การฉ้อราษฎร์บังหลวงขนาดใหญ่ภายใต้ระบอบโจราธิปไตย: อาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติรูปแบบใหม่แห่งศตวรรษที่ 21

การฉ้อราษฎร์บังหลวงขนาดใหญ่ภายใต้ระบอบโจราธิปไตย: อาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติรูปแบบใหม่แห่งศตวรรษที่ 21

เมื่อพูดถึงการกระทำความผิดฐานอาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติแล้ว หลายท่านคงระลึกถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอดีตที่มีการใช้ความรุนแรงทางทหารต่อประชาชนพลเรือนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่กองทัพนาซีเยอรมันกวาดล้างชาวยิว เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในช่วงล่มสลายของประเทศยูโสลาเวียที่มีการกวาดล้างชาวบอสเนีย หรือเหตุการณ์ล้างเผ่าพันธุ์ในประเทศรวันดา ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเหตุการณ์ที่สร้างความสั่นสะเทือนต่อความมั่นคงของประชาคมโลกอย่างมีนัยสำคัญ จนเป็นเหตุให้ต้องมีการจัดตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court: ICC) และธรรมนูญกรุงโรม (Rome Statute) ไว้สำหรับจัดการกับอาชญากรรมระหว่างประเทศร้ายแรงนี้

อย่างไรก็ตาม แม้ประชาคมระหว่างประเทศจะพัฒนาจนกระทั่งมีกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมทางอาญาระหว่างประเทศดังกล่าวแล้ว แต่พัฒนาการของอาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติก็ยังไม่ยุติและหายไปจากโลกของเราอย่างสิ้นเชิง หากแต่ยังมีแนวโน้มที่จะพัฒนาไปสู่ลักษณะการกระทำรูปแบบใหม่ที่มีความสลับซับซ้อนมากกว่าในอดีต ที่แม้จะไม่ได้ใช้ความรุนแรงทางการทหารเข้าโจมตีโดยตรงต่อประชนอย่างอุกอาจดังเช่นในอดีตแล้วก็ตาม แต่ก็ยังส่งผลให้เกิดการทำลายล้างโครงสร้างระบอบการเมืองการปกครอง ระบบกฎหมาย และเศรษฐกิจของประเทศชาติอย่างกว้างขวาง หรือเป็นระบบที่มีความรุนแรงทัดเทียมกับอาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติรูปแบบดั้งเดิมที่เคยเกิดขึ้นอีกด้วย กล่าวคือ เป็นการอุบัติขึ้นของอาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 21 ภายใต้ปรากฏการณ์ทางการเมืองที่อยู่ในสภาวะ ‘โจราธิปไตย’ อันเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับรัฐที่มีการฉ้อราษฎร์บังหลวงขนาดใหญ่ของชนชั้นปกครองและเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงที่ไม่อาจตรวจสอบหรือดำเนินคดีได้ และอาจนำไปสู่การล่มสลายของประเทศชาติในท้ายที่สุด

ทั้งนี้ ผู้เขียนจะอธิบายความหมายของปรากฏการณ์โจราธิปไตย อาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ การฉ้อราษฎร์บังหลวงขนาดใหญ่ที่นำไปสู่ความผิดฐานอาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ และเขตอำนาจของศาลอาญาระหว่างประเทศเหนือการกระทำความผิดดังกล่าว

 
ความหมายของปรากฏการณ์ ‘โจราธิปไตย’

ประเด็นปัญหาการเมืองการปกครอง กฎหมาย และเศรษฐกิจนับเป็นความท้าทายของรัฐสมัยใหม่ที่ต้องเผชิญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเพื่อจัดการหรือปรับปรุงแก้ไข โดยรัฐมีหน้าที่ต้องจัดการการดำรงอยู่ร่วมกันของคนในสังคมให้ดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น ซึ่งถ้าปัญหาต่างๆ ทั้งหลายไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกันหรือมีเนื้อหาสาระที่แยกจากกันแล้ว แม้จะมีความยากลำบากอยู่บ้างตามระดับความร้ายแรงของปัญหาที่เกิดขึ้น แต่การจัดการแก้ไขก็คงทำได้ในท้ายที่สุดผ่านมาตรการทางกฎหมายและการดำเนินงานของผู้แทนรัฐที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน

แต่จะเป็นอย่างไรหากปัญหาการเมืองการปกครอง กฎหมาย และเศรษฐกิจที่กล่าวมานี้เกิดขึ้นพร้อมกันในนามของอาชญากรรม โดยมีผู้แทนของรัฐซึ่งควรจะต้องเป็นผู้จัดการแก้ไขปัญหากลับกลายเป็นอาชญากรเสียเอง จากการกระทำที่เป็นการทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยปราศจากการดำเนินคดีตามกฎหมาย

ทั้งนี้ เมื่อรัฐตกอยู่ในสภาวะทางการเมืองที่ถูกควบคุมและขับเคลื่อนเพื่อประโยชน์ของบุคคลผู้ใดผู้หนึ่งหรือกลุ่มบุคคลขนาดเล็กกลุ่มหนึ่ง โดยผู้ที่ใช้อำนาจทางการเมืองถ่ายโอนทรัพยากรจำนวนมหาศาลของสังคมไปเป็นของตนเองหรือกลุ่มของตนเองแล้ว กรณีดังกล่าวอาจเรียกได้ว่ารัฐนั้นตกอยู่ในภาวะ ‘ระบอบการปกครองโดยโจร (kleptocratic regimes)’[1] หรือเรียกว่าการปกครองแบบ ‘โจราธิปไตย (kleptocracy)’ นั่นเอง ซึ่งวิกฤตทางการเมืองนี้เป็นผลพวงของอาชญากรรม ‘การฉ้อราษฎร์บังหลวงขนาดใหญ่ (grand corruption)’ ที่เป็นการดำเนินการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐที่ดำรงตำแหน่งระดับสูง (high-ranking state officials)[2] พร้อมกับการจัดให้มีระบบการยกเว้นความรับผิดชอบของผู้กระทำ (impunity) ไว้อย่างสมบูรณ์[3] ซึ่งอาจเปรียบเทียบได้ว่าผู้กระทำมีอำนาจรัฐไว้เป็นเครื่องมือเสมือนแชลงเหล็กที่งัดทำลายสิ่งกีดขวางต่างๆ เพื่อเข้าไปกอบโกยทรัพย์สินทั้งหลายในบ้านให้เป็นประโยชน์ส่วนตน และที่เลวร้ายที่สุดก็คือการใช้แชลงเหล็กนี้ทำลายกระบวนการยุติธรรมที่เสมือนเป็นการฆ่าเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้รักษาความปลอดภัยของสังคมไปเลยเสียทีเดียว บ้านที่เปรียบเสมือนรัฐจึงตกอยู่ใต้การปกครองของโจรโดยสมบูรณ์

ด้วยเหตุนี้ ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการกระทำดังกล่าวจึงไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือโปร่งใสของการดำเนินงานขององค์กรรัฐ ดังเช่นการทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการปกติธรรมดาเพียงเท่านั้น หากแต่ยังสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานของการเมืองการปกครอง กัดกร่อนความบริสุทธิ์ของกระบวนการยุติธรรม ขัดขวางการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศชาติอย่างมีนัยสำคัญอีกด้วย และที่ร้ายแรงที่สุดก็คือการทำลายชีวิต ความเป็นอยู่ ตลอดจนสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนอย่างกว้างขวาง[4] ที่แม้แต่มาตรการทางกฎหมายที่มีความเป็นสากลอย่าง ‘อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต’ (United Nations Convention against Corruption – UNCAC) ก็ไม่อาจจัดการกับอาชญากรรมดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกต่อไป[5] เนื่องจากกระบวนการยุติธรรมภายในของรัฐที่เป็นภาคีของอนุสัญญาดังกล่าวพังทลายลงไปเสียสิ้นแล้ว

ต่อมาการฉ้อราษฎร์บังหลวงขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบันจึงถูกหยิบยกขึ้นมาในทางวิชาการเพื่อยกระดับให้ควรถูกจัดเป็น ‘อาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ’ ซึ่งเป็นฐานความผิดอาญาระหว่างประเทศร้ายแรงที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลอาญาระหว่างประเทศ[6] เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าว


ความหมายของอาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ

ความผิดฐานอาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ (crimes against humanity) เป็น 1 ใน 4 ฐานความผิดอาญาระหว่างประเทศร้ายแรงที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลอาญาระหว่างประเทศ โดยมีการบัญญัตินิยามไว้ในธรรมนูญกรุงโรม ข้อ 7 ซึ่งมีองค์ประกอบความผิดอยู่ด้วยกัน 4 ประการ คือ

1) ผู้กระทำต้องมีการกระทำที่เข้าลักษณะรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งหรือหลายรูปแบบตามที่บัญญัติไว้ใน ข้อ 7 (1)(a)-(k) ดังนี้ คือ (a) การฆาตกรรม

(b) การกำจัดให้สิ้นซาก

(c) การเอาคนลงเป็นทาส

(d) การเนรเทศ หรือบังคับประชากรให้ย้ายถิ่น

(e) การคุมขัง หรือการกระทำให้ปราศจากเสรีภาพทางร่างกายอย่างร้ายแรงในรูปแบบอื่นใด อันเป็นการละเมิดหลักการพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ

(f) การทรมาน

(g) การข่มขืน การเอาคนลงเป็นทาสทางเพศ การบังคับให้ค้าประเวณี การบังคับให้ตั้งครรภ์ การบังคับให้ทำหมัน หรือการกระทำในรูปแบบอื่นใดที่เกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศที่มีความร้ายแรงเท่าเทียมกัน

(h) การกดขี่ข่มเหงต่อกลุ่มบุคคล โดยเหตุแห่งความแตกต่างการเมือง เผ่าพันธุ์ สัญชาติ หรือชาติพันธุ์ วัฒนธรรม ศาสนา เพศที่กำหนดไว้ในวรรคสาม หรือโดยฐานแห่งความแตกต่างอื่นที่ไม่อาจยอมรับได้ในทางกฎหมายระหว่างประเทศ

(i) การบังคับบุคคลให้สูญหาย

(j) อาชญากรรมการแบ่งแยกชนชาติ

(k) การกระทำที่ไร้มนุษยธรรมอื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันโดยเจตนาทำให้เกิดความทุกข์ทรมานอย่างมาก หรือได้รับบาดเจ็บสาหัสต่อร่างกายหรือจิตใจ

2) การกระทำดังกล่าวทั้งหลาย ตามธรรมนูญกรุงโรม ข้อ 7(1)(a)-(k) นี้ จะต้องกระทำภายใต้องค์ประกอบเชิงบริบท (contextual elements) คือการกระทำนั้นต้องเป็นรูปแบบการโจมตีประชาชนพลเรือนอย่างกว้างขวาง หรือเป็นระบบ ซึ่งอธิบายได้ว่า

       2.1) การโจมตีอย่างกว้างขวาง (widespread attack) คือ การโจมตีขนาดใหญ่ และมีผู้เสียหายเป็นจำนวนมาก (large scale nature of attack and the number of victims)[7] โดยอาจมีลักษณะสะสมต่อเนื่องทำให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง (cumulative of act) หรืออาจมีลักษณะครั้งเดียวแต่สร้างความเสียหายที่ใหญ่มากผิดปกติ (extraordinary magnitude)[8]

       2.2) การโจมตีอย่างเป็นระบบ (systematic attack) คือ การโจมตีที่มีการเตรียมการวางแผนบริหารจัดการ มีการใช้วิธีการที่ซับซ้อน หรือเกี่ยวพันอำนาจระดับสูง[9]และสร้างความเสียหายแก่บุคคลอย่างเป็นหมู่คณะโดยไม่ใช่การโจมตีอย่างสุ่มเลือก[10]โดยทั้งนี้ไม่ได้ให้ความสำคัญกับจำนวนบุคคลที่ได้รับความเสียหายดังเช่นการโจมตีอย่างกว้าง[11]

3) การกระทำทั้งหลายตามธรรมนูญกรุงโรม ข้อ 7(1)(a)-(k) อันเป็นการโจมตีโดยตรงอย่างกว้างขวาง หรือเป็นระบบนั้น ต้องได้ดำเนินการ หรือได้รับการส่งเสริมโดยนโยบาย (policy) ของรัฐ (state) หรือองค์กร (organization) คือ จะต้องมีนโยบายอยู่เบื้องหลังการโจมตี มีการเตรียมการและวางแผนของรัฐ หรือองค์กร โดยทั้งนี้ ‘นโยบาย’ ในที่นี้ไม่จำเป็นต้องมีลักษณะเป็นทางการ ซับซ้อน หรือเคร่งครัดก็ได้[12]

4) ผู้กระทำต้องกระทำโดยมีเจตนา (intent) คือความตั้งใจให้การกระทำนั้นเกิดขึ้นพร้อมความปรารถนาหรือความตระหนักถึงผลที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้น และนอกจากนี้ผู้กระทำต้องมีความหยั่งรู้ (knowledge) คือการรับรู้ถึงข้อเท็จจริงที่ดำรงอยู่หรือคาดหมายได้ว่าผลความเสียหายจะเกิดขึ้นตามปกติธรรมดาจากการกระทำนั้น[13]

การฉ้อราษฎร์บังหลวงขนาดใหญ่ที่นำไปสู่การเป็นอาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ

แม้ในเบื้องต้นนั้น เมื่อเราพิจารณาจากลักษณะแห่งการกระทำตามธรรมนูญกรุงโรมข้อ 7(1)(a)-(k) แล้วจะไม่ปรากฏว่ามีการกำหนดให้การฉ้อราษฎร์บังหลวงขนาดใหญ่เป็นลักษณะการกระทำรูปแบบหนึ่งของอาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติไว้โดยตรงอย่างชัดแจ้งก็ตาม แต่อย่างไรก็ดี เนื่องจากลักษณะ การกระทำที่ไร้มนุษยธรรมอื่นๆ (other inhumane acts)” ที่ปรากฏในธรรมนูญกรุงโรม ข้อ 7(1)(k) นั้น เป็นบทบัญญัติที่มีลักษณะเป็นการบัญญัติอย่างปลายเปิด ที่มีเหตุผลเบื้องหลังเพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างของกฎหมาย (lacuna in law)[14] ในกรณีของการกระทำอันโหดร้ายป่าเถื่อนและไร้มนุษยธรรมซึ่งมีรูปแบบที่ไม่อาจที่จะคาดหมายในอนาคต และความพ้นวิสัยที่จะบัญญัติรูปแบบการกระทำดังกล่าวนั้นที่เกิดขึ้นทั้งหมดลงไปได้อย่างชัดแจ้ง[15]

ด้วยเหตุนี้ หากข้อเท็จจริงปรากฏว่าเจ้าพนักงานระดับสูงของรัฐมีการกระทำการทุจริตบิดเบือนงบประมาณ สูบงบประมาณรัฐบาลไปใช้ประโยชน์ในทางที่มิชอบ หรือใช้อำนาจทางการเมืองในทางที่มิชอบด้วยกฎหมายอื่นๆ อย่างเป็นระบบภายใต้นโยบายของรัฐ จนเป็นเหตุให้เกิดผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างร้ายแรงเป็นวงกว้างในลักษณะที่ทำให้ต้องตกทุกข์ได้ยากอย่างแสนสาหัส อยู่ในภาวะอดอยากจนกระทั่งเกิดความเจ็บป่วยล้มตาย หรือการล่มสลายของระบบรัฐสวัสดิการที่ไม่อาจดำเนินรับรองสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนได้อย่างทั่วถึง กรณีดังกล่าวจึงมีความเป็นไปได้ที่การฉ้อราษฎร์บังหลวงขนาดใหญ่ภายใต้การปกครองรูปแบบโจราธิปไตยจะเป็นการกระทำที่เข้าลักษณะของอาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติได้ตามที่บัญญัติไว้ในธรรมนูญกรุงโรมข้อ 7(1)(k)[16] เพราะเป็นความกระทำที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนเสมือนเป็นการกำจัดให้สิ้นซาก (extermination) ตาม ข้อ 7(1)(b) คือ เป็นการนำความตายมาสู่ผู้อื่นทั้งโดยตรงและโดยอ้อม[17] ด้วยวิธีการอันเป็นการทำลายล้างอย่างกว้างขวาง (mass destruction)[18] จากการทำให้ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงรัฐสวัสดิการหรือสาธารณูปโภคได้ตามปกติธรรมดา

นอกจากนี้หากปรากฏว่าประชาชนต้องอพยพย้ายถิ่นออกจากประเทศเพื่อความอยู่รอดแล้ว กรณีดังกล่าวก็เสมือนการเนรเทศ หรือบังคับประชากรให้ย้ายถิ่น (Deportation or Forcible Transfer of Population) ที่เป็นการให้ประชาชนพลเมืองทั้งหมดหรือบางส่วนย้ายจากภูมิลำเนาของตนโดยมิชอบด้วยกฎหมายและปราศจากความสมัครใจ[19] ซึ่งการบังคับนี้ไม่จำกัดเพียงแค่การใช้กำลังทางกายภาพเท่านั้น แต่รวมไปถึงการทำให้เกิดความกลัวภยันตราย ความกดดันทางด้านจิตใจอื่นๆ หรือการบีบบังคับโดยอาศัยความกดดันจากสภาพแวดล้อม[20]

และเมื่อการฉ้อราษฎร์บังหลวงขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นนั้นผู้กระทำตั้งใจกระทำการทุจริตด้วยลักษณะใดๆ โดยตระหนักหรือคาดหมายได้ว่าผลความเสียหายร้ายแรงนั้นจะเกิดขึ้นตามปกติธรรมดาจากการกระทำของตนแล้วผู้กระทำก็ย่อมกระทำไปโดยมีเจตนา[21] และเมื่อครบองค์ประกอบทั้ง 4 ประการแล้วกรณีดังกล่าวก็ย่อมเป็นความผิดฐานอาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติที่จะต้องอยู่ภายใต้เขตอำนาจของศาลอาญาระหว่างประเทศ

อนึ่ง แม้บทบัญญัติธรรมนูญกรุงโรมข้อ 7(1)(k) ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นบทบัญญัติที่ขัดต่อหลัก ‘ความชอบด้วยกฎหมายอาญา’ (principle of legality) เนื่องจากขาดความชัดเจนแน่นอนว่าอะไรคือมาตรฐานของการกระทำอันไร้มนุษยธรรมอื่นๆ[22] แต่อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาจัดตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศถาวร ผู้ร่างธรรมนูญกรุงโรมก็ตระหนักถึงประเด็นปัญหาดังกล่าว จึงได้มีการเพิ่มเงื่อนไขของลักษณะแห่งการกระทำดังกล่าวเพิ่มขึ้น[23] คือ การกระทำนั้นต้องมีรูปแบบและความรุนแรงที่เทียบเคียงได้กับลักษณะแห่งการกระทำตามข้อ 7 (1)(a)–(j) ด้วย ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงรูปแบบการกระทำที่มีการใช้อำนาจรัฐเข้ามาเกี่ยวข้องพร้อมกับความเสียหายต่อสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงแล้ว ผู้เขียนเห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีการใช้การตีความธรรมนูญกรุงโรมข้อ 7(1)(k) ให้ครอบคลุมไปถึงการฉ้อราษฎร์บังหลวงขนาดใหญ่ตามที่ได้นำเสนอไว้ข้างต้น


เขตอำนาจของศาลอาญาระหว่างประเทศเหนือการฉ้อราษฎร์บังหลวงขนาดใหญ่ภายใต้การปกครองรูปแบบโจราธิปไตย

เมื่อการฉ้อราษฎร์บังหลวงขนาดใหญ่ภายใต้การปกครองรูปแบบโจราธิปไตยนั้นทำลายกระบวนการยุติธรรมภายในของรัฐแล้ว กรณีดังกล่าวจึงต้องมีการอาศัยกระบวนการยุติธรรมทางอาญาระหว่างประเทศเข้ามาแก้ปัญหานี้ จึงมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาต่อไปว่า ศาลอาญาระหว่างประเทศจะมีอำนาจในการดำเนินคดีกับกรณีดังกล่าวหรือไม่เพียงใด โดยเฉพาะกรณีของรัฐที่ไม่ได้มีการให้สัตยาบันเข้าเป็นรัฐภาคีของธรรมนูญกรุงโรม

ทั้งนี้ อธิบายได้ว่า แม้โดยหลักแล้วศาลอาญาระหว่างประเทศจะมีเขตอำนาจเหนือการกระทำความผิดฐานอาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติเฉพาะที่ได้กระทำขึ้นภายในดินแดนของรัฐภาคี บนเรือ หรืออากาศยานที่จดทะเบียนในรัฐภาคีก็ตาม[24] แต่อย่างไรก็ดี ศาลอาญาระหว่างประเทศก็อาจมีเขตอำนาจเหนือรัฐที่ไม่เป็นภาคีได้ใน 2 กรณี กล่าวคือ

1) กรณีรัฐที่ไม่เป็นภาคีนั้นทำการยอมรับเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศเฉพาะคดี โดยประกาศต่อนายทะเบียนว่ายอมรับอำนาจของศาลอาญาระหว่างประเทศกับความผิดอาญาที่เกิดขึ้น และทั้งนี้รัฐที่ยอมรับอำนาจเฉพาะคดีนั้นต้องให้ความร่วมมือกับศาลโดยไม่ชักช้า[25] โดยทั้งนี้เขตอำนาจรูปแบบดังกล่าวนี้ได้เคยนำมาใช้แล้วในทางปฏิบัติ ในเหตุการณ์ความรุนแรงในประเทศไอวอรี่โคสต์ (Ivory Coast) โดยการส่งเรื่องของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ[26]

2) ในกรณีที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council; UNSC) เห็นว่าสถานการณ์ใดที่เกิดขึ้นบนโลก ที่เข้าข่ายการกระทำความผิดอาญาระหว่างประเทศ 4 ฐานร้ายแรง คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติสามารถใช้อำนาจในการรักษาสันติภาพของโลกตามที่บัญญัติไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ Chapter VII[27] ส่งเรื่องให้ศาลอาญาระหว่างประเทศพิจารณาคดีได้[28] แม้ว่าความผิดที่เกิดขึ้นจะไม่ได้กระทำภายในรัฐภาคีและไม่ได้กระทำโดยบุคคลสัญชาติของรัฐภาคีก็ตาม[29]

ด้วยหลักการดังกล่าว ศาลอาญาระหว่างประเทศจึงสามารถมีเขตอำนาจเหนือการกระทำความผิดอาญาระหว่างประเทศสี่ฐานร้ายแรงทั่วโลกหรือที่เรียกว่า ‘เขตอำนาจสากล’ (universal jurisdiction) โดยทั้งนี้เขตอำนาจอำนาจพิเศษโดยการส่งเรื่องของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาตินั้นไม่เพียงแต่มีแค่ในทางทฤษฎีเท่านั้นเช่นกัน หากแต่ได้เคยมีการบังคับใช้เขตอำนาจดังกล่าวแล้วในทางปฏิบัติ ในเหตุการณ์ความรุนแรงในเขตดาร์ฟูร์ (Darfur) ประเทศซูดาน (Sudan)[30]

ด้วยเหตุนี้ อาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติแห่งศตวรรษที่ 21 นี้อาจไม่ได้ปรากฏตัวในรูปแบบการใช้ความรุนแรงที่หักหาญต่อความเป็นมนุษย์ดังเช่นเหตุการณ์ที่เกิดในอดีตแล้ว แต่ปรากฏตัวในลักษณะของการทำลายล้างสิทธิมนุษยชนโดยอ้อมผ่านการฉ้อราษฎร์บังหลวงขนาดใหญ่ และเพื่อรักษาความมั่นคงของมวลมนุษยชาติให้คงอยู่แล้ว กระบวนการยุติธรรมทางอาญาระหว่างประเทศจึงต้องพัฒนาให้เท่าทันกับความเปลี่ยนแปลงของอาชญากรรมที่เกิดขึ้นอยู่เสมอเพื่อไม่ให้อาชญากรมีที่ยืนในโลกของเรา



อ้างอิง

[1] Daron Acemoglu, Thierry Verdier and James A. Robinson, ‘Kleptocracy and Divide-and-Rule: A Model of Personal Rule’ (2004), 2 Journal of the European Economic Association 162, 162.

[2] Naomi Roht-Arriaza and Santiago Martínez, ‘Grand Corruption and the International Criminal Court in the ‘Venezuela Situation’’ (2019), 17 Journal of International Criminal Justice 1057, 1059.

[3] Ibid 1060.

[4] ‘Grand Corruption’ accessed 10 March 2021.

[5] Ben Bloom, ‘Criminalizing Kleptocracy? The ICC as a Viable Tool in the Fight Against Grand Corruption.’ (2014), 29 American University International Law Review 627, 631.

[6] Rome Statute Article 5

[7] Robert Cryer et al., An Introduction to international criminal law and procedure (Cambridge University Press, 2007), 194.

[8] Ibid 195.

[9] Claire de Than and Edwin Shorts, International criminal law and human rights (Sweet & Maxwell, 2003) 92.

[10] Athanasios Chouliaras, ‘Discourses On International Criminality’ in Collective violence and international criminal justice : an interdisciplinary approach, ed. Alette Smeulers ( Intersentia, 2010) 81.

[11] ปกป้อง ศรีสนิท, คำอธิบายกฎหมายอาญาระหว่างประเทศ (โรงพิมพ์เดือนตุลา, 2556) 70.

[12] Marjolein Cupido, ‘The Policy Underlying Crimes Against Humanity: Practical Reflections on a Theoretical Debate’ (2011) 22 Criminal Law Forum 275, 290.

[13] Rome Statute Article 30

[14] Kriangsak Kittichaisaree, International criminal law (Oxford University Press, 2001) 126.

[15] Prosecutor v Blaškić paragraph 237 cited in Robert Cryer et al (เชิงอรรถ 7) 219.

[16] Ben Bloom (เชิงอรรถที่ 5) 651.

[17] Gerhard Werle, Principles of International Criminal Law (TMC Asser Press, 2005) 235.

[18] Simon Chesterman, ‘An Altogether Different order: Defining The Elements of Crimes Against Humanity’ (2000), 10 Duke Journal of Comparative & International Law 307, 334.

[19] Claire de Than and Edwin Shorts, (เชิงอรรถที่ 9) 100.

[20] Ibid.

[21] Ilias Bantekas, ‘Corruption as an International Crime and Crime against Humanity: An Outline of Supplementary Criminal Justice Policies’ (2006), 4 Journal of International Criminal Justice 466, 474-475.

[22] Prosecutor v Kupreskic and Others paragraph 565 cited in Kriangsak Kittichaisaree (เชิงอรรถที่ 14) 127.

[23] Robert Cryer et al (เชิงอรรถ 7) 219.

[24] Rome Statute Article 12 (2) (a)

[25] Rome Statute Article 12 (3)

[26] Republic of Côte d’Ivoire, “Declaration Accepting the Jurisdiction of the International Criminal Court,” accessed 10 March 2021.

[27] United Nation Charter CHAPTER VII: ACTION WITH RESPECT TO THREATS TO THE PEACE, BREACHES OF THE PEACE, AND ACTS OF AGGRESSION

[28] Rome Statute Article 13 (b)

[29] ปกป้อง ศรีสนิท (เชิงอรรถ 11) 223.

[30] Security Council, ‘SECURITY COUNCIL REFERS SITUATION IN DARFUR, SUDAN, TO PROSECUTOR OF INTERNATIONAL CRIMINAL COURT’ accessed 10 March 2021.

MOST READ

Politics

16 Dec 2021

สิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับและถูกควบคุมตัว (ตอนที่ 1) : เหตุใดจึงต้องพบศาล และต้องพบศาลเมื่อใด

ปกป้อง ศรีสนิท อธิบายถึงวิธีคิดของสิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับกุมและควบคุมตัว และบทบาทของศาลในการพิทักษ์เสรีภาพปัจเจกชน

ปกป้อง ศรีสนิท

16 Dec 2021

Politics

25 Jan 2024

ผู้พิพากษาอาวุโสมีไว้มากมาย… ทำไม

‘ใบตองแห้ง’ ชวนสำรวจเงินเดือนของเหล่าผู้พิพากษาอาวุโส ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี และชวนตั้งคำถามว่า บทบาทหน้าที่ของผู้พิพากษาอาวุโสเหล่านี้คืออะไร สร้างประโยชน์ใดให้แก่กระบวนการยุติธรรมไทยบ้าง

อธึกกิต แสวงสุข

25 Jan 2024

Law

19 Jun 2024

‘สมรสเท่าเทียม’ ก้าวสำคัญกฎหมายครอบครัวไทย: สาระสำคัญและเรื่องที่ยังไปไม่ถึง

ไชยพัฒน์ ธรรมชุตินันท์ ชวนมองหลักการสำคัญใน ‘พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม’ พร้อมตั้งข้อสังเกตต่อบทบัญญัติที่แก้ไขใหม่และผลที่อาจตามมา

ไชยพัฒน์ ธรรมชุตินันท์

19 Jun 2024

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save