จะชอบ ชัง หรือเฉยๆ ต่อสถาบันกษัตริย์ ก็คงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า ความตายหรือการสวรรคตของพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ประมุขชาติมหาอำนาจอย่างอังกฤษและราชอาณาจักรเครือจักรภพ เป็นข่าวใหญ่ในรอบปีหรืออาจจะในรอบศตวรรษเลยทีเดียว
พระราชพิธีศพมีขึ้นอย่างยิ่งใหญ่แต่ก็เรียบง่าย ไม่เว่อวังอลังการมากมายให้เป็นภาระภาษีประชาชน ท่ามกลางการเผชิญหน้าระหว่างยุโรปและสหรัฐอเมริกากับรัสเซีย เป็นเหตุการณ์ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ซึ่งสื่อมวลชนตลอดจนผู้คนทั่วโลกจำนวนหนึ่งให้ความสนใจติดตาม กลบข่าวสงครามรัสเซียรุกรานยูเครนชั่วขณะ ทั้งๆ ที่สถานการณ์สู้รบกำลังพลิกผันเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าจับตา เมื่อผู้บุกรุกตกเป็นฝ่ายถอยร่น ยูเครนสามารถตีโต้ ยึดคืนพื้นที่กลับมาได้อย่างมีนัยสำคัญ
หากไม่เลอะเลือนหรือสมองเสื่อม คงจำกันได้ว่าขณะที่รัสเซียกรีฑาทัพบุกเข้ายึดครองดินแดนยูเครนใหม่ๆ บางคนแสดงความคิดเห็น แชร์ข้อความผ่านสื่อกระบอกเสียงกลุ่มอนุรักษนิยมสุดโต่ง เชียร์รัสเซียสุดลิ่มทิ่มประตู ปลุกปั่นกันเป็นตุเป็นตะว่ายูเครนล่มสลาย พังพินาศยับเยินเพราะเลือกตั้งได้ผู้นำประเทศมาจากดารานักแสดงตลก
อ้างว่าโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครนเป็นยิวบ้าง มีคฤหาสน์และทรัพย์สินมหาศาลในสหรัฐบ้าง ทำตัวเป็นสมุนจักรวรรดินิยมอเมริกา และคณะผู้ปกครองก็มาจากทีมงานแสดงตลก ไม่มีความรู้ความเข้าใจการบริหารประเทศ
แทนที่จะประณามรัสเซียซึ่งทำสงครามรุกรานประเทศอื่นโดยไม่เคารพหลักการว่าด้วยบูรณภาพแห่งดินแดนกลับไพล่ไปดูถูกดูแคลนผู้นำยูเครน ตลอดจนประชาชนที่ไปเลือกดาราดาวตลกมาเป็นประมุข
อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ ต้องการสื่อสารไปไกลว่าระบอบสาธารณรัฐแย่ การเลือกตั้งไม่ดี
ย้อนกลับไปดูเถอะ ดอกเตอร์บางคนถึงกับปรามาสว่า เซเลนสกีจะต้องหอบเงินหนีไปเสวยสุขในต่างประเทศเป็นแน่แท้ก็ยังมี
ถึงตอนนี้เป็นอย่างไรละ
แม้ยากจะคาดเดาได้ว่าสงครามจะจบลงอย่างไร เพราะฝ่ายหนึ่งไม่ใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน ได้รับความช่วยเหลือสนับสนุนทั้งในทางเศรษฐกิจ เงินทอง และอาวุธ ยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย แต่อีกฝ่ายนอกเหนือไปจากกำลังทหารที่เหนือกว่ามากมายแล้ว ยังมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครองอีกด้วย
มิหนำซ้ำผู้นำประเทศเองก็ดูท่าจะบ้าพอที่จะใช้มันโดยไม่คำนึงถึงผลใดๆ ตามมา
ที่แน่ๆ สงครามรัสเซีย-ยูเครนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการค้าอย่างกว้างขวาง สร้างความบอบช้ำไปทั่วโลก ไม่เว้นประเทศไทย จากปัญหาห่วงโซ่อุปทานที่ถูกทำลายลง มาตรการแซงชั่นตอบโต้กันไปมา ราคาพลังงานและเงินเฟ้อ ฯลฯ
เพราะวลาดีมีร์ ปูตินเพียงคนเดียว กับการสถาปนาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สมัยใหม่ขึ้นมาปกครองประชาชน รื้อฟื้นคืนความยิ่งใหญ่ให้กับรัสเซียเหมือนดังเช่นยุคสมัยสหภาพโซเวียต ขยายอาณาจักรด้วยการทำสงครามรุกรานรัฐอธิปไตยอื่น เพลี่ยงพล้ำขึ้นมาก็สั่งเรียกระดมกำลังพลสำรองอีก 3 แสนคนเสริมทัพ พรากลูกพรากหลานชาวบ้านไปตายในสนามรบเพียงเพื่อรักษาอำนาจ หน้าตา ศักดิ์ศรีบ้าๆ บอๆ ของตัวเอง
ประชาชนอดรนทนไม่ไหวลุกฮือรวมตัวประท้วงต่อต้านการทำสงครามก็ปราบปราม จับกุมคุมขัง ขู่ส่งตัวไปเป็นทหารเกณฑ์ยังแนวหน้าเพื่อแก้ลำ ทำเอาผู้คนเผ่นหนี ออกนอกประเทศกันจ้าละหวั่น
สังคมปิดอย่างรัสเซีย ผู้นำเผด็จการทำได้ทุกอย่าง กระทั่งส่งลูกหลานคนอื่นไปตายในสงคราม นำพาประเทศชาติบ้านเมืองจมปลักกับการสู้รบ
ย้อนกลับไปที่อังกฤษ จริงอยู่ว่าการจากไปของควีนเอลิซาเบธที่ 2 จะเป็นข่าวใหญ่ พิธีศพมีประมุขต่างชาติ ผู้นำหลายประเทศเดินทางไปร่วมแสดงความอาลัย ผู้คนสนใจติดตามข่าวสารกันจำนวนไม่น้อย แต่ก็หาได้ทำให้การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์กลับมาเป็นที่ยอมรับอีกครั้งหนึ่งแต่ประการใดไม่
ทั่วทั้งโลกมิได้มีประชาชาติใดปรารถนาต้องการเปลี่ยนแปลงไปอยู่ภายใต้ระบอบปกครองอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือการปกครองโดยกษัตริย์เพิ่มมากขึ้น ตรงกันข้ามกลับมีแนวโน้มที่หลายชาติอาจจะทำประชามติเปลี่ยนไปปกครองในระบอบสาธารณรัฐเพิ่มเติม โดยเฉพาะราชอาณาจักรเครือจักรภพที่มีกษัตริย์อังกฤษเป็นประมุข
การก้าวขึ้นเป็นกษัตริย์ของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ก่อให้เกิดข้อสงสัย คำถามตามมา ถึงอนาคตของสถาบันกษัตริย์อังกฤษ สืบเนื่องมาจากเรื่องราวข่าวอื้อฉาวของราชวงศ์ และข้อเปรียบเทียบถึงจริยวัตรของสมเด็จพระนางเจ้าเอลิซาเบธที่ 2 ซึ่งแทบไม่ปรากฏเสียงวิพากษ์วิจารณ์ หรือค่อนขอดนินทาให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นพระราชกรณียกิจทั้งหลายที่ทรงถือเป็นหน้าที่ของพระองค์ในการรับใช้ประชาชน
อีกทั้งการใช้ชีวิตส่วนตัวอย่างเรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อเหลวแหลก ไม่ทำอะไรให้ถูกมองว่าเป็นการผลาญภาษีอากรประชาชน
ขนาดลูกชายบ้ากาม ต้องคดีล่วงละเมิดทางเพศในต่างประเทศยังถอดยศทางทหาร ปลดพ้นจากฐานันดรไม่ไว้หน้าให้เป็นที่เสื่อมเสีย กระทบกระเทือนต่อราชวงศ์
กษัตริย์อังกฤษเป็นมนุษย์เหมือนกับทุกคน พบปะใครก็จับมือเชกแฮนด์ทักทายได้โดยเสมอภาค มิได้มีสถานะเป็นสมมติเทพเทวดาให้ประชาชนต้องกราบไหว้
ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรเลยที่สถาบันกษัตริย์อังกฤษยังอยู่ยั้งยืนยงมาได้จนทุกวันนี้ เพราะเห็นหัวประชาชนชาวบ้านนั่นเอง
และไม่ใช่เรื่องประหลาดอีกเช่นกันที่ระหว่างพิธีศพควีนเอลิซาเบธที่ 2 จะมีชาวบ้านประชาชนออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านสถาบันกษัตริย์ให้เห็น บางคนชูป้าย Not MY KING แสดงการไม่ยอมรับกษัตริย์ใหม่ บางคนตั้งคำถามว่าใครเลือกมาเป็นกษัตริย์ ฯลฯ
สังคมเปิดอย่างอังกฤษ ประชาชนทำได้ แม้จะมีการจับกุมคุมขังบ้างก็เป็นเพียงข้อหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย หาใช่ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐแต่ประการใดไม่
กระนั้นก็ตาม หลายฝ่ายได้แสดงความวิตกกังวลถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชน ทำให้เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องต้องออกมายืนยันว่ายังเคารพ ยึดมั่นหลักการประชาธิปไตยไม่เปลี่ยนแปลง
ถึงตอนนี้ ยังมองไม่เห็นความเป็นไปได้ที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ตราบเท่าที่กษัตริย์คนใหม่ยังดำรงตนอยู่ในทำนองคลองธรรม ยึดมั่นหลักการในรัฐธรรมนูญและระบอบปกครองโดยรัฐสภาดังที่ได้กล่าวเอาไว้กับประชาชนเมื่อขึ้นครองราชย์
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตราบใดที่ประชาชนคนส่วนใหญ่ยังสนับสนุน เห็นดีเห็นงามไปกับการมีกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ทำหน้าที่เป็นประมุขของประเทศในเชิงสัญลักษณ์อันสามารถรับรู้ได้ผ่านการทำประชามติสำรวจความคิดเห็นของประชาชนคนในชาติ
สังคมประชาธิปไตยซึ่งยึดถือว่าประชากรพลเมืองเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยแท้จริงนั้น ความเป็นไปใดๆ ของรัฐขึ้นอยู่กับเจตจำนง ความต้องการของชาวบ้านราษฎรเป็นสำคัญ มิใช่การใช้กฏหมาย คุก ตำรวจและกองทัพเป็นเครื่องมือข่มขู่ ปราบปราม บังคับให้ทุกคนปฏิบัติตามความต้องการของบุคคลหรือกลุ่มคนคณะใดคณะหนึ่ง
อนึ่ง ถึงแม้ว่าการศพควีนเอลิซาเบธที่ 2 จะเป็นเรื่องของประเทศอังกฤษซึ่งอยู่ห่างไกลคนละทวีป แต่ก็ไม่วายมีประเด็นเกี่ยวพันมาถึงบ้านเราเมื่อไม่ปรากฏราชวงศ์ไทยเข้าร่วมรัฐพิธี ณ มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ เฉกเช่นผู้นำนานาประเทศและกษัตริย์หลายแผ่นดินจากทั่วโลกตามวิสัยของชาติซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีงามต่อกัน นำไปสู่การซุบซิบ แสดงความคิดเห็นต่างๆ นานาตามมาทางโซเชียลมีเดียหรือโลกออนไลน์ โดยปราศจากคำชี้แจงใดๆ จากทางการ
ที่กล้าหาญมาก ลากโยงเอาความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจสองชาติ คืออังกฤษกับรัสเซียเข้ามาอรรถาธิบาย เห็นจะเป็นเฟซบุ๊ก Suphanat Aphinyan ที่โพสต์ข้อความ ซึ่งขอถ่ายทอดโดยละเอียดไม่ตัดทอนข้อความใดๆ ให้เป็นข้อครหา ดังต่อไปนี้
“ต้องทำความเข้าใจประเด็นที่สำคัญที่สุดต่อว่าพระราชพิธีพระบรมศพสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นไปอย่างเสรี หากแต่มีการเมืองโลกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน จนทำให้มีการแบนรัสเซียจากพระราชพิธี
ดังนั้น ท่าทีในการแสดงความไว้อาลัยของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ จึงต้องถนอมน้ำใจของทั้งสองขั้ว เป็นที่มาของการแสดงออกหลากหลายรูปแบบภายในประเทศ แต่เลือกที่จะส่งเอกอัครราชทูตเป็นตัวแทนในต่างประเทศ
เมื่อประเทศไทยไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้น จึงไม่ถูกบังคับโดยธรรมเนียมปฏิบัติที่ประมุขสมควรต้องเดินทางมาเอง เมื่อสามารถเลือกได้ตามที่ FCDO ระบุ จึงต้องเลือกจุดสมดุลที่ดีที่สุด เพราะทั้งสหราชอาณาจักรกับรัสเซียต่างก็เป็นมหามิตรและมีความสัมพันธ์อันดีมาอย่างยาวนานทั้งคู่
นำไปสู่คำตอบที่แท้จริงของข้อสงสัยทั้งหมด ทำไมจึงทรงแสดงความไว้อาลัยผ่านหลากหลายรูปแบบของพิธีการภายในประเทศ และส่งเอกอัครราชทูตไปร่วมงานแทน พระองค์ในต่างประเทศ ทั้งหมดก็เพื่อรักษาสมดุลสัมพันธไมตรีระหว่างไทย-สหราชอาณาจักร กับสัมพันธไมตรีระหว่างไทย-รัสเซีย นั่นเอง
เนื่องด้วยวันนี้เป็น “วันสันติภาพโลก” ขององค์การสหประชาชาติ (UN) ซึ่งตรงกับวันที่ 21 กันยายนของทุกปี ข้าพระพุทธเจ้าจึงขอใช้โอกาสนี้แสดงความเลื่อมใสในพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในฐานะที่ทรงเป็นสุดยอดผู้นำนักประสานประโยชน์ ทรงวางพระองค์ได้อย่างเหมาะสม สามารถรักษาดุลยภาพของสัมพันธไมตรีระหว่างไทย-สหราชอาณาจักร กับสัมพันธไมตรีระหว่างไทย-รัสเซีย ในครั้งนี้ได้อย่างแหลมคม
ดร.ศุภณัฐ
21 กันยายน พ.ศ. 2565″
อ่านแล้ว ภาษาหนังสือจีนกำลังภายในต้องบอกว่า นับถือๆ
แต่จะจริงหรือเท็จอย่างไรคงไม่มีใครทราบได้ เพราะดร.ศุภณัฐเป็นผู้แถลงข่าวประจำพระองค์หรือก็เปล่าเลย เป็นโฆษกสำนักพระราชวังหรือก็ไม่ใช่ แม้จะชี้แจงแสดง เหตุผล อธิบายราวกับใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท ล่วงรู้ความในพระราชหฤทัยก็ตามที
อีกประการที่สำคัญ เนื้อความทั้งหมดอาจจะถูกใจรัสเซียก็จริง แต่สำหรับอังกฤษแล้วคงไม่อย่างแน่นอน เราควรจะปลาบปลื้ม ภาคภูมิใจหรือสมเพชเวทนา สงสารประเทศไทยดีกับถ้อยความดังกล่าวอันสุ่มเสี่ยง หมิ่นเหม่จะสร้างปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตามมา
ได้กลืนไม่เข้าคายไม่ออกกันก็คราวนี้