วจนา วรรลยางกูร เรื่อง
ภาพิมล หล่อตระกูล ภาพประกอบ
บ่ายวันที่ 12 มีนาคม 2562 แดดจัดอากาศร้อนอบอ้าว การได้หลบไอร้อนในสถานทูตเนเธอร์แลนด์อันแสนร่มรื่นที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ นับว่าน่ารื่นรมย์ไม่น้อย เว้นแต่วาระที่ทำให้นักข่าวและคนทำงานในแวดวงสิทธิมนุษยชนมารวมตัวกันแน่นขนัดนั้น เป็นบรรยากาศที่ออกจะน่าเศร้าใจ
12 มีนาคม 2547 เป็นวันที่ทนายสมชาย นีละไพจิตร หายตัวไปและไม่กลับบ้านอีกเลย ผ่านมา 15 ปี ทุกคนมารวมตัวกันเพื่อรำลึกถึงการจากไปของทนายสมชายและเหยื่ออุ้มหายทุกคน ในวันที่หลายครอบครัวยังไม่ได้รับความจริงกลับคืนมา
ตลอดห้วงเวลาในอาชีพนักข่าวที่ผ่านมา หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ฉันจะเอาความรู้สึกไปผูกกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้และสิ่งที่เกิดขึ้นกับบ้านเมืองของเรา เมื่อประเด็นเรื่องคนถูกอุ้มหายเป็นเรื่องที่ฉันติดตามมาตั้งแต่เริ่มงานนักข่าว
ฉันติดตามทำข่าวนี้ด้วยเหตุจากความหวาดหวั่น กลัวว่าคนในครอบครัวจะกลายเป็นเหยื่อจากการแสดงออกทางการเมือง กลัวว่าตัวเองก็มีโอกาสถูกทำให้หายไป กลัวว่าใครก็ได้สามารถถูกอุ้มหายโดยรัฐแล้วจะไม่มีการเอาผิดคนทำ การเลือกยืนอยู่ข้างเหยื่อจากความรุนแรงโดยรัฐจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เมื่อครอบครัวเหยื่อถูกปล่อยให้โดดเดี่ยวในกระบวนการยุติธรรม
ฉันติดตามข่าวนี้ด้วยความหวังว่าอยากอยู่ในสังคมที่ดีขึ้น มีหลักประกันว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะไม่ใช้การอุ้มหายเป็นเครื่องมือในการกำจัดคนเห็นต่างอีก หวังอยากให้ครอบครัวผู้สูญหายทุกบ้านได้รับความจริงและการเยียวยา การเกิดขึ้นของกระบวนการร่างกฎหมายป้องกันการทรมานและการอุ้มหายในปี 2557 จึงเป็นความหวังทั้งกับครอบครัวเหยื่อและตัวฉันเอง ในฐานะประชาชนที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครองจากกฎหมายนี้ด้วย
แม้ว่าจะเป็นกฎหมายที่เขียนขึ้นในช่วงรัฐบาลทหารที่ตัวเลขกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนพุ่งสูง และถึงแม้หลายปีที่ผ่านมาจะมีการเตะถ่วง โหวตคว่ำร่าง ดึงมาตราที่สำคัญออกจนเปิดช่องให้มีการละเมิดได้ แต่ก็เป็นแสงความหวังอันริบหรี่ให้ครอบครัวเหยื่อมีอะไรจับต้องได้จากความว่างเปล่า
แต่เมื่อวันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา กฎหมายฉบับนี้ถูกถอดออกจากวาระการพิจารณาของ สนช. โดยไม่ทราบสาเหตุ และน่าจะเป็นสัญญาณให้เห็นแล้วว่าเส้นทางหลายปีที่ผ่านมาของกฎหมายฉบับนี้กลายเป็นสิ่งไร้ค่า เมื่อเหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วัน ก่อนที่ สนช. จะหยุดพิจารณากฎหมายก่อนการเลือกตั้งหนึ่งสัปดาห์

“การเขียนกฎหมายนี้เหมือนเป็นการเขียนด้วยความกลัว หวาดระแวงว่ากฎหมายนี้อาจมุ่งเอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐและขัดขวางการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ กฎหมายนี้จึงมุ่งปกป้องเจ้าหน้าที่มากกว่าจะปกป้องคุ้มครองสิทธิของประชาชน” เป็นสิ่งที่ทำให้ อังคณา นีละไพจิตร ภรรยาของสมชาย หวังจะสานต่อกฎหมายนี้ในรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
15 ปีที่ผ่านมา อังคณาและครอบครัวถูกพรากคนรักด้วยการอุ้มหาย เป็นช่วงเวลา 15 ปี ที่อังคณาเดินทางไปทุกที่ที่คิดว่าจะมีหลักฐานถึงการเสียชีวิตของสามี พร้อมๆ กับการตามหาความยุติธรรมที่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่เจอ
“นับแต่วันแรกที่สมชายหายตัวไป ดิฉันตามไปทุกที่ แสดงให้เห็นว่าดิฉันใส่ใจและติดตามเรื่องนี้อย่างจริงจัง ดิฉันไปทุกที่ที่เชื่อว่ามีการฆ่าและทำลายศพ ไม่ว่าจะเป็นที่ทำลายวัตถุระเบิดในค่ายทหาร สถานที่ทิ้งขยะในแม่น้ำ ดิฉันไปศาลทุกวันที่มีการพิจารณาคดี นั่งเผชิญหน้าตำรวจห้าคนที่เป็นจำเลยในช่วง 5 เดือนของการพิจารณาคดีในศาล มีหลักฐานว่ามีการนำเศษชิ้นส่วนกระดูกของสมชายหลังถูกเผาในถังน้ำมันไปทิ้งแม่น้ำแม่กลอง แต่หลังค้นหาและตรวจพิสูจน์ก็พบว่าไม่ใช่สมชาย เป็นกระดูกใครไม่ทราบ อาจเป็นคนที่ถูกทำให้หายไปโดยที่ไม่มีการพิสูจน์ว่าคนเหล่านั้นเป็นใคร
“น่าเสียใจว่าหลังจากสมชาย เรายังเห็นเหยื่อบังคับสูญหายในไทยอีก เชื่อว่าทุกสิ่งที่ดิฉันทำใน 15 ปีที่ผ่านมาจะทำให้คนรุ่นใหม่เห็นความสำคัญ เห็นคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุกคน อยากเห็นคนรุ่นใหม่ออกมาทวงถามรัฐว่าเราจะไม่เห็นการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมอีกต่อไป”
เป็นคำกล่าวส่วนหนึ่งของอังคณาต่อหน้าครอบครัวเหยื่อคนอื่นๆ ที่มาร่วมงาน
ฉันไล่สายตาไปยังคนที่นั่งแถวหน้าและกำลังฟังอังคณาอย่างตั้งใจ อดิศร โพธิ์อ่าน ลูกชายทนง โพธิ์อ่าน ผู้นำแรงงาน ซุยเม็ง เอิง ภรรยาสมบัด สมพอน นักเคลื่อนไหวทางสังคมชาวลาว พิณนภา พฤกษาพรรณ ภรรยา บิลลี่ พอละจี รักจงเจริญ นักสิทธิมนุษยชนชาวกะเหรี่ยง จนมาถึง ‘ป้าน้อย’ ปราณี ด่านวัฒนานุสรณ์ ภรรยาสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์

ฉันไม่คิดว่าจะได้เจอป้าน้อยในงานนี้ ไม่มีใครอยากปรากฏตัวในฐานะครอบครัวเหยื่อ ไม่มีใครอยากจากคนที่รัก โดยเฉพาะด้วยวิธีการเหี้ยมโหดผิดมนุษย์ แต่โลกก็หยิบยื่นประสบการณ์เลวร้ายเกินคาดเดามาให้โดยที่เราไม่มีทางปฏิเสธ
เดือนเมษายนนี้จะครบรอบ 22 ปีชีวิตแต่งงานของป้าน้อยกับสุรชัย แต่ฝ่ายชายถูกบังคับให้จากไปก่อนได้ฉลองครบรอบแต่งงาน
ฉันคิดว่าเป็นความล้มเหลวโดยสิ้นเชิงที่พวกเราไม่สามารถหยุดความเลวร้ายที่กระทำโดยเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้ หลังจาก 15 ปีการจากไปของทนายสมชายก็ยังมีคนถูกอุ้มหายอีกเรื่อยๆ นอกจาก 82 กรณีที่สหประชาชาติบันทึกไว้แล้ว เราไม่สามารถคลี่คลายอาชญากรรมนี้ได้ แต่กลับเพิ่มจำนวนคนถูกอุ้มหายให้มากขึ้นอีก เช่นที่ป้าน้อยต้องมานั่งในงานรำลึกในฐานะครอบครัวผู้ถูกอุ้มหายจากการหายตัวไปของสามีเมื่อ 3 เดือนก่อน

หนึ่งในคำกล่าวของครอบครัวเหยื่อที่ฉันอยากถ่ายทอดต่อ คือสิ่งที่ ‘ซุยเม็ง เอิง’ ภรรยาของสมบัด สมพอน พูดกับ อังคณา นีละไพจิตร ในฐานะภรรยาที่สามีถูกบังคับให้สูญหายและยังไม่ได้รับความยุติธรรมเช่นเดียวกัน
“ฉันจะไม่พูดเรื่องสมบัดนักเพราะเคยพูดมาหลายครั้งแล้ว วันนี้ครบรอบ 15 ปีการหายตัวไปของคุณสมชาย ฉันขอยืนหยัดร่วมกับครอบครัวนีละไพจิตรในการต่อสู้โดยไม่ท้อถอย เพื่อให้ความจริงและความยุติธรรมแก่คุณสมชาย ฉันจะร่วมยืนหยัดในความเจ็บปวดที่ไม่ควรมีภรรยา ลูกสาว หรือลูกชายคนใดควรประสบจากการที่คนที่เรารักถูกดึงออกจากอ้อมอกไป ฉันจะยืนหยัดในความเป็นหนึ่งเดียวกับความเจ็บปวดและความโกรธแค้นจากการลอยนวลพ้นผิดที่เกิดจากกระบวนการอยุติธรรม แม้ว่าเราจะมีหลักฐานมากมาย แต่ยังมีช่องว่างที่ทำให้ผู้อยู่เบื้องหลังลอยนวลได้
“ในฐานะภรรยาของเหยื่อที่ถูกบังคับให้สูญหาย ฉันเข้าใจว่าคุณต้องผ่านอะไรมา เพราะฉันก็ต้องผ่านความเจ็บปวดเช่นเดียวกัน นอกจากความเจ็บปวดที่ต้องเจอมา 15 ปี คุณได้แสดงให้ประชาชนคนไทยรู้ว่าคุณจะไม่ยอมแพ้ 15 ปีที่ผ่านมาคุณอังคณากลายเป็นสัญลักษณ์การต่อสู้กับความอยุติธรรมในการบังคับให้สูญหาย และเป็นเสียงให้เหยื่อคนอื่นๆ
“คุณยังเคยยื่นมือมาหาฉันเมื่อสมบัดหายไปในปี 2012 ช่วงที่ฉันกำลังเศร้าและสิ้นหวังอย่างมาก ฉันไม่รู้ว่าจะทำยังไง ไม่รู้จะหันไปหาใคร ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะอะไร คุณมาหาฉันและทำให้รู้สึกว่าปลอดภัยมากขึ้น เพียงแค่นั่งข้างๆ และกุมมือฉันไว้
“วันนี้เมื่อฉันได้เจอป้าน้อย ลูกชายทนง ภรรยาบิลลี่ ฉันโกรธเมื่อเห็นความอยุติธรรมที่เกิดขึ้น ฉันโมโหที่อาชญากรรมของรัฐถูกปล่อยให้ลอยนวลและดำเนินต่อไปได้ในประเทศของเรา เราคือประชาชนธรรมดาที่คาดหวังให้รัฐบาลและหน่วยงานรัฐสนับสนุนและปกป้องเรา ไม่ใช่กลายมาเป็นฝ่ายตรงข้ามกับเรา แต่เราถูกทำให้รู้สึกซ้ำๆ ว่าเป็นอาชญากร และทำให้รู้สึกว่าบุคคลที่รักของเราที่สูญหายไป เป็นบุคคลที่อยู่ตรงข้ามกฎหมาย
“ลองมาดูกันว่า คนในครอบครัวที่เรารักที่หายไป เขาทำอะไร เขาละเมิดกฎหมายอะไร ‘สมชาย นีละจิตร’ เป็นทนายเพื่อสิทธิมนุษยชนที่มีชื่อเสียง เขาช่วยเหลือด้านกฎหมายให้มุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เขารณรงค์ต่อต้านหน่วยงานรัฐให้ยุติการทรมาน และเขาถูกทำให้สูญหาย ‘สมบัด สมพอน’ เป็นผู้นำชุมชนที่ได้รับการเคารพนับถืออย่างมาก เป็นคนที่รณรงค์อย่างแข็งขันเพื่อคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและสิทธิที่ดินเพื่อคนยากจนในลาว ‘บิลลี่ พอละจี รักจงเจริญ’ เป็นนักกิจกรรมชาวกะเหรี่ยงที่ทุกคนรู้จัก เขาต่อสู้เพื่อสิทธิชนกลุ่มน้อยชาวกะเหรี่ยงให้มีสิทธิและเข้าถึงที่ดินในผืนป่าที่บรรพบุรุษของเขาอยู่มายาวนาน รวมถึงต่อสู้เพื่อทรัพยากรสิ่งแวดล้อม
“คนพวกนี้เป็นอาชญากรอย่างนั้นหรือ พวกเขาเป็นเพียงคนธรรมดาที่สนใจสังคม และลุกขึ้นมาปกป้องคนที่ไม่มีเสียงในสังคมเรา นั่นคืออาชญากรรมและความอยุติธรรมของการบังคับให้สูญหาย เป็นเหตุผลที่ฉันและครอบครัวของบุคคลที่ถูกบังคับให้สูญหายต้องสู้ เพื่อให้เสียงเราได้ยิน เพื่อให้ความจริงและความยุติธรรมแก่คนที่เรารัก
“15 ปีแล้วที่สมชายหายไป 15 ปีแล้วที่อังคณาสู้เพื่อความยุติธรรมและความจริง ถึงเวลาแล้วที่ต้องมอบความยุติธรรมและความจริงให้สมชาย นีละไพจิตร กับครอบครัวของเขา และยุติสิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวผู้ถูกบังคับให้สูญหายอื่นๆ”
สิ่งที่ซุยเม็งพูด เข้าเกาะกุมความรู้สึกของฉันและยิ่งยืนยันถึงความจำเป็นที่คนอื่นๆ จะต้องร่วมยืนข้างครอบครัวเหยื่อ เพื่อให้ได้คืนความจริงและความยุติธรรมแก่คนที่พวกเขารัก
ก่อนทุกคนจะแยกย้าย ประทับจิต นีละไพจิตร ลูกสาวสมชาย กล่าวส่งทุกคนกลับบ้านพร้อมรอยยิ้ม
“หวังว่าเราจะได้ฟังเพลงรื่นเริงและเฉลิมฉลองกันบ้าง ในวันที่ทุกครอบครัวของผู้สูญหายได้รับความจริงและความยุติธรรม”