อายุษ ประทีป ณ ถลาง เรื่อง
ภาพิมล หล่อตระกูล ภาพประกอบ
หลังจากเงียบกริบมาเกือบ 5 ปีเต็ม สงบเสงี่ยมเจี๋ยมเจี้ยม เจียมเนื้อเจียมตัวกันเป็นส่วนใหญ่ แต่พลันครั้นมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปออกมาเท่านั้น ก็ราวกับป่าช้าแตก ยิ่งอยู่ในห้วงเวลาของการหาเสียงด้วยแล้ว นักการเมืองน้อยใหญ่ ทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่าเผยตัวออกมาเคลื่อนไหว ทำกิจกรรมกันด้วยความคึกคักฮึกเหิม
เป็นวาระของการคืนความสุขให้กับผู้ซึ่งกระเหี้ยนกระหือรืออาสาตนไปทำหน้าที่เป็นตัวแทนประชาชน ตลอดจนเหล่าบรรดาหัวคะแนนถ้วนหน้า
สีสันบรรยากาศที่ว่างเว้นห่างหายไปนานกลับมาให้เห็นอีกครั้ง
เวลา 50-60 วันที่ถึงแม้ว่าฟ้าจะหม่นหมอง มิได้มีสีทองผ่องอำไพแต่ประการใด ทว่าประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดินกันถ้วนทั่ว เพราะแม้แต่ขี้ครอกเดินตรอกตามถนนยังมีคนยกมือพนมกรปลกๆ รับไหว้กันแทบไม่หวาดไม่ไหว โดยบางคนเป็นถึงระดับนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีเสนาบดีเสียด้วยซ้ำ
เดี๋ยวก็มีคนมานอบน้อมนับเป็นญาติ คำก็เรียกพี่น้องครับ อีกคำก็ประชาชนที่เคารพ ทั้งๆ ที่บางคนเคยทำหน้าตาขึงขัง พูดจาเอะอะตึงตัง สำรอกตะคอกใส่ผู้คนราวกับเห็นเป็นทหารรับใช้อยู่ที่บ้าน อ้างว่าตัวเองเป็นนักรบ ไม่ใช่นักการเมืองที่จะมาพูดจาเสียงอ่อนเสียงหวาน
แต่ครั้นพอคิดจะสืบทอดอำนาจต่อไป ก็เริ่มพลิกลิ้นบอกว่าเป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหาร มาวันนี้ถึงขนาดปรับลุคเปลี่ยนแปลงบุคลิก จาก ‘ประยุทธ์’ มาเป็น ‘ประแป้ง’ แต่งเนื้อแต่งตัวจนแทบไม่เหลือเค้าลางเดิม
อำนาจวาสนาทางการเมืองทำให้คนเราเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนั้น
แล้วแต่ละคนเต็มไปด้วยคำมั่นสัญญาประชาคมมากมาย จนจดจำแทบไม่หวาดไม่ไหว
ทุกพรรคต่างแก่งแย่งแข่งขันนำเสนอสิ่งที่เรียกว่านโยบาย ในลักษณะของการลด แลก แจก แถม สมนาคุณสารพัด ด้วยคิดว่าชาวบ้านราษฎรหน้ามืดตามัว เสพย์ติดประชานิยมอย่างงอมแงม
เกทับกันเมามัน โดยไม่รู้ว่าจะเอาเงินงบประมาณจากที่ไหนมาใช้จ่าย ทำในสิ่งที่ได้ให้สัญญิงสัญญาเอาไว้หากได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเป็นรัฐบาล
แทนที่จะผลักดันรัฐสวัสดิการให้เป็นกิจจะลักษณะ โดยมีนโยบายภาษีมารองรับ ก็เปล่าเลย กลัวอภิมหาเศรษฐีนายทุนจะเดือดร้อน เกรงจะไปกระทบคะแนนเสียงความนิยมจากกลุ่มชนชั้นนำ ซึ่งรวมถึงตัวเองด้วย
ขณะที่ต้องพึ่งพาอาศัยคะแนนเสียงความนิยมจากประชาชนคนส่วนใหญ่ จึงได้แต่ผลักดันแนวทางประชานิยมโดยปราศจากนโยบายภาษีมารองรับ
ไม่บ้าก็ต้องบ้า บางพรรคถึงขนาดเสนอลดภาษีลงมาเสียด้วยซ้ำ
บางคนเอะอะอะไรก็อ้างเป็นสูตรสำเร็จว่าจะตัดงบกองทัพมาทำนโยบาย
บางพรรคการเมือง ผู้ได้รับการเสนอชื่อเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี มาวิดพื้นอวดโชว์กล้ามเนื้อพละกำลังให้เห็นเป็นของแถม
ที่อื้อฉาว กรณีของพรรคไทยรักษาชาติ ซึ่งทุกวันนี้อย่าว่าแต่จะรักษาชาติเลย แม้กระทั่งพรรคการเมืองของตัวเองยังรักษาเอาไว้ไม่ได้ ด้วยเพราะเล็งเห็นแต่ชัยชนะในการเลือกตั้ง โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องชอบธรรมใดๆ อ้างตนเป็นฝ่ายประชาธิปไตย แต่กลับเสนอชื่อพระเชษฐภคินีเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เปิดช่องนำไปสู่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคตามมา
กระโดดลงไปร่วมวงเล่นเกมเลือกตั้งที่ระบอบ คสช. กำหนดเองแท้ๆ พลาดขึ้นมากลับทำเป็นสนิมสร้อย แสดงบทเสมือนกับว่าตนตกเป็นฝ่ายถูกกระทำ
ห้อยโหนประชาธิปไตย ท้าตีท้าต่อยเผด็จการกันอย่างสนุกสนาน
อาศัยความจำเฉพาะกิจ นำเสนอความคิดเฉพาะกาลเพียงเพื่อเรียกคะแนนเสียงความนิยม เอาชนะการเลือกตั้งเท่านั้น โดยเฉพาะช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งจะมีขึ้น
รัฐบาลเผด็จการพลเรือนเสียงข้างมาก ล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดิน ทุจริตคอร์รัปชัน มีรัฐมนตรีติดคุกติดตะรางไปเท่าไร หลบหนีคำพิพากษากี่คน มีการฆ่าตัดตอนผู้ต้องสงสัยคดียาเสพติดกว่า 2 พันศพ ไม่เคยพูดถึง กลับเพิกเฉยหรือโต้แย้งเถียงแทนเสียด้วยซ้ำ
มาวันนี้แจกแจงได้ถี่ยิบละเอียดแทบทุกเม็ดว่า รัฐบาลเผด็จการทหารจับกุมคุมขังดำเนินคดีผู้คนไปแล้วเท่าไร บริหารราชการแผ่นดินไม่ชอบอย่างไรบ้าง
ไม่เว้นแม้กระทั่ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่อ้ำอึ้งอมพะนำมาช้านาน ยังถึงกับต้องทำคลิปปริปากประกาศต่อสาธารณะว่า จะไม่สนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ กลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง อ้างเหตุผลว่า การสืบทอดอำนาจต่อไปของผู้นำระบอบ คสช. ก่อให้เกิดความขัดแย้ง และขัดกับอุดมการณ์ของพรรคที่ว่าประชาชนเป็นใหญ่ อีกทั้ง 5 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจย่ำแย่ ประเทศเสียหายมามากพอแล้ว
แถมติ่งห้อยท้ายด้วยวลี “หมดเวลาเกรงใจแล้วครับ” ที่สร้างความงุนงงสงสัยตามมาว่า เหตุใด ทำไมหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์จึงต้องเกรงใจพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ไฉนจึงเพิ่งมาหมดเวลาเกรงอกเกรงใจเอาในช่วงโค้งสุดท้าย ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไปอีกไม่นานก็ไม่ทราบ
ตีปี๊บกันเอิกเกริก ไม่เว้นแม้แต่ นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่เขียนจดหมายเปิดผนึกอ้างว่าการประกาศไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นหลักการของพรรคการเมืองมาตรฐานทุกพรรคในโลกนี้ ที่จะสนับสนุนหัวหน้าพรรคของตนเป็นนายกรัฐมนตรี
ช่างกล้าหาญพูดถึงหลักการประชาธิปไตยโดยไม่อายปากกระดากลิ้น ทั้งๆ ที่เคยพลีกายเข้าไปมีส่วนร่วมหาบหามระบอบ คสช. พ้นจากสถานะรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ, กรรมการในคณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติ, กรรมการในคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดองตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 3/2560 มาไม่นาน
ลำพังลมปาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คนเดียว กลัวใครเขาไม่เชื่อหรืออย่างไรมิทราบได้ กรรมการบริหารพรรคยกเว้น นายอลงกรณ์ พลบุตร ถึงกับต้องยกโขยงออกมาแถลงข่าวสำทับยืนยัน
จริงอยู่ว่าท่าที จุดยืนอันโซซัดโซเซของพรรคประชาธิปัตย์ล่าสุด ย่อมส่งผลต่อการสืบทอดอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่แม้จะมีแต้มต่อจากเสียงของสมาชิกวุฒิสภาในการโหวตเลือกตัวนายกรัฐมนตรี และได้กองทัพ โดยเฉพาะ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งมีจุดเดือดต่ำค้ำยันก็ตามเถอะ
เพราะเสียงสนับสนุนในสภาผู้แทนราษฎรอันถือเป็นเสาหลักของระบอบเลือกตั้งที่แท้จริง ไม่น่าจะหวังพึ่งพาพรรคการเมืองเฉพาะกิจ 4.0 อย่างพรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมพลังประชาชาติไทย ได้เลย
ม้ามีเขาเต่ามีหนวด ดูจะยังมีความเป็นไปได้มากกว่าเสียด้วยซ้ำในแง่ของวิวัฒนาการ เปรียบเทียบกับโอกาสที่สองพรรคการเมืองตระกูลพลัง ตลอดจนลูกหาบทั้งหลายจะมีปัญญาเอาชนะการเลือกตั้งทั่วไป ครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร
นอกเสียจากจะยุบพรรค ทำลายล้างไม่ให้ฝ่ายตรงกันข้ามได้ผุดได้เกิด
กระนั้นก็ตามที ต่อให้จับปากกาเข้าคูหาอีกกี่ครั้งก็คงไม่สามารถฆ่าเผด็จการลงได้ เหมือนเฉกเช่นที่พยายามโหมประโคมรณรงค์ให้ผู้คนเคลิบเคลิ้มเชื่อว่าการเลือกตั้งในอุ้งมือระบอบ คสช. จะเป็นหนทางนำไปสู่ประชาธิปไตย
ลองวางแผนดำเนินการกันมา 4-5 ปี ถึงขนาดสถาปนาระบอบปกครองขึ้นมารองรับ มีสมุนบริวารมากมายทั้งที่เป็นพลเรือน ข้าราชการ ตำรวจ ทหาร อาสาตัวเต็มใจช่วยหาบหาม
เป็นไปได้อย่างไรที่จะฆ่าเผด็จการให้ล้มหายตายจากไปง่ายดายในวันนี้วันพรุ่ง
ไม่มีหรอกอัศวินทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นหน้าหล่อ หรือหน้าตี๋ขี่ม้าขาว ตลอดจนปาฏิหาริย์ใดๆ ตราบเท่าที่ยังหาฉันทมติร่วมกันไม่ได้
โดยเฉพาะการเข้าไปร่วมเล่นในเกมที่ระบอบ คสช. เป็นผู้กำหนด วางกรอบกติกาเอาไว้เสร็จสรรพ
แม้จะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย แต่ก็คงยังเชื่อกันว่าจะสามารถถูไถ พึ่งพาอาศัยนายพลเหรียญตรารกรุงรัง พอๆ กับทหารเกาหลีเหนือบีบคั้น คอยสร้างบรรยากาศความหวาดกลัวค้ำบัลลังก์
ลำพังเลือกตั้งจนเพลีย ระบอบประยุทธ์ก็ยังอยู่ยงคงกระพันเหมือนเดิม
อยากเลือกตั้งแล้วเป็นไง …
กระแสเรียกร้องต้องการประชาธิปไตยที่แท้จริง เป็นประชาธิปไตยเพื่อประชาชน ไม่ใช่เพื่อแม้ว เพื่อมาร์ค หรือเพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งต่างหาก ที่จะเข่นฆ่าทำลายล้างเผด็จการได้จริงแท้แน่นอน