สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน
ผมมีเจตนาชัดเจนตั้งแต่แรกเริ่มเขียนบทความให้แก่ 101.world ว่า อยากจะวิเคราะห์ความท้าทายของเศรษฐกิจไทย และพยายามขบคิดถึงข้อเสนอเท่าที่จะสามารถทำได้
เนื่องในโอกาสปีใหม่ ผมจึงถือโอกาสได้ทบทวนข้อเสนอที่เขียนตลอดปี 2021 (และต้นปี 2022) เพื่อเป็นของกำนัลให้กับผู้อ่านที่สนใจเรื่องบทบาทรัฐกับนโยบายเศรษฐกิจได้ขบคิด ถกเถียง และคิดถึง ‘ความหวัง’ ของการพัฒนาเศรษฐกิจไทยไปพร้อมกัน
3 โจทย์ใหญ่การพัฒนาเศรษฐกิจไทย[1]:
รัฐขีดความสามารถปานกลาง, โครงสร้างเศรษฐกิจแบบช่วงชั้น
และกับดักเทคโนโลยีปานกลาง
ทุกท่านครับ,
ผมคิดว่าประเทศไทยมีโจทย์ใหญ่สำคัญสามด้านที่ฉุดรั้งการพัฒนาของเราเอาไว้ ดังนี้ครับ
โจทย์ข้อแรก ประเทศไทยในปัจจุบันนั้นมักจะถูกนิยามว่าเป็น ‘รัฐขีดความสามารถปานกลาง’ กล่าวคือ ไม่ได้แย่จนกระทั่งทำอะไรไม่ได้ แต่ก็อ่อนแอเกินกว่าจะผลักดันเศรษฐกิจให้เกิดการพัฒนาก้าวกระโดด
มองให้ลึกลงไปในรายละเอียด เราจะเห็น ‘รัฐอกแตก’ กล่าวคือภายในส่วนต่างๆ ของรัฐนั้น มีขีดความสามารถแตกต่างกัน โดยหน่วยงานที่ดูแลเสถียรภาพของเศรษฐกิจ เช่น กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย มักมีขีดความสามารถสูง แต่หน่วยงานที่ทำหน้าที่พัฒนาเศรษฐกิจเชิงรุกในแต่ละภาคเศรษฐกิจ กลับมีขีดความสามารถต่ำและพัวพันไปด้วยผลประโยชน์ต่างๆ
สภาวะเช่นนี้เหมือนดาบสองคม เพราะด้านหนึ่งเศรษฐกิจก็ดูจะเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปและทนทานต่อวิกฤติ แต่เพราะเหตุนี้เองจึงทำให้ขาดแรงผลักดันอย่างกระตือรือร้น และทำให้การปรับตัวเป็นไปอย่างล่าช้า นอกจากนี้ ‘การพัฒนาเชิงรุก’ กลับเป็นคำที่กระตุ้นจินตนาการด้านลบ เพราะประชาชนไม่เชื่อมั่นในความสามารถของภาครัฐ และไม่ไว้ใจเรื่องการฉ้อราษฎร์บังหลวง
โจทย์ที่สอง คือโครงสร้างเศรษฐกิจแบบช่วงชั้น (hierarchical market)
มิติแรกคือความเหลื่อมล้ำระหว่างกลุ่มทุนขนาดใหญ่และเล็ก งานศึกษาพบว่ากลุ่มทุนขนาดใหญ่มีจำนวนน้อยกว่า 1% ของบริษัททั้งหมดในไทย ครอบครองส่วนแบ่งมากถึง 43% ของมูลค่า GDP, 80% ของเงินลงทุนภาคเอกชน และ 13% ของการจ้างงานทั้งประเทศ[2]
ในขณะที่ทุนขนาดกลางและย่อม (SME) กลับมีความเปราะบางต่อความเสี่ยงทางธุรกิจ ขยายตัวช้า และตลอดหลายปีที่ผ่านมาเข้าถึงทุนและแรงงานฝีมือได้น้อยลงเรื่อยๆ
มิติที่สองคือความเปราะบางของแรงงาน สถิติชี้ว่าราว 55-65% ของผู้มีงานทำเป็น ‘แรงงานนอกระบบ’ ซึ่งในกลุ่มนี้มีความเปราะบางของสัญญาจ้าง และกว่าครึ่งเป็นผู้มีรายได้น้อยถึงแม้ว่าจะทำงานหนักเกินกว่า 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์แล้วก็ตาม
เมื่อประสานสองมิติเข้าด้วยกัน เราจะเห็นภาพรวมว่า โครงสร้างทุนนิยมไทยมีลักษณะที่กลุ่มทุนขนาดใหญ่ได้รับส่วนแบ่งสูงสุด โดยมีทุน SME และแรงงานปกขาวได้รับส่วนแบ่งรองลงมา และแรงงานนอกระบบจำนวนมากเป็นฐานที่ถูกขูดรีด ใช้แรงงานหนัก และได้รับผลตอบแทนต่ำ
โครงสร้างเศรษฐกิจเช่นนี้สร้างปัญหา เพราะมันบั่นทอนนวัตกรรม ทำลายศักยภาพที่จะเรียนรู้ของมนุษย์ สร้างความเหลื่อมล้ำทั้งในช่วงเศรษฐกิจขาขึ้น และกระจายความเสี่ยงไม่เท่ากันในช่วงเศรษฐกิจขาลง[3]
โจทย์ข้อที่สาม โครงสร้างการผลิตของไทยมีลักษณะเทคโนโลยีปานกลาง ได้ส่วนแบ่งต่ำจากห่วงโซ่มูลค่าโลก และปรับตัวช้ามาหลายทศวรรษ
สถิติธนาคารโลกชี้ว่า หลังปี 2000 เป็นต้นมาโครงสร้างเศรษฐกิจไทยพัฒนาไปอย่างเชื่องช้า สัดส่วนการส่งออกสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงลดลง นอกจากนี้ หากพิจารณาอุตสาหกรรมสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจสำคัญ จะพบว่าไทยมีสัดส่วนการส่งออกสินค้าและบริการ ICT ลดลง สวนทางประเทศเสือเศรษฐกิจอื่น เช่น จีน, เกาหลีใต้ และ ไอร์แลนด์ เป็นต้น
ถึงแม้ว่าการยกระดับเทคโนโลยีจะกลายเป็นหัวข้อที่หลายภาคส่วนในสังคมไทยต่างกล่าวถึงและให้ความสำคัญมากขึ้น แต่ปัญหา ‘รัฐขีดความสามารถปานกลาง’ ทำให้มาตรการสนับสนุนภาครัฐไม่ประสบผลเท่าที่ควร ส่วนปัญหา ‘โครงสร้างเศรษฐกิจแบบช่วงชั้น’ ก็ทำให้ความพยายามพัฒนาเทคโนโลยีกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มทุนขนาดใหญ่
กล่าวอีกแบบหนึ่งก็คือ ปัญหาทั้งสามประการนี้ซ้ำเติมซึ่งกันและกัน และทำให้แต่ละปัญหามีความซับซ้อนและแก้ไขยากยิ่งขึ้น
เรายังมีความหวัง
ที่ผ่านมา คอลัมน์ Dancing with Leviathan พยายามชวนผู้อ่านขบคิดและถกเถียงถึงบทบาทรัฐและนโยบายการพัฒนาที่แก้ปัญหาการพัฒนาเศรษฐกิจไทยทั้ง 3 ข้อข้างต้น และผมคิดว่า ‘เรายังมีความหวัง’ อยู่ เพราะพูดให้ถึงที่สุด สิ่งที่ประเทศไทยเผชิญเป็นปัญหาสากลทั่วไปในโลก
ประเทศที่รัฐมีขีดความสามารถสูงในวันนี้ล้วนพัฒนามาจากรัฐขีดความสามารถต่ำ เช่น ก่อนจะมีเกาหลีใต้วันนี้ก็เคยมีเกาหลีใต้ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 สมัย Rhee Syngman ก็เป็นรัฐที่อ่อนแอและเต็มไปด้วยการฉ้อราษฎร์บังหลวง ส่วนสิงคโปร์ในช่วงเริ่มต้นพัฒนาประเทศก็เคยประสบปัญหาขาดแคลนเงินทุนและเต็มไปด้วยอุตสาหกรรมมูลค่าต่ำมาก่อน เป็นต้น
ประเทศไทยไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพังในดินแดนลี้ลับที่ไม่เคยถูกค้นพบ …เราเรียนรู้จากผู้ที่เคยประสบความสำเร็จได้ และนี่คือ 7 ข้อเสนอของผมที่สกัดได้จากการอ่าน คิด และเขียน ผ่านคอลัมน์นี้ครับ
1# สร้างรัฐพัฒนาแบบเครือข่าย[4]
ทุกท่านครับ,
ประเทศต่างๆ ในโลกที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจมีปัจจัยร่วมที่สำคัญประการหนึ่งคือ ‘รัฐขีดความสามารถสูง’ หรือพูดง่ายๆ คือรัฐต้องเก่ง
ความเก่งมีสี่ด้านสำคัญ ได้แก่ คิดเป็น-คือรู้ว่าต้องทำอะไร, ทำเป็น-คือรู้ว่าต้องขับเคลื่อนอย่างไรให้สำเร็จ, ผิดเป็น-คือรู้ว่าจะวัดความสำเร็จและล้มเหลวอย่างไร และตรวจพบความผิดพลาดของตนเองได้เร็ว, และปรับตัวได้-คือสามารถปรับตัวได้ไวเมื่อทำพลาด
รัฐที่นำความเก่งของตนเองไปขับเคลื่อนการพัฒนา โดยผนวกเอากลุ่มทุนและภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนขับเคลื่อนอย่างแข็งขัน จะถูกเรียกว่า ‘รัฐพัฒนาแบบเครือข่าย‘
รัฐเช่นนี้ไม่เพียงแต่ปรากฏในกลุ่มเสือเศรษฐกิจแห่งเอเชียอย่างไต้หวันแลtสิงคโปร์ แต่ยังรวมถึงประเทศที่พัฒนาแล้วฝั่งตะวันตก อาทิ สหรัฐอเมริกา เยอรมนี ไอร์แลนด์ และอิสราเอล อีกด้วย
รัฐพัฒนาไม่จำเป็นต้องขนาดใหญ่เทอะทะ (แบบรัฐวางแผนจากส่วนกลาง) หรือไม่จำเป็นต้องเล็กสุดๆ (แบบรัฐเสรีนิยมใหม่) หัวใจคือต้องมีขนาดพอเหมาะจะทำงานร่วมกับภาคส่วนต่างๆ ในสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่เราจะสร้างรัฐพัฒนาแบบเครือข่ายขึ้นมาได้อย่างไรเล่า?
มีสักสามเคล็ดลับสำคัญครับ
ข้อแรก รัฐพัฒนาแบบเครือข่ายทั้งหมดเกิดขึ้นในระบอบ ‘ประชาธิปไตยที่ตั้งมั่น’ และ ‘กระจายความรับผิดชอบ’
ประชาธิปไตยที่ตั้งมั่นทำให้รัฐต้องรับฟังประชาชน และเมื่อรัฐเริ่มฟังเสียงของประชาชนก็จะมีข้อมูลมากพอจะคิดเป็น-ทำเป็น-ผิดเป็น-ปรับตัวได้
แน่นอนครับว่า รัฐเผด็จการอาจจะ (แค่อาจจะนะครับ) คิดเป็นและทำเป็นโดยใช้ผู้เชี่ยวชาญเทคโนแครตทำงานให้ แต่รัฐเผด็จการนั้นมักจะ ‘ผิดไม่เป็นและปรับตัวไม่ได้’ รัฐแบบเผด็จการจึงแข็งตัวและสามารถจะพาประเทศพัฒนาได้ยากมากขึ้นเรื่อยๆ ในบริบทปัจจุบัน
บันไดก้าวแรกสู่การสร้างรัฐที่ดีคือการประคับประคองให้ประชาธิปไตยลงหลักปักฐานได้อย่างมั่นคงในสังคมไทยครับ
อีกด้านหนึ่งที่สำคัญคือการกระจายความรับผิดชอบในการพัฒนาเศรษฐกิจ (ซึ่งรวมถึงการกระจายอำนาจและทรัพยากร) ออกไปจากรัฐส่วนกลาง ให้เป็นบทบาทของหน่วยงานรัฐที่ใกล้ชิดพื้นที่และประเด็น ทำงานร่วมกับกลุ่มทุนและภาคประชาสังคม
โดยการกระจายบทบาทพัฒนาเหล่านั้นจะสอดประสานกันในภาพรวมได้ ต้องเชื่อมต่อกันผ่านแผนยุทธศาสตร์ ฐานข้อมูล และความรับผิดรับชอบ (accountability) ที่ออกแบบมาอย่างดี
ข้อที่สอง เร่งเพิ่มขีดความสามารถภาครัฐผ่านหน่วยงานนำร่อง
การปฏิรูปเพื่อสร้างรัฐพัฒนาแบบเครือข่ายไม่จำเป็นต้องรอช้า หรือรอการปฏิรูประบบราชการแบบรอบด้าน แต่เริ่มต้นได้จากระดับ =’หน่วยงานนำร่อง’ ที่มีความสามารถสูงอยู่เดิมและมีหน้าที่พัฒนาพื้นที่ พัฒนาเศรษฐกิจรายสาขา หรือทำนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมและยกระดับเทคโนโลยีในเชิงรุกอยู่แล้ว
ตัวอย่างเช่นในสหรัฐอเมริกา ไต้หวัน และไอร์แลนด์ เหล่านี้ล้วนเริ่มต้นการปรับเพิ่มขีดความสามารถภาครัฐ จากหน่วยงานนำร่องกลุ่มเล็กๆ ทั้งสิ้น และความสำเร็จของหน่วยงานนำร่องที่ชัดเจน จะเป็นตัวสร้างความชอบธรรมให้แก่การปฏิรูปที่กว้างขวางยิ่งขึ้นต่อไป
เช่น Industrial Technology Research Institute (ITRI) ของไต้หวัน, Industrial Development Agency (IDA) ของไอร์แลนด์, Advanced Research Projects Agency (ARPA) และ Advanced Manufacturing Institute (AMI) ในสหรัฐอเมริกา เป็นต้น โดยมีธนาคารกลางและกระทรวงการคลังประเทศต่างๆ ทำหน้าที่ระวังเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
ข้อสุดท้าย หน่วยงานนำร่องไม่ได้เป็นผู้สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยตรง แต่ต้องไปช่วยให้ผู้ผลิตภาคเอกชนมีมูลค่าการผลิตและเทคโนโลยีสูงขึ้น พร้อมกันนั้นก็ต้องช่วยทำให้ผู้คนในสังคมมีรายได้เพียงพอจะจับจ่ายบริโภค นัยนี้ รัฐพัฒนาแบบเครือข่ายจึงต้อง ‘ร่วมมือ’ กับกลุ่มทุนและประชาสังคมในการพัฒนา
การร่วมมือระหว่างรัฐ ทุน และสังคมนี้มีความซับซ้อนซึ่งต้องขยายความต่อไปเป็นลำดับครับ
2# ปรับสายสัมพันธ์ระหว่างรัฐและทุนให้เหมาะสม[5]
ผู้อ่านทุกท่านครับ,
เราได้กล่าวถึงไปในช่วงต้นแล้วว่า สังคมไทยคือระบบตลาดแบบช่วงชั้น ที่มีทุนขนาดใหญ่ทั้งไทย-เทศเป็นผู้ปกครองสูงสุด การร่วมมือระหว่างรัฐและภาคส่วนต่างๆ ในสังคมจึงมักมีลักษณะที่ ‘ไม่เหมาะสม’
กล่าวคือ รัฐมักร่วมมือกับทุนขนาดใหญ่พร้อมกับกีดกันส่วนอื่นๆ (เช่น ทุนขนาดเล็ก แรงงาน และประชาสังคม) ออกไปจากการพัฒนา ซ้ำร้ายไปกว่านั้น รัฐมักจะถูกจับกุมและเชิดชักให้ทำนโยบายที่เอื้อต่อกลุ่มทุนขนาดใหญ่อีกด้วย
สถานการณ์เช่นนี้ทำให้เราต้องเร่งปฏิรูป ‘ความร่วมมือ’ ระหว่างรัฐและภาคเอกชนอย่างเร่งด่วน 2 ประการด้วยกัน
ประการแรก รูปแบบของสายสัมพันธ์ระหว่างรัฐ-เอกชนที่เหมาะสมคือ ‘การร่วมมืออย่างมีอิสระต่อกัน’ (embedded autonomy) ฟังดูแล้วมีความขัดกันอยู่ในทีใช่ไหมครับ? แต่ความขัดแย้งนี้เป็นประโยชน์และเกิดขึ้นจริงในญี่ปุ่น และชาติเสือเศรษฐกิจแห่งเอเชีย
ด้านหนึ่ง รัฐในประเทศเหล่านี้สร้างความร่วมมือเชิงรุกกับภาคเอกชนผ่านสมาคมการค้าในรายสาขาเศรษฐกิจ จนกระทั่งมีข้อมูลเทียบเท่าภาคเอกชน และขับเคลื่อนนโยบายได้อย่างตรงเป้าแม่นยำ เท่าทันความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมต่างๆ
ทว่าในอีกด้านหนึ่ง รัฐและเอกชนก็ต่างมีอิสระต่อกัน เพียงพอที่จะไม่ถูกครอบงำชักจูงด้วยอำนาจหรือผลประโยชน์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
สภาวะที่รัฐร่วมมือกับเอกชน รู้เท่าเอกชน และมีอิสระเพียงพอจะกำกับดูแล อุดหนุนและทำโทษภาคเอกชนได้นี้เอง คือเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้ความร่วมมือระหว่างรัฐและทุน “ไม่กลายเป็นพิษ”[6] ตรงนี้เองที่แตกต่างจากรัฐไทย เพราะรัฐไทยถูกครอบงำโดยกลุ่มทุนอยู่มาก และไม่มีอิสระเพียงพอจะกำกับดูแลได้อย่างยุติธรรมมีประสิทธิภาพ
ประการที่สอง ความร่วมมือต้องมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจน ตามลักษณะกลุ่มทุน
ผู้อ่านทุกท่านครับ,
การร่วมมือกับกลุ่มทุนนั้นแท้ที่จริงแล้วมีความซับซ้อน เพราะกลุ่มทุนมีหลายขนาด หลายสาขา ประเทศไทยควรจัดวางกลยุทธ์และความสัมพันธ์ให้แตกต่างกันออกไปด้วย
ในภาพรวม ไทยควรส่งเสริมทุนขนาดใหญ่ให้ขยายตัวไปภายนอก/ระดับโลกแบบเกาหลีใต้ เพราะในการแข่งขันระหว่างประเทศ “ขนาดมีผลชี้ขาดสำคัญ” ช่วยให้เกิดความประหยัดทางการผลิต และคุ้มค่าที่จะลงทุนด้านเทคโนโลยีราคาแพง เป็นต้น
นอกจากนี้ ทุนขนาดใหญ่จะถูกการแข่งขันระหว่างประเทศกดดันให้ต้องปรับตัว ว่องไวกว่าการเป็นเสือนอนกินอยู่กับตลาดภายในประเทศ
แต่หากไม่มีมาตรการที่เหมาะสม บริษัทใหญ่ก็จะใช้ความได้เปรียบด้านขนาด มากดขี่ทุนขนาดเล็กและแรงงานในประเทศ ดังนั้น กลไกผลักดันทุนใหญ่ออกไปลงทุนและแข่งขันภายนอกจึงสำคัญอย่างมาก
เมื่อทุนใหญ่ออกไปภายนอก จึงจะเกิด ‘พื้นที่หายใจ’ ของตลาดภายในให้ทุนขนาดกลางและขนาดย่อม ได้เติบโตและถักทอเครือข่ายการผลิตแบบไต้หวัน
ถึงแม้ SME ยังมีส่วนแบ่งจาก GDP ไม่มากนักในปัจจุบัน แต่หากได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสม ก็จะพัฒนากลายเป็นทุนขนาดใหญ่และกลายเป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยีใหม่ๆ ในอนาคต และในหลายกรณีมีความคล่องตัวมากกว่าทุนขนาดใหญ่ดั้งเดิมเสียอีก
สุดท้าย การโอบรับทุนข้ามชาติเข้ามาอย่างมีกลยุทธ์แบบสิงคโปร์ ต้องมาพร้อมกับมาตรการต่างๆ ที่ช่วยการันตีได้ว่า คนไทยจะมีงานทำมากขึ้นและได้รับค่าจ้างสวัสดิการที่ดีจากเงินลงทุนระหว่างประเทศเหล่านั้น
3# เห็นบทบาทของแรงงานและภาคประชาสังคม ในฐานะพลังผลักดันความก้าวหน้า[7]
ทุกท่านครับ,
รัฐและทุนไม่ได้ปรับตัวเองโดยธรรมชาติหรอกนะครับ รัฐและทุนปรับตัวเมื่อมีแรงกดดันทั้งจากภายนอกและภายในประเทศ เราจะเห็นบทเรียนจากเกาหลีใต้ในช่วงทศวรรษที่ 1970-90 ได้เป็นตัวอย่าง ในช่วงเวลาดังกล่าว เกาหลีใต้ค่อยๆ ปรับตัวจากระบบเศรษฐกิจที่พึ่งพิงแรงงานราคาถูก เป็นการพึ่งพิงเทคโนโลยี
เขาทำได้อย่างไร?
มีทั้งปัจจัยภายนอกและภายในครับ
ปัจจัยภายนอก คือ การที่สหรัฐอเมริกาประกาศถอนตัวจากเวียดนามในปี 1975 และลดการสนับสนุนรัฐต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกาหลีใต้มีได้รับเงินช่วยเหลือน้อยลง และต้องเผชิญภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือเพียงลำพัง ปัจจัยเหล่านี้กระตุ้นให้รัฐบาลเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมหนักเพื่อพึ่งพิงตนเองมากขึ้น
ปัจจัยภายใน นับตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษที่ 1970s ขบวนการแรงงานในเกาหลีใต้รวมตัวจัดตั้งอย่างแข็งขัน และเรียกร้องส่วนแบ่งจากการเติบโตทางเศรษฐกิจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเริ่มจากการเผาตนเองประท้วงของแรงงานหนุ่ม Jeon Tae-il ในปี 1970, การประท้วงขนาด 400 คนจนนำไปสู่การเผาโรงงานในปี 1971, การรวมตัวแรงงานหญิงกว่าพันคนของบริษัท Bando company ในปี 1974 เป็นต้น
ถึงแม้จะมีการปราบปรามอย่างรุนแรงทั้งในสมัยนายพล Park สืบเนื่องถึงเผด็จการคนถัดมาคือนายพล Chun Doo-Hwan ก็ตาม แต่ขบวนการแรงงานไม่ได้หายไป พวกเขาแผ่วงกว้างและสร้างความร่วมมือกับขบวนการนักศึกษา-ขบวนการประชาธิปไตยมากขึ้นอีก
นับจากปี 1983-1987 การนัดหยุดงานและลั่นกลอนโรงงาน เพิ่มจาก 88 ครั้ง เป็น 3,617 ครั้ง จำนวนแรงงานที่เข้าไปมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์เพิ่มจาก 9,000 คน เป็น 935,000 คน และจำนวนวันที่สูญเสียไปจากการปะทะประท้วง (workdays lost) เพิ่มจาก 11,500 วัน เป็น 6,947,000 วัน
ด้วยการเคลื่อนไหวต่อรองทั้งด้านค่าครองชีพ (ควบคู่ไปกับประชาธิปไตย) ของแรงงานเกาหลีใต้นี้เอง ทำให้ อัตราการเติบโตของค่าจ้างที่แท้จริงเฉลี่ยสูงถึงราว 13.5% ในปี 1976-1980, มากกว่า 5% ในปี 1981-1985, และอยู่ระหว่าง 7.5-9.3% ในปี 1986-1990
แรงกดดันทั้งจากภายนอกและภายในนี้เองทำให้รัฐและทุนเกาหลีใต้ต้องปรับตัว การเคลื่อนไหวแรงงานและปรับตัวสูงขึ้นของค่าจ้าง ทำให้เศรษฐกิจเกาหลีใต้ไม่สามารถพึ่งพิงอุตสาหกรรมแรงงานเข้มข้นได้อีกต่อไป และเร่งพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรมทุนและเทคโนโลยีเข้มข้นในเวลาอันรวดเร็ว[8]
ประสบการณ์ของเกาหลีใต้ชี้ว่า การปรับตัวของรัฐและทุนไม่ใช่เกิดจากพระเจ้าทอยลูกเต๋าหรือความบังเอิญ แต่เกิดขึ้นได้จากแรงกดดันของแรงงานและภาคประชาสังคม ให้รัฐปรับตัวสู่รัฐพัฒนาและทุนขูดรีดแรงงานน้อยลง และหันไปสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านเทคโนโลยีมากขึ้น
4# ออกจากเสถียรภาพระยะสั้น…ก้าวแรกสู่การพัฒนาระยะยาว
ทุกท่านครับ,
เมื่อหันมาพิจารณาประเทศไทย ขบวนการแรงงานของไทยถูกกดทับมาโดยตลอดระหว่างปี 1958-1970 จำนวนการนัดหยุดงานไม่เคยสูงเกิน 20 ครั้งต่อปี น้อยกว่าในเกาหลีใต้ ไต้หวัน และเมืองอุตสาหกรรมของบราซิลอย่างมาก
การร่วมมือกับขบวนการนักศึกษาเรียกร้องประชาธิปไตยและปากท้องในระหว่าง 1973-1975 ทำให้แรงงานเคลื่อนไหวอย่างคึกคัก ทว่ารัฐบาลก็ปราบปรามอย่างรุนแรงในวันที่ 6 ตุลาคม 1976 (พ.ศ. 2519) และทำให้ขบวนการแรงงานไม่เคยฟื้นตัวกลับมาทรงพลังเท่าเดิมอีกเลย
โดยเฉพาะในช่วงหลังปี 1980-2000 ประเทศไทยเข้าสู่ยุคมุ่งเน้นผลิตอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก และมีการขยายตัวของ GDP อย่างมาก แรงงานที่ขาดพลังต่อรองจึงถูกกดค่าจ้างและได้ส่วนแบ่งน้อยจากการเติบโตดังกล่าว
งานศึกษาของ Fan และคณะชี้ว่า ระหว่างปี 1977 จนถึง 1993 ค่าจ้างที่แท้จริงของแรงงานนอกภาคเกษตรไทยปรับเพิ่มขึ้นน้อยมากเพียงปีละไม่ถึง 1% เท่านั้น (ในเกาหลีใต้ ต่ำสุดที่ 5% และสูงสุดถึง 16%) ด้วยสภาพเช่นนี้ พันธมิตรรัฐ-ทุนดั้งเดิม จึงมีแรงจูงใจต่ำที่จะปรับตัวให้หลุดไปจากระบบเศรษฐกิจแรงงานเข้มข้นและขูดรีด
และแล้วความเคลื่อนไหวก็ปรากฏ…
หลังปี 2000 พลังของแรงงาน นักศึกษา และภาคประชาสังคมไทยก่อตัวและขยับขยายมากขึ้น โดยเฉพาะหลังการรัฐประหารสองครั้งหลังสุดเป็นต้นมา การเรียกร้องประชาธิปไตยและเศรษฐกิจที่เท่าเทียมกัน-เท่าทันโลก ได้กลายเป็นแรงกดดันเพื่อการพัฒนา[9]
แน่นอนว่า เมื่อพลังทางสังคมเหล่านี้ปะทะกับพันธมิตรรัฐทุนดั้งเดิม ย่อมเกิดแรงกระเพื่อมทางการเมือง
แต่แทนที่จะมองพลังเคลื่อนไหวเหล่านี้เป็น ‘ความขาดเสถียรภาพ’ ผมขอเสนอว่า ในระยะยาวความขัดแย้งดังกล่าว คือแรงผลักสำคัญ ที่สร้างสำนึกร้อนรนให้แก่รัฐและทุน และส่งสัญญาณว่าพวกเขาจำเป็น “ที่จะต้องปรับตัวให้ก้าวหน้ามากขึ้น”
นัยนี้ การหลุดจากเสถียรภาพระยะสั้นคือก้าวแรกสู่การพัฒนาและการแสวงหาจุดดุลยภาพใหม่ที่ก้าวหน้ากว่าเดิมในระยะยาว
5# แค่อยากทำไม่เพียงพอ…แต่ต้องทำนโยบายอุตสาหกรรมให้เป็น[10]
ผู้อ่านทุกท่านครับ,
ผมเชื่อว่าสังคมไทยวันนี้มาถึงจุดที่เกิดแรงผลักรุนแรงพอจะให้เราหลุดจากดุลยภาพเดิมแล้ว
ณ ช่วงเวลานี้ การไม่ยอมเปลี่ยนแปลงจะมีต้นทุนสูงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้แม้แต่คนที่กลัวความเสี่ยงที่สุด ก็ยังต้องยอมเสี่ยงเพื่อจะก้าวไปข้างหน้า จนเกิดเป็นเจตนารมณ์ที่แห่งการพัฒนาขึ้น
แต่ลำพัง ‘เจตนารมณ์ที่จะพัฒนา’ นั้นไม่เพียงพอครับ เราต้องการ ‘วิธีทำ’ ด้วย
นักเศรษฐศาสตร์พัฒนาเรียกนโยบายที่จะช่วยปรับโครงสร้างเศรษฐกิจว่า ‘นโยบายอุตสาหกรรม’ โดยมีหัวใจอยู่ที่การยกระดับเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมดั้งเดิม (upgrading) การพัฒนาสินค้าใหม่และขยายไปสู่กลุ่มเทคโนโลยีเข้มข้น (diversification) และทำให้การผลิตถักทอเชื่อมต่อมูลค่าให้ไหลเวียนลึกขึ้นไปสู่ชุมชนและทุนขนาดเล็ก (deepening)
วิธีทำนโยบายอุตสาหกรรมนั้นมีรายละเอียดค่อนข้างมาก แต่พื้นฐานที่สำคัญคือ
ข้อแรก ระบุ ‘เป้าหมายที่ชัดเจน’ ทั้งในระดับสินค้าและตำแหน่งในห่วงโซ่การผลิต
ในระดับสินค้า การตั้งเป้าหมายสินค้าที่ชัดเจนจะทำให้บริษัทรู้ว่าอะไรคือเทคโนโลยีที่จำเป็น เห็นใบหน้าของบริษัทที่จะต้องส่งเสริม และรู้ถึงทักษะแรงงานที่ต้องพัฒนาให้เกิดความชำนาญ
กลับกัน การตั้งเป้าหมายเพียงอุตสาหกรรมกว้างๆ หรือการประกาศว่าจะพัฒนาทุกอุตสาหกรรมในกระแส ก็ไม่ต่างอะไรกับการไม่มีเป้าหมายครับ และจะทำให้ทรัพยากรที่มีจำกัดถูกกระจายออกไปจนกระทั่งเบาบาง และไม่ได้ช่วยกระตุ้นให้เกิดประโยชน์มากนัก
อีกประการหนึ่งที่ต้องการเป้าหมายชัดเจนคือ ‘ตำแหน่งในห่วงโซ่มูลค่า’
การวิจัยและพัฒนาในระดับต้นน้ำ การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตส่วนกลางน้ำ และการขายสินค้านวัตกรรมเข้มข้นที่ปลายน้ำไปถึงมือผู้บริโภคนั้น ล้วนต้องการนโยบายสนับสนุนแตกต่างกันมาก และการเลือกนโยบายที่เหมาะสมกับแต่ละกิจกรรมก็มีผลต่อความสำเร็จ
ตัวอย่างเช่น Sogo Shosha หรือ General Trading Company ที่ใช้ได้ดีในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ กลับไม่ประสบความสำเร็จนักในไต้หวัน เพราะไต้หวันเน้นค้าขายระหว่างภาคธุรกิจกลางน้ำ อีกตัวอย่างหนึ่งคือการทำ Tech consortium ช่วย SME เรียนรู้เทคโนโลยีใช้ได้ดีในไต้หวันมากกว่าเกาหลีใต้ เป็นต้น[11]
ข้อสอง มุมมองเปรียบเทียบกับ ‘คู่แข่งการค้าระหว่างประเทศ’ และไล่กวด (catch-up)
การพัฒนาอุตสาหกรรมนั้นจะสำเร็จหรือล้มเหลวไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวกลุ่มทุนของประเทศไทยเพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นผลลัพธ์ของการพัฒนาของทุนไทย เทียบกับคู่แข่งอื่นๆ ในตลาดโลก
ตัวอย่างเช่น ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะมีต้นทุนการผลิตลดลงได้ปีละ 1% แต่หากประเทศคู่แข่งในสินค้าเป้าหมายเดียวกันลดต้นทุนได้ 2% ประเทศไทยก็ยังคงมีความเสียเปรียบด้านต้นทุนอยู่นั่นเอง และผู้ซื้อยังคงซื้อสินค้าของประเทศที่เก่งกว่าเรา
นอกจากนี้ การเปรียบเทียบนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมรายสาขาก็มีความสำคัญ เพราะจะทำให้เราเห็นถึงทรัพยากรที่ลงทุนเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายจากทั้งฝั่งรัฐและเอกชน
เช่นในสมัยรัฐบาล Barack Obama มีการสนับสนุนเงินกู้เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ และพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าไปอย่างน้อย 750,000 ล้านบาท หากประเทศไทยจะพัฒนาสินค้าในกลุ่มเดียวกัน ต้องทบทวนว่าจะมีกลยุทธ์อย่างไรจึงจะแข่งขันกับเอกชนอเมริกันที่ได้รับการสนับสนุนมากระดับนี้ เป็นต้น
นัยนี้ การเปรียบเทียบกับคู่แข่งในตลาดโลก ทั้งขีดความสามารถของกลุ่มทุนและนโยบายภาครัฐจึงมีความสำคัญ
ข้อสาม มาตรการกระตุ้น ‘การเรียนรู้ของผู้ผลิต’
การที่รัฐเข้ามาสนับสนุนภาคเอกชนให้เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่นั้นเป็นเรื่องดี เพราะจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการผลิตและสร้างความแตกต่างให้แก่สินค้า แต่รัฐจะทราบได้อย่างไรว่า เอกชนที่รัฐเข้าไปสนับสนุน ‘กำลังเรียนรู้’?
รัฐพัฒนาแบบเครือข่ายในเอเชียตะวันออกมักใช้มาตรการ ‘แทรกแซงแบบมีการแข่งขัน’ (contest-based interventions) ครับ โดยมีองค์ประกอบคือ
1. รัฐต้องมีเกณฑ์การวัดที่แน่นอนเพื่อประเมินผลของการเรียนรู้ภาคเอกชน เช่น ระดับการส่งออกสินค้าเป้าหมาย (กรณีปลายน้ำ) และการจดทะเบียนอนุสิทธิบัตร-สิทธิบัตรในเทคโนโลยีเป้าหมาย (กรณีต้นน้ำ)
2. สนับสนุนผู้เล่นในจำนวนที่มากเพียงพอ มาแข่งขันกันเพื่อรับการสนับสนุน และ
3. แบ่งช่วงเวลาการประเมิน และการคัดบริษัทที่มีผลงานแย่ที่สุดออกในแต่ละช่วง เพื่อทำให้เอกชนผู้รับการสนับสนุนแต่ละรายต้องแข่งขันที่จะพัฒนาตัวเองตลอดเวลา เป็นต้น
ข้อสี่ มี ‘กลไกที่จะกระจายดอกผลจากการพัฒนา’ ให้เกิดความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำ
เมื่อรัฐใช้มาตรการและทรัพยากรสาธารณะเพื่อกระตุ้นให้ผู้ผลิตประสบความสำเร็จในการเรียนรู้ การยกระดับเทคโนโลยี การขยายตลาด ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์แก่เอกชนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย
ทว่า ประโยชน์ดังกล่าวจะกลายเป็นประโยชน์ของชาติ และยุติธรรมต่อการใช้ทรัพยากรสาธารณะ ก็ต่อเมื่อรัฐมีกลไกแบ่งปันความมั่งคั่งที่เกิดขึ้นให้กระจายออกไปสู่สังคมในวงกว้างเท่านั้น
กลไกนี้มีได้หลากหลายมาก เช่น การทำนโยบายอุตสาหกรรมที่มุ่งเป้าทุนขนาดกลางและขนาดย่อม ก็เป็นมาตรการหนึ่งที่ช่วยกระจายผลลัพธ์แห่งการพัฒนาตั้งแต่ต้น
ช่องทางที่สองคือการส่งผ่านความมั่งคั่งไปสู่แรงงาน โดยการปรับค่าจ้างขั้นต่ำให้สูงขึ้นในอัตราที่เหมาะสม ได้สัดส่วนกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ค่าจ้างแรงงานยังมีส่วนกระตุ้นให้เกิดการปรับโครงสร้างการผลิตไวมากขึ้น ดังที่ได้กล่าวไปแล้วในช่วงต้น
และสุดท้ายคือนโยบายภาษีและส่วนแบ่งผลกำไรอื่นๆ[12] ที่เก็บจากภาคธุรกิจซึ่งได้รับการสนับสนุน และการนำภาษีที่ได้กลับมาพัฒนาสวัสดิการสังคมและโครงสร้างพื้นฐาน เป็นต้น
6# เชื่อมต่อโลกอย่างมียุทธศาสตร์
ผู้อ่านทุกท่านครับ,
บทบาทของรัฐต่อการพัฒนานั้นไม่ใช่การบริหารจัดการภายในเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการวางยุทธศาสตร์เพื่อเชื่อมต่อประเทศไทยออกไปสู่โลกภายนอกด้วย
มีสามเรื่องที่เราต้องเชื่อมต่อเชิงกลยุทธ์คือ เชื่อมผู้มีความสามารถสูง (talents) เชื่อมห่วงโซ่มูลค่าโลก และยุทธศาสตร์ความร่วมมือระดับภูมิภาคอาเซียน
การเชื่อมต่อผู้มีความสามารถสูงในต่างประเทศ[13] มีความสำคัญเพราะการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด มาพร้อมกับการขาดแคลนกำลังคนและความเชี่ยวชาญเสมอ (หากไม่ขาด แปลว่ายังเปลี่ยนเร็วไม่มากพอครับ)
ตัวอย่างเช่น ไต้หวันในช่วงทศวรรษที่ 1980s ซึ่งปรับตัวเข้าอุตสาหกรรมสารกึ่งตัวนำก็ขาดแคลนวิศวกรและผู้ประกอบการที่เข้าใจอุตสาหกรรมอย่างมาก รัฐบาลจึงต้องเร่งรัดวางนโยบายดึงดูดกำลังคนจากภายนอกในเชิงรุก
สิ่งที่รัฐบาลทำคือเข้าไปสร้างสายสัมพันธ์กับสมาคมการค้าใน Silicon Valley สหรัฐอเมริกา และดึงกลุ่มวิศวกรชาวจีนกลับมาก่อตั้งบริษัท เช่น ดึงห้าเสือผู้ก่อตั้ง Microtek กลับมาไต้หวันจนเกิดเป็นอุตสาหกรรม Scanner และ ดึง Morris Chang กลับมาก่อตั้ง Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) จนเกิดเป็นอุตสาหกรรมผลิตชิป เป็นต้น
การเชื่อมต่อห่วงโซ่มูลค่าโลก[14] เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่มีความซับซ้อนและไม่ใช่เส้นทางตรงไปตรงมาครับ งานศึกษาของ Keun Lee ชี้ว่า รูปแบบการเชื่อมต่อห่วงโซ่มูลค่าที่เหมาะสมคือวัฏจักรแบบ ‘เพิ่ม-ลด-เพิ่ม’
หมายความว่า ในระยะแรก ประเทศที่กำลังพัฒนาไปสู่ระดับรายได้และเทคโนโลยีขั้นสูง ควรเริ่มจากการเชื่อมต่อตนเองไปในห่วงโซ่มูลค่าโลก โดยการผลิตให้แก่บรรษัทข้ามชาติ เพื่อเรียนรู้เทคโนโลยีและเครือข่ายการผลิต
เมื่อถึงจุดหนึ่งบริษัทท้องถิ่นมีศักยภาพสูงเพียงพอแล้ว จะเริ่มค่อยๆ ลดการเชื่อมต่อบรรษัทข้ามชาติลง และหันมาลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีจากศักยภาพของบริษัทท้องถิ่นเอง ในระยะนี้ ระดับการเชื่อมต่อห่วงโซ่มูลค่าโลกจะลดลง
แต่เมื่อบริษัทท้องถิ่นสามารถพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองได้แล้ว ก็จะเริ่มค่อยๆ เพิ่มระดับการเชื่อมโยงเข้าสู่ห่วงโซ่มูลค่าโลกอีกครั้ง เพียงแต่ในครั้งนี้ บริษัทท้องถิ่นของคนไทยเองจะกลายเป็นบรรษัทข้ามชาติ และกลายเป็นศูนย์กลางของมูลค่าที่สร้างขึ้น
นโยบายของรัฐจึงต้องปรับตัวตามพลวัตที่ซับซ้อนไม่เป็นเส้นตรงนี้ให้ทัน ซึ่งเป็นเรื่องท้าทายและไม่ง่ายนัก การทำนโยบายเพื่อบริหารห่วงโซ่มูลค่าในระดับโลกจึงต้องการรัฐขีดความสามารถสูง หรือรัฐพัฒนาแบบเครือข่ายดังที่ได้กล่าวไปแล้วในตอนต้นครับ
ประการสุดท้ายคือการเชื่อมต่อในภูมิภาคอาเซียน หรือผมเรียกว่า ‘ยุทธศาสตร์ห่านบินโต้ลม’
7# บินเป็นฝูงด้วยยุทธศาสตร์ห่านบินโต้ลม
ผู้อ่านทุกท่านครับ,
ยุทธศาสตร์ห่านบินโต้ลม มีข้อเสนอสี่ประการหลัก ได้แก่
ข้อแรก ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคอาเซียนควรร่วมมือกัน ‘ลึกซึ้ง’ กว่าแค่การลดกำแพงทางการค้าการลงทุน แต่ควรร่วมมือกันเพื่อจัดการเครือข่ายการผลิต และแบ่งชนิดสินค้าทางยุทธศาสตร์ (agreed specialization) ระหว่างกันอย่างเป็นระบบ
ข้อสอง ประเทศไทยควรพิจารณาว่า อุตสาหกรรมใดของไทยมีความสามารถทางการผลิตสูง มีเทคโนโลยีที่ดี แต่เริ่มสูญเสียความได้เปรียบด้านต้นทุน (โดยเฉพาะต้นทุนแรงงานและทรัพยากร) ภายในประเทศ
เมื่อพบแล้วจึงทำแผนการส่งเสริมทุนไทยในอุตสาหกรรมเหล่านั้น ย้ายฐานการผลิตไปสู่ประเทศที่มีระดับเทคโนโลยีต่ำกว่าในภูมิภาค เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีและสร้างงานให้แก่ประเทศพันธมิตร ขณะเดียวกันก็ดำรงความสามารถทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมเหล่านั้นในระยะยาว
มูลค่าที่เกิดขึ้นจะยังนับเป็นการเติบโตทางเศรษฐกิจของ ‘สัญชาติไทย’ (วัดโดย gross national product – GNP) และขณะเดียวกันก็จะช่วยส่งเสริมถ่ายทอดอุตสาหกรรมดังกล่าวไปสร้างให้เกิดเป็นมูลค่าการผลิตสินค้าภายในประเทศ (วัดจาก gross domestic products – GDP) ของชาติอื่น ๆ ในภูมิภาคด้วย
ตามข้อเสนอนี้ ประเทศไทยจึงมีลักษณะเหมือน ‘ห่านหัวขบวน’ ที่นำห่านตัวอื่นๆ ในภูมิภาคให้พัฒนาอุตสาหกรรมซึ่งไทยมีความชำนาญตามมาเป็นลำดับ และหากมีประเทศอื่นๆ ดำเนินยุทธศาสตร์ทำนองเดียวกัน ก็จะทำให้เกิดขบวนห่านบินในอุตสาหกรรมต่างๆ มากมาย และเกิดการเชื่อมต่อช่วยเหลือกันในภูมิภาคมากยิ่งขึ้น
ข้อสาม ภาคการผลิตภายในประเทศไทยเองต้องถูกท้าทายให้ปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจค่าจ้างสูง และเทคโนโลยีขั้นสูงมากขึ้น โดยการใช้นโยบายอุตสาหกรรมและกลยุทธ์การเชื่อมต่อห่วงโซ่มูลค่าโลก (ดังที่กล่าวไปแล้วด้านบน) อย่างเข้มข้น
ข้อสี่ ในกระบวนการทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ย่อมเกิดผู้ได้และเสียประโยชน์จากการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ และก่อให้เกิดความขัดแย้งทั้งภายในและระหว่างประเทศ การกดทับความขัดแย้งหรือ ไม่ใช่ทางออก ผู้ทำนโยบายต้องโอบรับความขัดแย้ง และหาทางประนีประนอมหรือชดเชยอย่างยุติธรรม เพื่อมุ่งให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสำเร็จเป็นสำคัญ
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ คือการใช้เคล็ดวิชาทวนทิศ ย้อนรอยสิ่งที่ญี่ปุ่นทำกับภูมิภาคอุษาคเนย์ของเรา เพียงแต่เราไม่ใช่ ‘ห่านผู้บินตาม’ ญี่ปุ่นอีกต่อไป แต่อาเซียนจะแบ่งปันตลาด และก้าวขึ้นมาเป็นห่านหัวขบวนในแต่ละอุตสาหกรรมด้วยประเทศสมาชิกอาเซียนเอง
‘ยุทธศาสตร์ห่านบิน’ นี้ยังโต้แรงลมแห่งยุคสมัย ในความหมายว่าไทยและอาเซียนจะไม่ถูกพัดพาไปบนความขัดแย้งระหว่างชาติมหาอำนาจ ที่พยายามจะแทรกแซงเข้ามาในภูมิภาค
ตั้งหลักใหม่… เศรษฐกิจไทยต้องไม่เหมือนเดิม
ผู้อ่านทุกท่านครับ,
ไม่ใช่เรื่องยากที่จะพิสูจน์ว่า “ประเทศไทยเผชิญความท้าทายจากรอบด้าน และเราจำเป็นต้องเร่งปรับตัว” สิ่งที่ยากคือ เราจะหาทิศทางการพัฒนาที่เห็นพ้องกันได้อย่างไร?
ผมเชื่อสนิทใจว่า ฝ่ายต่างๆ มีสำนึกร้อนรนที่จะปรับตัวแล้ว แต่ที่ยังไม่ลงรอยกันคือ ‘พิมพ์เขียวของการพัฒนา’ ในระยะถัดไปต่างหาก
ชุดบทความ Dancing with Leviathan ในปี 2021 ที่ผ่านมา พยายามเสนอทิศทางหรือประเด็นสำคัญเอาไว้เป็นหลักยึด โดยมีรายละเอียดที่จะต้องทำต่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ในปี 2022 นี้คอลัมน์จะเน้นให้รายละเอียดที่ลึกขึ้นในระดับ ‘เครื่องมือ’ และเติมเต็มประเด็นที่ยังมีน้ำหนักไม่มากพอในปีที่ผ่านมา อาทิ การพัฒนาระดับพื้นที่ การพัฒนาอุตสาหกรรมเฉพาะด้าน หรือการพัฒนาระบบสวัสดิการสังคม
หากเราตั้งหลักใหม่ให้แก่ประเทศไทยได้ ยังไม่สายเกินไปที่เศรษฐกิจไทยจะโบยบินอีกครั้งหนึ่งครับ
ขอส่งความสุข ความหวัง มาถึงผู้อ่านทุกท่านครับ
[1] https://www.the101.world/middle-tech-trap/
[2] https://www.youtube.com/watch?v=j8u55GA-1mo
[3] https://www.the101.world/one-crisis-multiple-ways/
[4] https://www.the101.world/the-celtic-tiger/ และ https://www.the101.world/us-indus-policy-21st-century/
[5] https://www.the101.world/leviathan-mammon-dancing/
[6] หน่วยงานที่มีอิทธิพลอย่างมากที่จะกำกับดูแลสายสัมพันธ์ตรงนี้ คือคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า, หน่วยงานกำกับดูแลรายสาขา, คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน, สื่อสารมวลชนที่ทำหน้าที่สืบสวนสอบสวน, การตรวจสอบกันเองระหว่างกลุ่มทุน และหน่วยงานภาคประชาสังคม
[7] https://www.the101.world/awaking-sleeping-partner/
[8] ความเคลื่อนไหวของแรงงานและภาคประชาสังคม ที่กดดันให้รัฐและทุนปรับตัวนี้ยังปรากฏในกรณีของไต้หวัน (ด้วยวิธีประนีประนอม และใช้กลไกทางการเมือง) และบราซิล (รูปแบบผสมผสานทั้งการประท้วงต่อต้าน และการประนีประนอมฝ่ายการเมือง) ในช่วง 1970-1980 เช่นกัน
[9] แรงกดดันจากภายนอก เช่นการก้าวขึ้นมามีบทบาททางเศรษฐกิจมากขึ้นของจีน (ซึ่งมีเทคโนโลยีสูงกว่า) และเวียดนาม (ซึ่งมีค่าจ้างถูกกว่า) ทำให้ประเทศไทยต้องเร่งปรับตัวเช่นกัน
[10] https://www.the101.world/jumping-tiger/
[11] https://www.the101.world/three-jumping-tigers/
ไต้หวันในยุคไล่กวดเน้นสร้างเทคโนโลยีกลางน้ำ โดยเล่นบทบาทผู้ผลิตและออกแบบสินค้าให้แก่เจ้าของตราสินค้าปลายน้ำทั่วโลก (Original Design Manufacturer – ODM) ทำให้ธรรมชาติของบริษัททำธุรกิจแบบ B2B และมีต้นทุนด้านการตลาดน้อย เหมาะกับทุน SME ที่เน้นพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตอย่างสม่ำเสมอ
กลับกัน เกาหลีใต้วางยุทธศาสตร์ที่จะสร้างตราสินค้าเกาหลีใต้ตั้งแต่ต้นน้ำถึงส่วนปลายน้ำ ทำให้ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต และเพื่อสร้างเครือข่ายกระจายสินค้า-การตลาดในระดับโลกพร้อมกันตั้งแต่ระยะแรก บริษัทที่สอดรับกับรูปแบบการพัฒนาเช่นนี้คือทุนขนาดใหญ่-แชโบล
[12] เช่น รัฐสามารถรับส่วนแบ่งผลกำไรของภาคธุรกิจผ่านการเข้าไปถือหุ้นบางส่วนผ่านกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (แบบสิงคโปร์), ใช้รัฐวิสาหกิจดำเนินกิจการบางด้าน (แบบสิงคโปร์ ไต้หวัน และบราซิล) หรือ การปันส่วนกำไรจากทรัพย์สินทางปัญญาที่รัฐให้การสนับสนุน (ตามข้อเสนอของ Mariana Mazzucato) เป็นต้น
[13] https://www.the101.world/silicon-valley-monte-jade/
[14] https://www.the101.world/empire-invitation-gvc/