ธิติ มีแต้ม เรื่อง
“ใจเคยแกร่งกร่อนละลาย ฉันแพ้หรือเปล่า แพ้แล้วจริงๆ”
“ไขว่คว้าได้มาคือว่างเปล่า คว้ามาแค่น้ำเหลว คว้าน้ำเหลวจริงๆ”
บางท่อนในเพลง ‘วิกฤติวัยกลางคน’ หวนดังขึ้นมาในวันที่ฝนตกหนักติดต่อกัน 3-4 วัน จนหลายพื้นที่เจอน้ำท่วม เสื้อผ้าใส่แล้วของพวกเรากองพะเนินไม่ได้รับอนุญาตให้ซัก ยังต้องรอให้แดดออกก่อน
เพลงลำดับที่ 8 เพลงนี้อยู่ในอัลบั้มเดียวกับชื่อเพลง เป็นอัลบั้มแนวเพลงอะคูสติกโฟล์ค บลูส์ อัลบั้มเดี่ยวของสมพงค์ ศิวิโรจน์ เจ้าของเพลง เช่น ลมเพ-ลมพัด, เรือรักกระดาษ, หัวใจพรือโฉ้, คนเช็ดเงา, ถนนแปลกแยก, อาวรณ์ และอีกหลายสิบเพลงที่คนร้องตามกันได้เป็นล้านคนทั่วประเทศ
ถ้าเข้าใจไม่ผิด พ่อได้อัลบั้มนี้มาในราวปี 2010 ซึ่งเป็นปีที่อัลบั้มนี้ออกพอดี ตอนที่ฟังครั้งแรกก็ติดหูเลยทันที เสียงกีตาร์โปร่งและเสียงแอกคอร์เดียนทุ้มๆ ทึมๆ เสียงร้องบ้านๆ แต่จริงใจ
จะว่ายากก็ยาก เพลงที่รายละเอียดดนตรีน้อยแต่ให้อารมณ์มากมีไม่มากเท่าไหร่ที่ทำให้เราจดจำ – อัลบั้มนี้พ่อเปิดฟังอยู่เรื่อยๆ เผลอแป๊บเดียวก็ปาเข้าไปร่วมสิบปีแล้ว แต่ยังไม่เคยลืมเลย ยังหวังว่าจะได้มีโอกาสฟังแสดงสดสักครั้ง ถ้าน้าสมพงค์จะกรุณา
ประเด็นคือไม่ใช่แค่ความลงตัวและน่าจดจำของเพลงในอัลบั้มนี้เท่านั้น แต่มันเป็นเครื่องเตือนใจว่า ต่อให้เราคิดว่าแข็งแรงอย่างไร มั่นคงแค่ไหน วันหนึ่งก็ล้ม วันหนึ่งก็พังได้
อาจไม่ได้ปรากฏทางกาย แต่มันระเนระนาดอยู่ภายใน
ที่เคยคิดว่าคงไม่หรอกๆ เอาเข้าจริงก็เหมือนเวลาขับรถ เผลอหลับในแป๊บเดียวเจอสิบล้อสวนเลนประสานงาคาที่ – ตายไหม ไม่ตายหรอก แค่เปรียบเทียบสภาพแหลกเละข้างในที่ไม่มีใครเห็น
และเรามักเรียกกันว่า “วิกฤติวัยกลางคน”
ที่ผ่านมาไม่เคยคิดว่ามันจะเกิด แต่มันก็เกิด มันเกิดมาทีหลังจาก ‘เวลา’ – ลูกพ่อมาถึงแล้ว
พ่อไม่อยากอธิบายสภาพข้างในนัก มันไม่น่าดูเท่าไหร่ เอาเป็นว่าในข้อสงสัยว่าหมดไฟอย่างที่คนทั่วไปมักรู้สึกกันนั้นใช่หรือเปล่า สำหรับพ่อไม่ชัวร์นัก
ไฟยังมี แต่มันเหมือนเผาตัวเองยังไงชอบกล หลายครั้งก็พาลไปเผาคนรอบข้างเสียจนพวกเขาวอดวาย ทั้งที่เขาไม่ได้ทำผิดอะไร
เกลียดเผด็จการ แต่ทำตัวเป็นเผด็จการ – นี่ก็อีกเรื่องหนึ่ง เวลานึกเท่าทันตัวเองว่ากำลังกลายสภาพเป็นนายพลบ้าอำนาจแล้วอยากนึกตบปากตัวเอง
อยากมีร่างกายแข็งแรง ตื่นเช้าตั้งใจจะออกไปวิ่ง เปล่า, นอนดึกตามเคย ตื่นมานั่งรูดโทรศัพท์ราวกับรูทีน
น่าเบื่อ ขี้รำคาญ เป็นต้น
พ่อกำลังสงสัยว่าที่ลูกชอบขมวดคิ้ว ทำตาแข็งใส่คนแปลกหน้านั้นได้ไปจากใคร อาจจะเป็นพ่อซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจนัก บางทีถ้าไม่มีลูกคอยเป็นกระจกสะท้อนพฤติกรรม พ่ออาจเสียผู้เสียคนง่ายกว่านี้ – ขออภัยที่ทำให้ลูกซึมซับสิ่งที่ไม่น่าซึมซับ
กับ “วิกฤติวัยกลางคน” มีคนเสนอทางออกไว้มากเหลือเกิน หลายเรื่องก็น่าเอาเยี่ยงอย่าง
แต่กับพ่อเวลานี้ยังยาก
เอาแค่ที่พยาพยามบอกตัวเองก็ยังยากเลย
อย่างสั้นที่สุดเป็นต้นว่า ความสุภาพอย่าใช้พร่ำเพรื่อ เก็บไว้เคารพตัวเองบ้าง
____________________________
อ่านคอลัมน์เมื่อเวลามาถึงทั้งหมดต่อที่นี่