fbpx

Re-Solution ก้าวต่อไปรื้อระบอบประยุทธ์ กับ พริษฐ์ วัชรสินธุ

การโหวตคว่ำร่างรัฐธรรมนูญที่นำเสนอโดยกลุ่ม ‘Re-Solution’ และประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 135,247 คน ซึ่งเป็นร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนฉบับที่สองที่สภาฯ ปฏิเสธ ทำให้ทางออกจากความขัดแย้งทางการเมืองตีบตันมากไปกว่าเดิม

บทสนทนา การเจรจา และการประนีประนอมเพื่อเปลี่ยนผ่านไปอย่างสันติ ดูจะไม่ใช่ทางเลือกหลักของชนชั้นนำที่กุมอำนาจรัฐไทยในปัจจุบัน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้การเมืองภาคประชาชนและขบวนการประชาธิปไตยจะก้าวต่อไปอย่างไร

101 ชวน ‘ไอติม’ – พริษฐ์ วัชรสินธุ แกนนำกลุ่ม Re-Solution สนทนาว่าด้วยก้าวต่อไปรื้อระบอบประยุทธ์และก้าวต่อไปการเมืองไทย

:: ชัยชนะทางความคิดภายใต้ความพ่ายแพ้ทางกฎหมาย ::

ถ้าถามว่า ทำไมถึงล่ารายชื่อเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผมต้องบอกก่อนว่า รัฐธรรมนูญปี 2560 มีหลายปัญหา ทั้งที่มา กระบวนการและเนื้อหา ในส่วนของที่มา มันถูกเขียนในสมัยรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารซึ่งไม่ได้เปิดให้ประชาชนในวงกว้างสามารถแสดงความเห็นได้ ถ้าดูเจตนาของคนร่าง ผมขอหยิบยกคำพูดของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมซึ่งเป็นหัวหอกของระบอบประยุทธ์ในปัจจุบันที่พูดว่า “รัฐธรรมนูญถูกดีไซน์มาเพื่อพวกเรา” มันชัดเจนมากว่า ที่มาถูกออกแบบโดยคนไม่กี่คนเพื่อพยายามจะสืบทอดอำนาจของตนเอง 

พอมาเรื่องกระบวนการ หลายคนมักอ้างว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านประชามติในปี 2559 ซึ่งก็จริง แต่ว่าเป็นประชามติที่ไม่เสรีและไม่เป็นธรรม ฝ่ายที่รณรงค์อยากจะให้รับร่าง แทบจะไม่ต้องทำอะไร เพราะสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สรุปข้อดีเป็นเอกสารส่งให้ทุกคนถึงบ้านและคำถามพ่วงเรื่องที่มาของการให้สมาชิกวุฒิสภา (สว.) แต่งตั้ง 250 คนสามารถเลือกตั้งนายกฯ ได้ มีลักษณะที่ซับซ้อน ไม่ตรงไปตรงมาและชี้นำมาก กลายเป็นว่าถ้าเราไม่เห็นด้วยกับร่างเท่ากับว่าเราไม่เห็นด้วยกับการปฏิรูปประเทศ

ประเด็นเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ ก็ต้องยอมรับว่ามันสมควรแก้ยากกว่ากฎหมายทั่วไป แต่มันมีความผิดปกติสองอย่าง อย่างแรก คือ รัฐธรรมนูญไม่ควรจะเขียนละเอียด เพราะในเมื่อมันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ควรจะมีแต่เฉพาะเรื่องที่สำคัญ แต่รัฐธรรมนูญของเราเป็นรัฐธรรมนูญที่ยาวที่สุดในโลก ซึ่งมีหลายเรื่องที่บางครั้งหลายประเทศไม่ได้ใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญ ก็เลยทำให้การแก้รายละเอียดหลายๆ อย่างต้องไปแก้ในระดับรัฐธรรมนูญซึ่งแก้ยาก 

อย่างที่สอง คือถึงแม้ว่าประชาชน 60 ล้านคนจะเห็นด้วยหรือถึงแม้ ส.ส. ในสภา 500 คนจะเห็นด้วย แต่ถ้า ส.ว. ไม่ถึง 1 ใน 3 ไม่เห็นด้วย ก็แก้รัฐธรรมนูญไม่ได้ แล้ว ส.ว. 250 คน ก็มีที่มาจากแค่กลุ่มคณะเดียวคือ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นี่ก็เลยเกิดการผูกขาดทางการเมือง ซึ่งทำให้คสช.และ ส.ว. สามารถสกัดกั้นการแก้ไขรัฐธรรมนูญใดๆ ก็ตามที่เขามองว่าเขาไม่ได้ประโยชน์ได้ นี่คือความผิดปกติของการแก้รัฐธรรมนูญที่ยากกว่าครั้งก่อนๆ

หากถามว่า ในเมื่อการแก้รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องยาก แล้วทำไมถึงอยากแก้ ผมมองว่า การรณรงค์การแก้ไขกฎหมายและการรวบรวมรายชื่อเป็นการต่อสู้ในสองสมรภูมิพร้อมกัน สมรภูมิที่หนึ่ง คือ สมรภูมิกฎหมาย เราเสนอร่างเข้าไปเพื่อหวังว่าในที่สุด มันจะผ่านไปตามกระบวนการและนำไปสู่การแก้ไขจริง ส่วนสมรภูมิที่สอง คือ สมรภูมิในเชิงความคิด กระบวนการที่เราเชิญชวนคนให้มาพูดคุยว่าเห็นด้วยหรือไม่กับเรา รวมถึงโอกาสที่เราได้ไปอภิปรายในสภาวันนั้นเป็นการขยับความคิดของคนในสังคม ผมคิดว่าท้ายที่สุดแล้ว ถึงแม้เราอาจจะพ่ายแพ้ในสมรภูมิกฎหมาย แต่ในสมรภูมิเชิงความคิด เราได้รับชัยชนะ เพราะมันทำให้อย่างน้อยบางคนที่ไม่เคยเห็นประเด็นปัญหาเรื่องรัฐธรรมนูญมาก่อน เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องแก้รัฐธรรมนูญ

:: การเสนอร่างรัฐธรรมนูญฉบับประนีประนอม ::

จากการที่มีคนตั้งข้อสังเกตว่า เราต้องการเสนอป่วน ทั้งที่รู้ว่าจะแพ้นั้น ความจริงเราไม่ได้เสนอไปเพื่อที่จะให้มันถูกปัดตก เราก็ทำทุกวิถีทางที่จะให้มันผ่านในเชิงกฎหมาย สำหรับกลุ่ม Re-solution มองว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นร่างประนีประนอม โดยเรามองว่าถ้าเราจะขับเคลื่อนต่อในการผลักดันร่างฉบับใหม่ตอนนี้เลย มันอาจจะยังทำไม่ได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรเราก็จะมีร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งอย่างแน่นอน ดังนั้น ตอนนี้เราเลยเอาแค่เฉพาะประเด็นที่เป็นปัญหาจริงๆ แล้วยื่นร่างที่แก้ไขเป็นรายมาตราไป เพราะว่าจะได้ไม่เจออุปสรรคเรื่องคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ

แล้วเราจะแก้รายมาตราอะไร? ในกลุ่ม Re-Solution ล้วนเห็นตรงกันว่าจริงๆ แล้วต้องร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ เพราะรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่มีปัญหาเยอะมาก แต่รอบนี้ เราจะแก้ไขประเด็นที่เป็นปัญหาสำคัญก่อน ในที่สุดทุกฝ่ายก็ตกผลึกร่วมกันว่า เราอยากจะเน้นแก้ไขกลไกที่เกี่ยวข้องกับการสืบทอดอำนาจของรัฐบาล ดังนั้น กรอบของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้จึงเป็นการรื้อระบอบประยุทธ์

เราก็เลยมาประเมินดูว่าในปัจจุบันรัฐบาลหรือระบอบประยุทธ์กำลังใช้สถาบันทางการเมืองอะไรบ้างเพื่อสืบทอดอำนาจ แล้วเราก็ตกผลึกที่วุฒิสภา ศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระที่ถูกแต่งตั้งโดยวุฒิสภา กลไกยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และก็เรื่องผลพวงจากการรัฐประหาร จริงๆ มีคนถามบ่อยว่า ทำไมไม่แก้ประเด็นในหมวดสองด้วย ต้องยอมรับว่าเรื่องของสถาบันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ประเด็นอะไรที่ต้องใช้เวลาในการพูดคุยถกเถียงมาก ก็รอสสร.ดีกว่า ตอนนี้เราเอาประเด็นที่เป็นกลไกที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสืบทอดอำนาจอย่างชัดเจนก่อน

ประเด็นที่ผมคิดว่าอาจจะพอจุดติดให้คนตั้งคำถามคือเรื่องสภาเดี่ยว ความจริงสภาเดี่ยวเป็นสิ่งที่ปกติกว่าสำหรับประเทศไทย เพราะจากการสำรวจ เราพบว่า 2 ใน 3 ของประเทศที่เป็นรัฐเดี่ยวใช้สภาเดี่ยว เพราะฉะนั้นในมุมของสถิติ เราจะเห็นว่าสภาเดี่ยวเป็นสิ่งที่ปกติกว่า คำถามที่ตามมาคือ ถ้าเราจะมีองค์กรที่ชื่อว่าวุฒิสภาซึ่งใช้งบประมาณอย่างน้อย 1 พันล้านบาทต่อปี เราจะมีไปเพื่ออะไร เราพบว่าเหตุผลที่หลายคนอยากให้มีวุฒิสภาสามารถได้รับการตอบสนองด้วยกลไกอื่นที่น่าจะมีประสิทธิภาพมากกว่า เช่น บางคนบอกว่าต้องมี ส.ว. เพราะเราต้องเปิดพื้นที่ให้มีความหลากหลายในสาขาวิชาชีพ เราก็เห็นว่า ถ้าเราอยากจะเพิ่มผู้เชี่ยวชาญเข้าไปในกระบวนการกฎหมาย ไปเพิ่มสัดส่วนในคณะกรรมาธิการเพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญซึ่งเป็นคนนอกสามารถเข้ามานั่งได้มากขึ้นน่าจะเป็นประโยชน์มากกว่าด้วยซ้ำ เพราะว่าเขาจะอยู่ตั้งแต่กระบวนการเริ่มต้นของการริเริ่มกฎหมาย แทนที่จะไปรอกลั่นกรองตอนจบแบบวุฒิสภา

ถึงแม้ว่าผู้มีอำนาจไม่คิดประนีประนอม แต่ส่วนตัวผมคิดว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรณรงค์ต่อ ถ้ากลับมาเรื่องสองสมรภูมิ สมรภูมิทางความคิดเรื่องการขับเคลื่อนเรื่องสภาเดี่ยว หรือแนวคิดเรื่องการปฏิรูปศาล หรือแนวคิดเกี่ยวกับการปฏิรูปองค์กรอิสระที่เราปักธงไว้ ไม่ว่าอย่างไรผมคิดว่าต้องถูกหยิบยกมาถกเถียงต่อ เพราะว่าข้อคัดค้านของสมาชิกรัฐสภาหลายคนก็เป็นข้อคัดค้านในเชิงเนื้อหาสาระซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสังคม เพราะฉะนั้น ผมถึงคิดว่าในสมรภูมิทางความคิดจึงต้องมีการจัดเวทีหรือเอาเนื้อหาจากร่างในวันนั้นมาพูดคุยต่อ เพื่อหวังว่าในวันที่เรามีสสร. มาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ประชาชนจะได้มีความคิดเห็นที่ชัดเจนว่าอยากเห็นวุฒิสภาแบบไหนหรือไม่ต้องมีเลย หรืออยากเห็นศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรอิสระแบบไหน

:: ชุดความคิดแบบไทยที่เอื้อต่อการรัฐประหาร ::

สิ่งที่เราเสนอไปในวันนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้มีการรัฐประหารอีก เราศึกษาจากกรณีประเทศอื่นๆ ว่าเขาสามารถยุติวงจรการรัฐประหารได้อย่างไร ข้อสรุปที่เราได้คือ ถ้าการรัฐประหารสามารถทำได้โดยไม่มีบทลงโทษ หรือสามารถนิรโทษกรรมตัวเองได้ตลอด ผู้บัญชาการทหารบกที่คิดจะทำรัฐประหารก็ไม่ต้องกลัวอะไร แต่ถ้าเกิดว่ามันมีการลงโทษเกิดขึ้น ผมคิดว่ามันจะทำให้ผู้บัญชาการทหารบกที่คิดไม่ดีกับประเทศและคิดจะทำรัฐประหารหยุดชะงักตัวเองในระดับหนึ่ง นี่เลยเป็นสิ่งที่เขียนเข้าไป

ผมยอมรับว่า ถ้าเกิดรัฐประหารขึ้นจริง เขาก็คงฉีกรัฐธรรมนูญอยู่ดี ดังนั้นจะป้องกันรัฐประหารด้วยรัฐธรรมนูญแค่อย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ ผมคิดว่าเราต้องแก้รัฐธรรมนูญในเชิงความคิดด้วย ชุดความคิดหนึ่งที่อันตรายมากในทางสังคมและทำให้เกิดความสุ่มเสี่ยงต่อการทำรัฐประหาร คือ ความเชื่อเรื่องคนดี บางครั้งประชาชนไปศรัทธากับบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นอย่างมาก พอเจอความขัดแย้งสูงและเริ่มหาทางออกยากกลายเป็นว่าบางคนก็พร้อมที่จะผ่อนปรนต่อหลักการประชาธิปไตย แล้วเอาคนดีเข้ามาปกครองบ้านเมือง ถ้าเราไม่สามารถร่วมกันแก้ไขเรื่องนี้ มันก็ทำให้เรามีความเสี่ยงต่อการรัฐประหาร

ถ้าเราอยากจะส่งเสริมเรื่องหลักประชาธิปไตย ผมคิดว่าสุดท้ายเราต้องกลับไปเรื่องการศึกษา วิชาที่สำคัญมากคือวิชาประวัติศาสตร์ ตามมุมมองของผมคุณค่าของการเรียนประวัติศาสตร์ประการแรกคือการที่เราได้ถอดบทเรียนความผิดพลาดของบรรพบุรุษเราในอดีต ไม่ใช่แค่เรื่องความสำเร็จ ประการที่สองคือต้องมีการถกเถียงแลกเปลี่ยนความเห็นที่หลากหลาย แล้วให้ผู้เรียนดูว่าเชื่อถืออะไรมากกว่ากัน มันก็เป็นการฝึกคิดวิเคราะห์ นอกจากการส่งเสริมคุณค่าประชาธิปไตยในรั้วโรงเรียน เราต้องทำให้มีการฝึกให้ทหารและตำรวจซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ที่ถือปืนเข้าใจหลักสิทธิมนุษยชนด้วย 

:: การปฏิรูปสถาบันกับการจำกัดเสรีภาพทางความคิด ::

ประเด็นเรื่องการปฏิรูปสถาบันเป็นประเด็นที่ประชาชนมีอารมณ์ร่วมเยอะที่สุด ทั้งจากฝ่ายที่ต้องการปฏิรูปและฝ่ายที่คัดค้าน ผมคิดว่าสิ่งสำคัญคือการทำอย่างไรให้มีพื้นที่ปลอดภัยที่ทั้งสองฝ่ายสามารถถกเถียงกันได้ แต่ตราบใดที่ยังมีกฎหมายอาญาในรูปแบบ 112 อยู่ ผมคิดว่าเป็นการยากที่จะสร้างพื้นที่ปลอดภัยตรงนั้น

เสรีภาพหนึ่งที่ไม่สามารถจำกัดได้คือเสรีภาพทางความคิด สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นเพื่อทำให้วิวัฒนาการของสังคมก้าวหน้าคือการให้คนพูดความคิดตัวเอง แล้วมาถกเถียงกันว่าอันไหนสมเหตุสมผล ประเด็นเรื่องการปฏิรูปสถาบันถูกคิดแล้ว และตอนนี้ถูกพูดในหลายเวที การพยายามปิดกั้นไม่ให้เรื่องนี้ถูกพูดถึงเลย ไม่ใช่ทางออกที่จะนำไปสู่การแก้วิกฤตความขัดแย้งในสังคม

ผมคิดว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีความน่ากังวล ข้อกังวลแรกคือ ในคำวินิจฉัยมีคำพูดบางคำพูดที่มีความเสี่ยงในการตีความว่าเราไม่ได้อยู่ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แต่เราอยู่ในระบอบราชาธิปไตยที่มีประชาธิปไตยเป็นไม้ประดับ ถ้าเรายึดว่าเราปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งเป็นตัวเลือกหนึ่งของร่มใหญ่ที่เรียกว่าระบอบประชาธิปไตย สาระสำคัญที่เราต้องยึดคือคำว่า ‘ประชาธิปไตย’ ซึ่งมีองค์ประกอบสำคัญคือสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น 

ข้อกังวลที่สองคือคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญทำให้พื้นที่ปลอดภัยแคบลงมาเรื่อยๆ เพราะการยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา 112 ข้อเสนอเรื่องมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญถูกตีความได้ว่าอาจจะเข้าข่ายการล้มล้างการปกครอง ผมมองว่ามันจะยิ่งทำให้สถานการณ์ทางการเมืองร้อนแรงยิ่งขึ้น เพราะแม้กระทั่งการถกเถียงเรื่องเนื้อหาสาระก็กระทำไม่ได้

:: เกมชักเย่อทางการเมืองที่เชือกตึงแน่น ::

ถ้าเปรียบภาพการเมืองไทยในปัจจุบัน ผมเปรียบเหมือนเกมชักเย่อที่ฝ่ายหนึ่งมีการเมืองในระบบที่ล้าหลังลง แต่ในอีกมุมหนึ่งเรามีสังคมการเมืองที่มีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น ซึ่งหมายถึงประชาชนในสังคมที่เข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่หลากหลาย รวมถึงเข้าถึงพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนความเห็นผ่านโซเชียลมีเดีย ด้วยเหตุนี้ ความเชื่อมั่นในค่านิยมประชาธิปไตยเรื่องเสรีภาพและความเสมอภาคจึงยิ่งเพิ่มมากขึ้น ตอนนี้มันเลยเกิดการดึงกันอยู่ระหว่างการเมืองในระบบที่ล้าหลังกับการเมืองนอกระบบที่ก้าวหน้า

ตลอดปีเราเห็นปฏิกิริยาของฝ่ายผู้มีอำนาจหรือฝ่ายที่คุมระบบการเมืองว่าเขาค่อนข้างใช้ไม้แข็ง ไม่ได้พร้อมประนีประนอม ในมุมหนึ่งอาจจะฉุดรั้งแรงขึ้นด้วยซ้ำ สิ่งที่ผมอยากจะเตือนคนที่คุมระบบการเมืองอยู่คืออย่าลืมว่าทิศทางของลมมีแต่จะทำให้สังคมก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ถ้าผู้คุมระบบจะยังคงใช้ยุทธศาสตร์ที่ฉุดรั้งการเปลี่ยนแปลง ผมกลัวว่าเชือกมันจะขาด

เชือกขาดหมายความว่าจะมีการปะทะหรือว่าประชาชนไม่ศรัทธาการเมืองในระบบ โดยพวกเขาไม่ได้มองว่ารัฐสภาเป็นพื้นที่แห่งการเปลี่ยนแปลงอีกต่อไป พวกเขาจะหาช่องทางอื่นในการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่อยู่นอกระบบการเมืองซึ่งเป็นสิ่งที่มีความไม่แน่นอนสูงกว่ามาก 

เพราะฉะนั้น ถ้าถามว่าปีหน้าจะเป็นอย่างไร อย่างแรกคือเชือกจะขาดไหม และอย่างที่สองคือถ้ามีการเลือกตั้ง ซึ่งดูแล้วมีแนวโน้มว่าน่าจะมีการเลือกตั้งภายในปี 2565 ผู้ที่ชนะการเลือกตั้งและขึ้นเป็นรัฐบาลมีเจตจำนงทางการเมืองที่แข็งแรงมากแค่ไหนในการยกระบบที่ล้าหลัง แล้วเดินไปพร้อมกับสังคมที่ก้าวหน้าขึ้น และเราก็รู้ว่าถ้าไม่ใช่คนของระบอบประยุทธ์ก็ไม่ง่ายที่จะได้เป็นนายกฯ เพราะ ส.ว. 250 คนยังมีโอกาสในการเลือกนายกฯ จะเห็นว่ายังมีกลไกหลายอย่างที่ยังครอบงำอยู่

สิ่งที่ผมกลัวที่สุดคือประชาชนเลือกตั้งอย่างท่วมท้นให้มีการรื้อระบอบนี้ แต่ว่า ส.ว. 250 คนเอาเสียงตัวเองมาขัดเจตนารมณ์เสียงส่วนใหญ่ของประชาชนและคงไว้ซึ่งระบบนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือคนรุ่นใหม่หลายคนรู้สึกว่าการเลือกตั้งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ การที่ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในการเข้าคูหาเป็นสถานการณ์ที่ผมกลัวว่าจะกู้กลับมาได้ยาก

MOST READ

Thai Politics

3 May 2023

แดง เหลือง ส้ม ฟ้า ชมพู: ว่าด้วยสีในงานออกแบบของพรรคการเมืองไทย  

คอลัมน์ ‘สารกันเบื่อ’ เดือนนี้ เอกศาสตร์ สรรพช่าง เขียนถึง การหยิบ ‘สี’ เข้ามาใช้สื่อสาร (หรืออาจจะไม่สื่อสาร?) ของพรรคการเมืองต่างๆ ในสนามการเมือง

เอกศาสตร์ สรรพช่าง

3 May 2023

Politics

23 Feb 2023

จากสู้บนถนน สู่คนในสภา: 4 ปีชีวิตนักการเมืองของอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล

101 ชวนอมรัตน์สนทนาว่าด้วยข้อเรียกร้องจากนอกสภาฯ ถึงการถกเถียงในสภาฯ โจทย์การเมืองของก้าวไกลในการเลือกตั้ง บทเรียนในการทำงานการเมืองกว่า 4 ปี คอขวดของการพัฒนาสังคมไทย และบทบาทในอนาคตของเธอในการเมืองไทย

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

23 Feb 2023

Thai Politics

20 Jan 2023

“ฉันนี่แหละรอยัลลิสต์ตัวจริง” ความหวังดีจาก ‘ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์’ ถึงสถาบันกษัตริย์ไทย ในยุคสมัยการเมืองไร้เพดาน

101 คุยกับ ‘ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์’ ถึงภูมิทัศน์การเมืองไทย การเลือกตั้งหลังผ่านปรากฏการณ์ ‘ทะลุเพดาน’ และอนาคตของสถาบันกษัตริย์ไทยในสายตา ‘รอยัลลิสต์ตัวจริง’

ภาวรรณ ธนาเลิศสมบูรณ์

20 Jan 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save