เหตุการณ์เยาวชนอายุ 14 ปีใช้อาวุธปืนยิงกลางห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน นับเป็นเหตุการณ์ความรุนแรงใหญ่ที่เกิดขึ้นในรอบหลายปีมานี้ ความสูญเสียและความสะเทือนใจ นำมาซึ่งคำถามจากสังคมว่า “เด็กจะได้รับโทษอย่างไร” “ใครมีส่วนต้องรับผิดชอบบ้าง” สังคมจึงตั้งความหวังกับระบบที่จะเข้ามาดูแลให้เกิดความยุติธรรมต่อเรื่องนี้ได้
มากไปกว่าเรื่องการใช้กฎหมายในเหตุการณ์นี้ สังคมยังตั้งคำถามกับปัญหาเชิงโครงสร้าง สถาบันครอบครัว อำนาจนิยม ค่านิยมการศึกษา ไปจนถึงการซื้อขายอาวุธในไทยที่ฝึงรากลึกจนเกิดเหตุซ้ำแล้วซ้ำเล่า และที่สำคัญคือประเด็นว่าด้วยสิทธิ การคุ้มครอง และการกระทำผิดของ ‘เยาวชน’ ท่ามกลางข้อสงสัยถึงเบื้องหลังและแรงจูงใจให้เด็กลงมือก่อเหตุ และถึงที่สุดแล้วใครบ้างที่ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงครั้งนี้
เพื่อทบทวนและหาทางออกไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดซ้ำอีก 101 ร่วมกับ คิด for คิดส์ – ศูนย์ความรู้นโยบายเด็กและครอบครัว เปิดวงสนทนาเพื่อทำความเข้าใจความรุนแรงและเยาวชนอย่างรอบด้าน ถอดบทเรียนเหตุการณ์ในมุมเด็กและโครงสร้าง รวมถึงตั้งคำถามต่อสังคม และหาแนวทางปฏิบัติเพื่อป้องกันเหตุการณ์อย่างเหมาะสมตั้งแต่ในระดับบุคคลจนถึงระดับภาครัฐ
ร่วมสนทนาโดย ศ.ดร.สุรศักดิ์ ลิขสิทธิ์วัฒนกุล อาจารย์ประจำศูนย์กฎหมายอาญา และอาชญาวิทยา คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, นพ.เดชา ปิยะวัฒน์กูล จิตแพทย์ อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยขอนแก่น, เข็มพร วิรุณราพันธ์ ผู้จัดการสถาบันสื่อเด็กและเยาวชน และ ณัฐยา บุญภักดี ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
หมายเหตุ : เรียบเรียงจากวงเสวนา ‘ประเทศไทยในคมกระสุน: ชะตากรรมเด็กและสังคมไทยภายใต้โครงสร้างแห่งความรุนแรง’ เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2566
ระบบยุติธรรม และระบบความปลอดภัยไทย โจทย์สำคัญที่ถูกตั้งคำถาม
ประเด็นที่สังคมออนไลน์ล้วนตั้งคำถามต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือ หน่วยงานต่างๆ จะมีการจัดการกระบวนการยุติธรรมต่อไปอย่างไร เนื่องจากกรณีที่เกิดขึ้นไม่ใช่อาชญากรรมทั่วไป แต่เหตุเกิดจากเด็กอายุ 14 ปี ซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74 ระบุว่า ผู้ที่อายุ 12-15 ปี เมื่อกระทำความผิดจะไม่ต้องรับโทษ แต่อาจมีมาตรการพิเศษเพื่อฟื้นฟูเด็กผู้กระทำผิดได้ จนเกิดข้อวิจารณ์ว่าเมื่อเหตุการณ์รุนแรงในระดับนี้ แล้วเด็กที่ก่อเหตุรุนแรงจะได้รับโทษอย่างเหมาะสมหรือไม่
ศ.ดร.สุรศักดิ์ ลิขสิทธิ์วัฒนกุล อาจารย์ประจำศูนย์กฎหมายอาญา และอาชญาวิทยา คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า ระบบยุติธรรมแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ กระบวนการยุติธรรมเชิงแก้แค้นทดแทน (Retributive Justice) และกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (Restrorative Justice)
- กระบวนการยุติธรรมเชิงแก้แค้นทดแทน (Retributive Justice) เป็นรูปแบบที่สังคมไทยใช้อยู่ คือให้ความสนใจว่ามีการลงโทษแบบใด และกันตัวผู้กระทำผิดออกจากสังคม
- กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (Restrorative Justice) เป็นวิธีการที่จะสามารถแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนได้ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูพฤติกรรมของผู้กระทำผิด พร้อมเยียวยาความเสียหายแก่ผู้เสียหาย
สุรศักดิ์ระบุถึงข้อกังวลของสังคมเกี่ยวกับการรับโทษว่า เด็กจะต้องรับโทษเช่นกัน เพียงแต่มีวิธีที่แตกต่างออกไปจากผู้ใหญ่ โดยใช้กระบวนการการดำเนินคดีของเด็กและเยาวชน “เรายังมีความหวังว่าเขาจะสามารถปรับปรุงแก้ไขได้” สุรศักดิ์กล่าว พร้อมย้ำว่าในกระบวนการจำเป็นต้องมีนักจิตวิทยาและนักสังคมสงเคราะห์ร่วมด้วย
นอกจากนั้น ยังมีประเด็นที่เกี่ยวข้องอย่างกฎหมายการควบคุมปืน โดยสุรศักดิ์เห็นว่าปืนผิดกฎหมายนั้นหาซื้อได้อย่างง่ายดาย ทั้งมีโฆษณาบนโซเชียลมีเดียต่างๆ ทำให้เข้าถึงได้ง่าย โดยเฉพาะปืนจำลอง (Blank Gun) ซึ่งสามารถนำมาดัดแปลงเป็นอาวุธปืนที่ใช้งานจริงได้ โดยการซื้อขายและโฆษณาเหล่านี้ยังไม่ถูกควบคุมอย่างเพียงพอ
ประเด็นเรื่องการซื้อขายอาวุธจึงตามมาด้วยมิติเรื่องความปลอดภัยในสังคมโดยรวม สุรศักดิ์เล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัวที่ในเวลากลางคืน จะไม่เคยเห็นตำรวจปรากฏตัวและคอยคุ้มกันตามสถานที่ต่างๆ เลย “นี่แปลว่าบ้านเมืองเราปลอดภัย หรือบ้านเมืองเราไม่มีการป้องกันอะไรเลย” สุรศักดิ์ตั้งคำถาม พร้อมยกตัวอย่างต่างประเทศที่จะมีตำรวจอยู่ประจำตามจุดต่างๆ เพื่อรับประกันความปลอดภัยให้เห็นว่าสังคมจะอยู่ในภายใต้การดูแลของตำรวจอยู่เสมอ
นพ.เดชา ปิยะวัฒน์กูล จิตแพทย์ อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยขอนแก่น ยกกรณีเปรียบเทียบกับประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งมีเหตุกราดยิงบ่อยครั้ง และมีผู้ก่อเหตุจำนวนไม่น้อยที่เป็นเด็กและเยาวชนเช่นกัน โดยหากนับว่าครั้งนี้เป็นเหตุกราดยิงในไทยที่เป็นข่าวใหญ่ อาจกล่าวได้ว่าความรุนแรงครั้งนี้เป็นครั้งที่สี่ในรอบหลายปีที่ผ่านมา
ตั้งแต่เกิดเหตุครั้งก่อนๆ เดชาได้แสดงข้อกังวลต่อทางราชการให้จัดประชุมต่อสหวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันและเตรียมพร้อมต่อเหตุที่อาจเกิดในอนาคต ด้วยเล็งเห็นว่าการก่อเหตุกราดยิงอาจระบาดได้จากหลายกลไก ทั้งจากการเลียนแบบ ความโดดเดี่ยวของคนรุ่นใหม่ หรือค่านิยมต่างๆ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีการจัดประชุมเกิดขึ้นจริงจนเกิดเหตุซ้ำอีก รวมถึงในปัจจุบัน ทางตำรวจยังไม่มีหลักเกณฑ์ใช้วัดว่าเหตุลักษณะใดบ้างที่จะจัดเป็นการกราดยิง ซึ่งความไม่เข้าใจในลักษณะของเหตุการณ์ทำให้ไม่เกิดการวางระบบป้องกันการก่อเหตุที่เหมาะสมขึ้น
โครงสร้างสังคม อำนาจนิยม และความรุนแรง ปัญหาใหญ่ที่ก่อให้เกิดอาชญากรรม
เข็มพร วิรุณราพันธ์ ผู้จัดการสถาบันสื่อเด็กและเยาวชน กล่าวว่า “ความรุนแรงฝังอยู่ในโครงสร้างสังคมของเรา ปัจจัยแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเด็กเป็นชนวนก่อให้เกิดความรุนแรงได้ในหลายรูปแบบ” โดยชี้ให้มองเหตุการณ์ดังกล่าวในเชิงโครงสร้างอย่าง ‘อำนาจนิยม’ ทั้งอำนาจทางร่างกาย ความรู้ อายุ เชื้อชาติ และอื่นๆ ซึ่งสร้างความชอบธรรมในการกระทำความรุนแรงต่อคนอื่น โดยในกรณีนี้ คือการใช้อำนาจของพ่อแม่ในการบังคับลูก ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจน้อยกว่า ทำให้ความรุนแรงปะทุขึ้นได้
อย่างไรก็ดี สภาพการณ์ของสังคมขณะนี้มุ่งมองถึงตัวกรณีที่เกิดขึ้น และวิจารณ์หาสาเหตุต่างๆ รวมถึงสื่อมวลชนที่เผยแพร่ข่าวในลักษณะความเป็นปรากฏการณ์ ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึกจนเกิดเป็นความรุนแรงจึงไม่ถูกพูดถึง และไม่สามารถนำไปสู่การแก้ปัญหาที่ตรงจุดได้
เดชาเสริมว่า ความรุนแรงในสังคมเช่นนี้ จะนำมาสู่การเกิดอาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชัง (hate crime) โดยตนเชื่อว่ากรณีของเด็กอายุ 14 ปีนี้ได้ก่ออาชญากรรมจากความเกลียดชังเช่นกัน เห็นได้จากสัญญาณก่อนก่อเหตุที่มีการส่งข้อความบอกใบ้ว่าจะใช้อาวุธปืน ไปจนถึงบอกว่าจะไปก่อเหตุที่ไหน ซึ่งในอดีตที่มีเหตุกราดยิง ผู้ก่อเหตุก็ได้ส่งสัญญาณลักษณะนี้เช่นกัน แต่คนรอบข้างไม่ได้ใส่ใจจนเกิดเหตุขึ้นจริง
เดชาจึงเสนอว่าไทยต้องมีการศึกษาเกี่ยวกับสาเหตุของอาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชังอย่างจริงจัง เช่น ความเกลียดชัดทางเพศ ความเกลียดชังทางเชื้อชาติ เพื่อลดปัญหาความเกลียดชังและนำไปสู่การลดอาชญากรรมได้ในอนาคต
สุรศักดิ์ให้ความเห็นเพิ่มเติมในประเด็นนี้ว่า “เราล้วนเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างปัญหา” เพราะเราทุกคนเองยังคงใช้การสาดโคลน ด่าทอ และสร้างความเกลียดชังต่่อกันและกันในทุกวัน หากจะแก้ไขปัญหานี้จึงจำเป็นต้องแก้ที่สังคมไปพร้อมๆ กันด้วย
สิทธิและคุณภาพชีวิตเด็กที่ถูกละเลย หนึ่งในเหตุปัจจัยทำให้ก่อเหตุ
เนื่องจากเหตุการณ์ใช้อาวุธปืนอย่างรุนแรงครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่ผู้ก่อเหตุเป็นเด็กและเยาวชน ณัฐยา บุญภักดี ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จึงได้ให้ข้อมูลถึงลักษณะสำคัญของเด็กที่แตกต่างจากวัยผู้ใหญ่ คือสมองของเด็กวัยแรกรุ่นจะมีความสุขเมื่อได้เสี่ยง และสมองของเด็กวัยแรกรุ่นยังอ่อนไหวต่อความเครียดมาก ซึ่งอาจเป็นเหตุปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดการก่อเหตุในครั้งนี้
ดังนั้น ปัจจัยทางครอบครัวก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยสุรศักดิ์ระบุถึงสถิติอาชญากรเด็กว่ามีมากถึง 70% ที่มาจากครอบครัวที่พ่อแม่หย่าร้าง อย่างไรก็ดี ณัฐยาเห็นว่าจากกรณีที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ต้องมองปัญหาในมิติใหม่ เนื่องจากเด็กที่มาจากครอบครัวที่มีความพร้อมก็ตัดสินใจก่ออาชญากรรมได้เช่นกัน
แม้เรื่องธรรมชาติของเด็กวัยแรกรุ่นจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ณัฐยาเห็นว่าสื่อไม่มีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับเด็กในลักษณะนี้เลย แต่กลับมุ่งนำเสนอว่าสาเหตุของความรุนแรงมาจากเกม ซึ่งได้ปรากฏการศึกษาแล้วว่าไม่พบความเชื่อมโยงระหว่างการเล่นเกมกับพฤติกรรมความรุนแรงหรือความก้าวร้าว
การนำเสนอที่ผิดเพี้ยนและไม่ครบถ้วน จึงอาจทำให้สังคมขาดความเข้าใจต่อกรณีนี้อย่างรอบด้านได้ เพราะสภาวะร่างกายของเด็กไม่ได้อยู่ในภาวะที่จะตัดสินใจก่ออาชญากรรม แต่มีเงื่อนไขหลายอย่าง ที่สำคัญคือมีความรุนแรงเชิงโครงสร้าง โดยณัฐยากล่าวว่า “เด็กอาจอยู่ในฐานะที่เป็นเหยื่อด้วยซ้ำไป ในวันที่เขาตัดสินใจกระทำ” เพราะหลายปัจจัยเป็นสิ่งที่เด็กไม่สามารถควบคุมได้
แนวทางการป้องกันและแก้ไข เพื่อไม่ให้เกิดเหตุความรุนแรงซ้ำอีก
สุรศักดิ์เล็งเห็นถึงปัญหาสำคัญในกระบวนการยุติธรรมที่ต้องเร่งแก้ไข โดยในปัจจุบันประเทศไทยยังเน้นการใช้ระบบกระบวนการยุติธรรมเชิงแก้แค้นทดแทน คือเน้นการจับคน ดำเนินคดี และเข้าเรือนจำ แต่ไม่มีกระบวนการฟื้นฟูที่เหมาะสม และไม่มีการป้องกันการก่ออาชญากรรม ทำให้มีสถิติการกระทำผิดซ้ำสูง โดยผู้ที่พ้นโทษแล้ว 1 ปี กลับมากระทำผิดถึง 15% สะท้อนว่ากระบวนการในเรือนจำนั้นล้มเหลว จึงควรหันมาพิจารณากระบวนการฟื้นฟูให้ได้ผลจริง เพื่อให้ระบบยุติธรรมสามารถฟื้นคืนคนสู่สังคมได้ หรือที่เรียกว่า กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ซึ่งได้เสนอในข้ไว้างต้น
ในด้านปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างเรื่องความรุนแรง เข็มพรระบุว่าจะต้องหยุดวงจรของระบบที่ผลิตความรุนแรง ตั้งแต่ระดับครอบครัว ชุมชน ที่ต้องขจัดค่านิยมที่ส่งเสริมให้เกิดความรุนแรงขึ้น รวมถึงสังคมและหน่วยงานที่ต้องคำนึงถึงวิธีการปฏิบัติต่อกันและกัน และที่สำคัญคือสื่อมวลชน ซี่งรวมถึงสื่อพลเมืองที่ทุกคนสามารถหยิบมือถือมาแชร์เหตุการณ์ และอาจขยายแนวคิดการใช้ความรุนแรงในวงกว้าง
ณัฐยาเสริมถึงประเด็นสำคัญอย่างเรื่องทางจิตใจ โดยระบุว่า “เราแสดงออกรุนแรงก็เพราะบริหารจัดการอารณ์ไม่ได้” การเสริมทักษะการบริหารจัดการอารมณ์จึงเป็นเรื่องเร่งด่วน โดยเสนอว่าเด็กเล็กช่วง 3 ขวบปีแรกจะเป็นช่วงเวลาชี้ชะตาว่าคนคนหนึ่งจะเติบโตอย่างมั่นคงแข็งแรงทางอารมณ์หรือไม่ จึงเชื่อมโยงถึงสวัสดิการรัฐที่เกี่ยวข้องอย่างกฎหมายลาคลอดที่อาจจะยังขยายเวลาไม่เพียงพอ ผู้เป็นแม่จึงไม่สามารถเลี้ยงดูเด็กได้อย่างเต็มที่จนอาจจะต้องให้คนอื่นช่วยเลี้ยงให้ ศักยภาพทางอารมณ์ของเด็กจึงไม่อาจพัฒนาได้อย่างที่ควรจะเป็น
ณัฐยาเสนอว่านโยบายลาคลอดควรปรับเป็นอย่างน้อย 6 เดือน มีเงินอุดหนุนเต็มจำนวน รวมถึงมีสวัสดิการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การรักษาพยาบาลเด็ก เนื่องจากเรื่องแรงงานและสวัสดิการทางสังคมนั้นเป็นปัญหาที่ไม่สามารถแยกออกจากเรื่องของเด็กได้ หากต้องการให้ความแข็งแรงทางใจถูกปลูกฝังตั้งแต่เด็กอย่างสมบูรณ์ ก็ต้องดูนโยบายเชิงโครงสร้าง และเปลี่ยนตั้งแต่ค่านิยมทั้งสังคม เพื่อให้สังคมเติบโตก้าวทันความเปลี่ยนแปลงของโลก
เข็มพรสรุปสิ่งที่ควรแก้เกี่ยวกับประเด็นสิทธิเด็กว่าจะต้องสร้างปัจจัยแวดล้อมเชิงบวกสำหรับทุกคนในสังคม เพื่อให้ทุกคนมีพลังในการจัดการภายในของตัวเอง โดยเฉพาะเด็กที่จะต้องมีพื้นที่ในการรับฟัง ทั้งเรื่องการเรียนและเรื่องการใช้ชีวิตที่เด็กจะได้มีสิทธิในการตัดสินใจ เห็นทางเลือก มีอิสระ มีตัวตน คิดตัดสินใจร่วมกับผู้ใหญ่ได้ และภาครัฐควรจะมีพื้นที่ให้เด็กได้เล่นอย่างอิสระด้วย
เดชาให้ความเห็นเพิ่มเติมว่าประเทศไทยควรมีหน่วยงานแบบต่างประเทศ สำหรับรับมือปัญหาเกี่ยวกับเด็กโดยเฉพาะ ชื่อว่า ศูนย์สำหรับวัยรุ่นและเยาวชน (Adolescent and Youth center) ซึ่งมีหน้าที่ออกแบบกิจกรรมที่ช่วยให้วัยรุ่นได้ระบายแรงกดดันในใจ ด้วยหลักการที่เชื่อว่าหากมีพื้นที่ให้เด็กได้พบปะอย่างสร้างสรรค์จะช่วยแก้ปัญหาได้