ค่าแรงขั้นต่ำ สิทธิในการลาพักผ่อน การได้รับเงินชดเชยของผู้หญิงที่ลาคลอดลูก และสวัสดิการของคนทำงานในทุกวันนี้ ไม่ได้มีที่มาจากนายทุนใจดี แต่มาจากการต่อสู้เรียกร้องเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว และคนที่มีบทบาทสำคัญในช่วงเวลานั้นคือแมรี่ แม็คคาร์เธอร์ (Mary Macarthur) ลูกสาวนักธุรกิจใหญ่ที่เลือกต่อสู้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของแรงงาน
เปลี่ยนเป้าหมายชีวิต เพราะเข้าประชุม
แมรี่คงไม่ได้คาดคิดว่า การเข้าไปฟังการประชุมของกลุ่มเจ้าของธุรกิจร้านค้า เพื่อนำข้อมูลมาใช้บริหารธุรกิจของครอบครัว จะทำให้ความคิดของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เธอเกิดในปี 1880 ที่สก็อตแลนด์ เป็นลูกสาวของนักธุรกิจขายผ้าผู้ร่ำรวย ธุรกิจของพ่อเธอไปได้ดีจนมีร้านค้าอยู่หลายสาขา เธอเข้าทำงานที่ร้านค้าของพ่อเธอในตำแหน่งนักบัญชี และเตรียมตัวเป็นทายาทนักธุรกิจผู้ร่ำรวยคนต่อไป
แต่ในปี 1901 พ่อของเธอแนะนำให้เข้าประชุมกับเจ้าของธุรกิจร้านค้าในเมือง ทำให้เธอได้ยินเรื่องราวการเอาเปรียบแรงงานของเจ้าของธุรกิจ ทั้งการให้ค่าแรงน้อยนิดแต่ต้องทำงานหนักติดต่อกันหลายชั่วโมง สภาพแวดล้อมการทำงานที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ ซึ่งปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยมีใครรู้หรือใส่ใจเท่าไหร่ในยุคสมัยนั้น
หลังการเข้าประชุม เธอจึงเปลี่ยนเป้าหมายชีวิตจากการสานต่อธุรกิจของพ่อให้ประสบความสำเร็จ เป็นการเรียกร้องสิทธิที่เป็นธรรมให้แรงงานผู้ถูกขูดรีด
สมัครเข้าสหภาพแรงงาน แต่ไม่ดีพอเลยขอตั้งใหม่
เมื่อความคิดเปลี่ยนแล้ว แมรี่ไม่รอช้าที่จะสานต่อสิ่งที่อยากเห็น นั่นคือชีวิตแรงงานที่ดีขึ้นและไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายทุน หลังจากย้ายบ้านมาอยู่ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษแล้ว เธอจึงสมัครเข้าสหภาพแรงงานสตรี WTUL (Women’s Trade Union League) ในปี 1903 แต่เข้าร่วมไปได้สักพักก็รู้สึกว่าสหภาพไม่มีเงินทุนเพียงพอ และไม่มีอำนาจผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตของคนงานได้ เธอจึงตัดสินใจก่อตั้งสหพันธ์แรงงานสตรีแห่งชาติ NFWW (National Federation of Women Workers) ในปี 1906 โดยมีเป้าหมายเพื่อดึงแรงงานเข้าร่วมกลุ่มให้มากที่สุดและพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่คนงาน
สิ่งที่เธอและ NFWW ทำนั้นไปไกลกว่าแค่การจัดตั้งองค์กรและเชิญชวนให้แรงงานมาสมัครสมาชิกเพียงเท่านั้น แต่สามารถจุดประเด็นให้สังคมรับรู้ถึงความรันทดของชีวิตแรงงานที่สามารถสั่นสะเทือนไปถึงนโยบายของรัฐบาล
บอกให้โลกรู้ว่าแรงงานถูกกดขี่
เพื่อให้โลกได้รู้ว่าชีวิตแรงงานนั้นลำบากและถูกเอารัดเอาเปรียบแค่ไหน แมรี่ลงพื้นที่จริงในโรงงานต่างๆ และนำมาถ่ายทอดให้สังคมวงกว้างรับรู้ผ่านนิทรรศการ Sweated Industries Exhibition ในปี 1906 ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งจัดแสดงภาพถ่ายของแรงงานที่ต้องอดทนทำงานหนักเพื่อนายทุนในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกับแรงงานผู้หญิงและเด็กที่ทำงานมากกว่าวันละ 10 ชั่วโมงแลกกับค่าตอบแทนเพียงน้อยนิด หรือไม่ก็ต้องเจอกับสภาพแวดล้อมในการทำงานที่เลวร้าย เช่น อากาศหนาวจัด ห้องทำงานที่สกปรก ฯลฯ
ผลลัพธ์ของการจัดนิทรรศการในครั้งนั้นได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม มีผู้คนเกือบ 3 หมื่นคนเข้าเยี่ยมชมนิทรรศการ และหนังสือคู่มือของนิทรรศการที่บรรยายชีวิตของแรงงาน 45 คน ก็ขายหมด 5 พันเล่มในเวลาเพียง 10 วัน นอกจากนั้นเธอยังจัดทำหนังสือพิมพ์ The Woman Worker เพื่อนำเสนอข้อมูลความรู้ให้แรงงานผู้หญิงตื่นตัวในการเรียกร้องสิทธิให้กับตนเอง และนำเสนอข่าวสารกิจกรรมต่างๆ ของสมาชิกสหภาพแรงงาน
พลังของการนำเสนอข้อมูลผ่านสื่อของเธอและ NFWW สร้างความตื่นตัวให้สังคมรับรู้ถึงปัญหาของแรงงานมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อแรงงานจำนวนมากตื่นตัว รัฐบาลก็นิ่งเฉยไม่ได้ จึงออกกฎหมายค่าแรงขั้นต่ำในปี1909 (The 1909 Trade Boards Act) เป็นผลสำเร็จ โดยเริ่มต้นใช้กับโรงงานอุตสาหกรรมใหญ่ ๆ ก่อน
แต่ชีวิตของแรงงานก็ไม่ง่ายดายขนาดนั้น เมื่อเจ้าของธุรกิจไม่ยอมจ่ายค่าแรงตามกฎหมาย สิ่งที่เธอและเหล่าแรงงานต้องทำคือการต่อสู้เพื่อสิทธิที่ควรได้รับ
ที่ไหนมีการกดขี่ ที่นั่นมีการต่อสู้
การต่อสู้ครั้งสำคัญของแรงงานที่กลายเป็นเหตุการณ์ครั้งใหญ่ในอังกฤษ เกิดขึ้นในปี 1910 ที่เมือง Cradley Heath เริ่มต้นจากการที่เจ้าของธุรกิจหลายแห่งไม่ยอมจ่ายค่าแรงตามที่กฎหมายกำหนด แมรี่และ NFWW จึงอาสาเข้าไปเจรจากับนายจ้างเพื่อต่อรองให้แรงงานได้รับค่าจ้างตามที่ควรได้รับ แต่ไม่เป็นผล เมื่อแรงงานไม่ได้รับความเป็นธรรม เธอจึงตัดสินใจปลุกระดมแรงงานหลายร้อยคนให้หยุดงานประท้วง
แต่การต่อสู้ระหว่างแรงงานกับนายจ้างไม่เคยง่ายเลยสักครั้ง
ปัญหาแรกคือเรื่องเงิน การประท้วงหยุดงานต้องใช้เงินทุนมากมายในการดำเนินการ ทั้งค่าครองชีพให้แรงงานที่เข้าร่วมประท้วง ค่าใช้จ่ายในการประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้แรงงานมาเข้าร่วม ฯลฯ
ปัญหาที่สองคือจุดประเด็นให้สังคมตื่นตัวเพื่อกดดันนายจ้าง หากไม่มีแรงกดดันจากสังคมแล้ว การจะให้นายจ้างยอมจ่ายค่าแรงที่สูงขึ้น คงเป็นแค่ความฝัน
เธอจึงใช้ประสบการณ์ในการทำหนังสือพิมพ์ สื่อสารเรื่องการประท้วงของแรงงานไปยังสังคม โดยเขียนข่าวแจกสื่อหนังสือพิมพ์หลายฉบับ เช่น Daily Express The Times ฯลฯ สัมภาษณ์แรงงานที่มีชีวิตยากลำบากซึ่งถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายจ้าง บทสัมภาษณ์ที่ดึงดูดความสนใจคนในวงกว้างมากที่สุดคือ บทสัมภาษณ์นางเพเชียนส์ ราวด์ (Patience Round) แรงงานโรงงานผลิตโซ่อายุ 79 ปี ที่ต้องทนทำงานหนักมากกว่าวันละ 10 ชั่วโมงมาตั้งแต่อายุ 12 ปี นางเพเชียนส์ให้สัมภาษณ์ว่า “การประท้วงที่ Cradley Heath ทำให้ฉันรู้จักกับสิทธิของแรงงานที่ไม่เคยรู้จักมาตลอดชีวิต”
นอกจากหนังสือพิมพ์แล้ว เธอยังใช้พลังของสื่อภาพยนตร์ที่เป็นเรื่องใหม่ในสมัยนั้น นำเสนอข่าวการประท้วง โดยติดต่อให้สำนักข่าว บริติช ปาเต (British Pathé) ถ่ายทำสารคดีการประท้วงของแรงงาน และจัดฉายที่โรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ ถึงแม้จะเป็นสารคดีที่ไม่มีเสียงด้วยเทคโนโลยีในยุคสมัยนั้น แต่สารคดีเรื่องนี้ก็สามารถเข้าถึงกลุ่มคนดูได้เกือบ 10 ล้านคน
ด้วยทักษะการเขียนข่าว การเล่าเรื่อง การวางแผนการใช้สื่อของเธอที่นำเสนอปัญหาของแรงงานให้สังคมรับรู้ ทำให้การประท้วงในครั้งนี้ใช้เวลาเพียง 10 สัปดาห์ก็ประสบความสำเร็จ ทั้งการได้รับเงินบริจาคจากประชาชนและภาคธุรกิจมากกว่า 4 พันปอนด์ (คิดเป็นเงินไทยในตอนนี้ประมาณหนึ่งแสนกว่าบาท ซึ่งถือเป็นจำนวนเงินที่สูงมากในสมัยนั้น) รวมไปถึงจุดประเด็นให้สังคมตื่นตัวถึงสิทธิของแรงงาน จนกดดันให้นายจ้างยอมจ่ายค่าแรงตามกฎหมายขั้นต่ำเป็นผลสำเร็จ
แม้เรื่องราวความทุ่มเทในการเรียกร้องสิทธิให้แรงงานจะผ่านมาร้อยกว่าปีแล้ว แต่ผลงานและอุดมการณ์ของเธอยังส่งผลมาถึงคนรุ่นหลัง
สิ่งที่เธอทิ้งไว้
แมรี่เสียชีวิตลงปี 1921 จากโรคมะเร็งด้วยอายุแค่ 40 ปีเท่านั้น แต่สิ่งที่เธอและแรงงานในอดีตร่วมกันต่อสู้ก็ส่งผลมาถึงคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของแรงงานในปัจจุบัน ทั้งเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ สิทธิการลาคลอดของผู้หญิง กฎหมายแรงงานต่างๆ รวมถึงการที่เธอมีส่วนร่วมในการจัดตั้งองค์การแรงงานระหว่างประเทศ หรือ ILO (International Labour Organization) ที่มีภารกิจส่งเสริมให้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีและคำนึงถึงศักดิ์ศรีของมนุษย์
อาจจะมีหลายคนที่มองว่าคนธรรมดาหนึ่งคนจะไปเปลี่ยนแปลงสังคมได้อย่างไร แต่แมรี่ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเธอทำได้ ด้วยการมีเป้าหมายที่ชัดเจนและมุ่งมั่นในการสื่อสารให้คนในสังคมรับรู้ถึงความไม่ยุติธรรมที่แรงงานได้รับ เมื่อสังคมรับรู้ก็เกิดพลัง จากเสียงของเธอเพียงหนึ่งคนกลายเป็นร้อยคน พันคน หมื่นคน แสนคน ล้านคน จนกลายเป็นเสียงที่มีพลังมหาศาลและเปลี่ยนแปลงสังคมได้ในที่สุด
————————–
อ้างอิง
- https://www.bclm.co.uk/media/learning/library/witr_marymacarthur.pdf
- https://neu.org.uk/media/2941/view
- https://warwick.ac.uk/services/library/mrc/archives_online/digital/tradeboard/1906
- https://www.wcml.org.uk/our-collections/activists/mary-macarthur/