายใส่ไข่ใส่ไคล้โดยไม่มีมูลใดๆ เหล่านี้
ในขณะที่มารดาของ Nina เอง ก็สามารถผ่านพ้นและทำใจได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งยังตักเตือน Cassandra ว่าการออก ‘ล่า’ ด้วยความพยาบาทอะไรเหล่านี้ มิใช่วิถีของผู้หญิงและ Cassandra ก็ไม่ควรเอาศักดิ์ศรีแห่งความเป็นสตรีของตัวเองไปเกลือกกลั้วกับอารมณ์กลัดมันสั่นเทาของผู้ชาย หากควรจะ ‘move on’ เพื่อใช้ชีวิตในวันข้างหน้าต่อไป โดยไม่ต้องหันหลังกลับไปฟื้นฝอยหาตะเข็บอะไรอีก
หรือแม้แต่ Gail เจ้าของร้านกาแฟสตรีผิวสีที่ Cassandra ทำงานอยู่ ก็มองความรักความสัมพันธ์ระหว่าง Cassandra กับ Ryan คุณหมอหนุ่มอดีตเพื่อนร่วมชั้นที่กำลังเข้ามาจีบเธอแตกต่างไป เพราะในขณะที่ Cassandra กำลังสำรวจว่า Ryan จะเป็นผู้ชาย ‘แสนดี’ ที่จะไม่ชวนเธอ ‘ขึ้นห้อง’ ทันทีที่มีโอกาสครั้งแรกหรือไม่ ฝ่าย Gail กลับมองว่าทั้งคู่คบหากันก็เพื่อที่จะได้ ‘มีอะไรๆ’ ขอแค่อย่าให้ร้านกาแฟของเธอสกปรกเลอะเทอะไปด้วยรอยคราบอันไม่พึงประสงค์เท่านั้นก็พอ ก็เพราะชายหญิงเขาคบหากันเพื่อการนี้อยู่แล้วมิใช่หรือ?
ทรรศนะอันแตกต่างสวนทางเหล่านี้นี่เองที่ทำให้ Promising Young Woman ไม่ได้เป็นหนังที่นำเสนอการต่อสู้ในฐานะของผู้ถูกกระทำตามกระแส #MeToo อย่างเผินผิว หากยังสะท้อนให้เห็นว่า ต่อให้ได้ชื่อว่าเป็น ‘สตรี’ แต่พวกเธอก็มีความคิดความเชื่อที่แตกต่างกันได้อย่างร้อยแปดพันเก้า โดยเฉพาะในมุมมองเรื่องความรักความสัมพันธ์ การยกอ้างแนวคิดในแบบเฟมินิสต์จึงเป็นเพียงเหลี่ยมมุมแคบๆ ของการเป็นผู้หญิงทั้งหมด ซึ่งแม้แต่สตรีด้วยกันเองบางรายก็ยังรู้สึกคัดค้านไม่เห็นด้วยนัก และหนังก็ให้น้ำหนักทุกความคิดเหล่านี้อย่างเท่าเทียม ปราศจากการพิพากษาตัดสินว่าใครคิดถูกคิดผิดอะไรอย่างไร แล้วปล่อยให้ตัวตนของ Nina ซึ่งกลายเป็นกุญแจสำคัญในการไขรหัสคำบอกเล่าจากปากของคนเหล่านี้ยังคงเป็นปริศนา ที่คนดูจะไม่มีโอกาสได้รับรู้เลยว่าเธอเป็นคนอย่างไรและเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่
ด้วยวิธีการเล่าแบบไม่ชี้ผิดชี้ถูกเช่นนี้ ทำให้หนังทั้งเรื่องขับเคลื่อนด้วยการตัดสินใจของ Cassandra ที่มาจากสัญชาตญาณมากกว่าการสะระตะไตร่ตรอง ซึ่งถ้าได้ดูจนจบจะเห็นว่า Cassandra ก็ไม่สามารถยกเหตุผลมาอธิบายให้ใครๆ เข้าใจได้ว่าเธอทำทุกอย่างนี้ไปเพื่ออะไร เพียงแต่จิตวิญญาณความเป็นผู้หญิงของเธอบอกชัดว่าเธอไม่อาจจะนิ่งเฉยได้ แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วทั้งหมดนี้อาจจะมิใช่สิ่งที่ Nina ต้องการให้เกิดขึ้นเลย ใครเล่าจะล่วงรู้ ?
นอกจากนี้ Promising Young Woman ยังชวนให้รู้สึกว่ามิติทางเพศที่ปรากฏอยู่ในกระแส #MeToo ในโลกความเป็นจริง ก็ยังมีความซับซ้อนที่สามารถตั้งข้อวิพากษ์วิจารณ์ได้ แน่นอนว่าการล่วงเกินทางเพศโดยที่ฝ่ายหญิงไม่ยินยอมเป็นเรื่องที่ไม่ควรสนับสนุนไม่ว่าจะทางใดและผู้ชายหลายๆ คนก็เห็นด้วยว่านั่นเป็นการกระทำที่ชั่วช้าสารเลวและช่างไร้ศักดิ์ศรี แต่ถ้าหากมองอีกมุมกระแส #MeToo ก็อาจมีผลให้ผู้ชายดีๆ โดนร่างแหไปด้วย ดังจะเห็นจากกรณีที่กลุ่มสตรีชาวฝรั่งเศสหลายๆ ราย รวมถึงนักแสดงดัง Catherine Deneuve เคยออกมาต่อต้านการเรียกร้องเหล่านี้ พร้อมแสดงจุดยืนว่าผู้ชายยังมีสิทธิเข้าหาและจีบผู้หญิงอยู่ตามครรลองที่ควรเป็น
สิ่งที่ ‘แซ่บ’ มากๆ อีกอย่างใน Promising Young Woman คือการที่ตัวหนังวางตัวเป็นหนังเขย่าขวัญ rape revenge อารมณ์ slasher film เน้นความรุนแรงเกรดบีที่ได้กลิ่นอายคล้ายๆ กับหนังอย่าง I Spit on Your Grave (1978) ของ Meir Zarchi หรือ Ms .45 (1981) ของ Abel Ferrara ไม่ว่าจะด้วยการออกแบบตัวอักษรชื่อหนัง หรือการใช้เพลงป็อปทำนองคุ้นหูมาดัดแปลงให้เข้ากับความสยอง จนเกือบจะกลายเป็นหนัง direct-to-video จากยุค 1980’s ที่เหมาะกับการดูเพียงเพื่อความสนุกสะใจกันไปแล้ว
แต่ด้วยความแยบคายของตัวบทที่มีทั้งลูกล่อลูกชนและจุดหักมุมอันไม่คาดฝันมากมาย ประกอบกับความร่วมสมัยในกระแส #MeToo ที่คุกรุ่นอยู่ในแวดวงบันเทิงจริงๆ ขณะนี้ ก็ทำให้ Promising Young Woman เป็นงานที่ประสบความสำเร็จกระทั่งได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 5 สาขา รวมถึงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม แม้ว่าหน้าหนังและตัวงานดูจะไม่ตรงขนบของหนังที่จะได้ชิงรางวัลนี้สักเท่าไหร่ ซึ่งในที่สุดหนังก็คว้ารางวัลบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมไปครองได้อย่างสมศักดิ์ศรี ด้วยเรื่องราวที่มีชนวนประเด็นให้พิเคราะห์พิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง
เรียกได้ว่า Promising Young Woman ได้สร้างสีสันอันสดใหม่ให้การประกวดรางวัลออสการ์ในครั้งนี้ให้ไม่ถึงกับจืดชืดนัก