บทความชวนดูงานศิลปะและนวัตกรรมจากโลกที่หนึ่ง ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีให้สังคมและชีวิตคน ผ่านสายตานักออกแบบมัลติมีเดียจากโลกที่สามในนามกลุ่ม Eyedropper Fill
Eyedropper Fill เรื่อง
กำแพงบ้านร้างแห่งหนึ่งในนิวส์ออร์ลีนส์เดิมเป็นเพียงพื้นที่ให้วัยรุ่นแถบนั้นแวะเวียนมาพ่นกราฟิตี้ พรมฉี่ และสบถผ่านสีสเปรย์ แต่วันหนึ่งในปี 2011 ศิลปินชื่อ Candy Chang เปลี่ยนกำแพงให้กลายเป็นกระดานดำ พ่นตัวอักษรสีขาวเป็นประโยคเรียบง่าย ทิ้งเอาไว้ให้คนเติมคำในช่องว่างว่า Before I die I want to_____________
Crowdsourced Art คือรูปแบบศิลปะที่ ‘เปิด’ ให้คนทั่วไปเข้ามาระดมความคิด ออกไอเดีย โยนความเห็น หรือแม้แต่ร่วมทำ ก่อนที่ศิลปินจะนำสิ่งเหล่านี้มาเป็นวัตถุดิบในการสร้างสรรค์ผลงาน และหลายครั้งวัตถุดิบเหล่านั้นก็กลายเป็นงานศิลปะด้วยตัวมันเอง โดยศิลปินอาจไม่ต้องลงมือทำอะไรเพิ่ม
เช่นเดียวกับโปรเจ็กต์ Before I Die ศิลปิน Candy Chang ทำหน้าที่เป็นเพียง ‘สะเก็ดไฟ’ จุดคำถามและประเด็นที่น่าสนใจโยนเข้าไปกลางวง ก่อนจะปล่อยให้พลังความคิดของมหาชนโหมแรงไฟและสวยงามด้วยตัวมันเอง งานศิลปะรูปแบบนี้ทำหน้าที่เป็น ‘พื้นที่’ รองรับความคิดของคน คล้ายกับเส้น “_____” ที่ผ่านไปไม่นานชาวบ้านในละแวกบ้านร้างหลังนั้น (และผู้คนทั่วโลก หลังโปรเจ็กต์ถูกนำไปทำในประเทศต่างๆ ในเวลาต่อมา) ก็ช่วยกันเติมคำตอบจนล้นช่อง ว่าก่อนตายพวกเขาปรารถนาที่จะทำอะไร
ในกระบวนการ Crowdsourced Art หรือเรียกง่ายๆ คือ ‘ศิลปะที่รวบรวมวัตถุดิบจากทางบ้าน’ เราจะได้เห็นความคิดผ่าน Perspective หลากหลายจากคนที่มีความแตกต่าง ในงานศิลปะทั่วไปเราอาจได้เห็นความคิดผ่านมุมมองแว่นตาของศิลปินเพียงคนเดียว แต่กับ Crowdsourced Art เราอาจได้เห็นความคิดของคุณป้านักบัญชี หรือเด็กผู้ชายอายุแปดขวบในงานด้วย
Learning to Love You More ศิลปิน Miranda July และ Harrell Fletcher เลือกสร้างสรรค์งานศิลปะชิ้นนี้โดยใช้วิธีการ Crowdsourcing ด้วยการ ‘ให้การบ้าน’ มวลชน โจทย์มีตั้งแต่เรียบง่ายใกล้ตัวอย่าง ‘ถ่ายใต้เตียงตัวเองแบบเปิดแฟลช’ ‘ถ่ายรูปพ่อแม่ของคุณจูบกัน’ ‘แต่งเพลงที่เศร้าที่สุดในชีวิต’ ไปจนถึง ‘สร้างสัญลักษณ์ประท้วงและออกไปประท้วง’ หรือ ‘เขียนอธิบายการเมืองในฝัน’ หลังมวลชนผู้เลือกรับโจทย์ไหนก็ได้จากทางเว็บไซต์ส่งการบ้านกลับมาให้ ศิลปินจึงนำผลงานเหล่านั้นไปรวบรวมเป็นหนังสือชื่อเดียวกับโปรเจ็กต์
http://learningtoloveyoumore.com
บางคนอาจมองว่า Crowdsourced Art คือวิธีการทำงานศิลปะแบบคนขี้เกียจ แต่อย่าลืมว่าการทำงานศิลปะรูปแบบนี้ก็ใช่จะง่าย เพราะศิลปินต้องตั้งโจทย์ที่น่าสนใจ สำคัญ หรือเชื่อมโยงกับคนมากพอให้คนตอบรับ ตามด้วยการจัดการวัตถุดิบจำนวนมหาศาล แถมต้องยอมรับความเสี่ยงหากสุดท้ายไม่มีใครเอาด้วยเลย นอกจากนี้ มันคือแบบฝึกหัดที่ดีให้ศิลปินได้ลองลดบทบาทของตัวเอง เปิดตากว้างขึ้น และเชื่อในพลังการสร้างสรรค์ที่มาจากคนอื่นๆ
นอกจากกระบวนการ Crowdsourcing จะเกิดขึ้นในโลกจริงอย่างกำแพง Before I Die หรือ Learning to Love You More ยังสามารถเกิดขึ้นในโลกออนไลน์ ในยุคที่อินเทอร์เน็ตเป็นศูนย์กลางของคนทั่วทุกมุมโลก การใช้อินเทอร์เน็ตเป็นแพลตฟอร์มของกระบวนการ ยิ่งทำให้เกิดผลลัพธ์ที่น่าสนใจได้อีกมหาศาล
The Johnny Cash Project เล่นกับความทรงอิทธิพลและความทรงจำของผู้คนที่มีต่อศิลปินอย่าง Johnny Cash ด้วยมิวสิกวิดีโอที่เปิดให้ทุกคนเป็นผู้ร่วมสร้าง โดยเข้าไปที่เว็บไซต์ของโปรเจ็กต์และเลือกวาดภาพคนละเฟรม จากนั้นภาพทั้งหมดจึงถูกนำมาประกอบกันเป็นเอนิเมชัน และกลายเป็นมิวสิกวิดีโอที่ถูกสร้างโดยแฟน Johnny Cash ทั่วโลก
ไอเดีย Crowdsourced art ที่ให้คนบนโลกอินเทอร์เน็ตมีส่วนร่วม ยังมีรูปแบบสนุก ตลก และมีส่วนร่วมได้ง่ายๆ ด้วย มิวสิกวิดีโอ Kilo โดย Light Light เปิดให้คนเข้าชมผ่านเว็บไซต์ แต่ละซีนของเอ็มวีจะชวนให้ผู้ชมเลื่อนเมาส์ไปยังจุดต่างๆ ของหน้าจอ เช่น ให้เลือกว่าคุณเป็นเพศหญิงหรือชายโดยการนำเมาส์ไปชี้ที่ไอคอน ให้คุณเลื่อนเมาส์ไปยังประเทศที่อยากไปบนแผนที่โลก ไปจนถึงคำสั่งต่างๆ อย่าง ‘อยู่ภายในวงกลมสีเขียว’
ตลอดการรับชม (และเล่น) เว็บไซต์จะบันทึกภาพตัวชี้เมาส์ของแต่ละคนเอาไว้บนหน้าจอมิวสิกวิดีโอ เมื่อคนทยอยเข้ามาชมมากขึ้น ก็จะยิ่งได้เห็นตัวชี้เมาส์ที่เป็นเสมือนตัวแทนของคนที่เคยเข้ามาดูก่อนหน้าอยู่ในมิวสิกวิดีโอมากขึ้นตามไปด้วย
นอกจากเราจะสนุกกับการดูและเล่น เรายังได้เห็น ‘เรื่องราว’ ของคนดูคนอื่นๆ ที่เข้ามาก่อนหน้าบันทึกไว้ในเอ็มวีด้วย เช่น เราจะเห็นตัวชี้เมาส์ที่เลือกชี้เมาส์ตรงกลางระหว่างสัญลักษณ์หญิงชาย หรือเราจะเห็นตัวชี้เมาส์ที่ไม่เคยทำตามคำสั่งเอาซะเลย
และเมื่อมาถึงยุคที่ฝ่ามือกับสมาร์ทโฟนแทบจะกลายเป็นสิ่งเดียวกัน ก็เกิดงานศิลปะ Crowdsourced art รูปแบบใหม่ๆ ที่ผสานคนในโลกออนไลน์และคนในโลกออฟไลน์ ที่ยืนอยู่บนพื้นที่จริง เข้าด้วยกัน เช่นโปรเจ็กต์ที่ชื่อว่า Sculpture Cam ที่กลุ่มนักออกแบบ Studio Moniker สร้างสรรค์ให้กับสวนสาธารณะ Yorkshire Sculpture park
นักท่องเที่ยวที่เข้าไปชมประติมากรรมในสวนแห่งนี้ สามารถเข้าเว็บไซต์ sculpture.cam จากโทรศัพท์มือถือ เมื่อเข้าไปจะพบกับกรอบปริศนา รูปทรงประหลาด พร้อมข้อความว่า Find the matching sculpture ! หน้าที่ของเราคือตามหาว่ากรอบที่ขึ้นอยู่บนหน้าจอคือมุมไหนของประติมากรรมชิ้นไหนในสวนแห่งนี้ เมื่อเจอแล้วสามารถกดถ่ายภาพ ภาพแต่ละมุมของประติมากรรมแต่ละชิ้นจากคนแต่ละคน จะถูกนำไปประกอบเป็นภาพสามมิติของประติมากรรมชิ้นนั้น แบ่งให้ผู้คนในอีกซีกโลกที่ไม่ได้เข้าชมสวนแบบตัวเป็นๆ ได้เห็นประติมากรรมแบบสามมิติ มองได้รอบด้าน
กระบวนการ Crowdsourcing ทำให้คนดูกลายเป็นผู้สร้างงานประติมากรรมอีกชิ้นบนโลกออนไลน์ ที่เจ๋งคือมันเป็นประติมากรรมที่ถูกประกอบจากต่างช่วงเวลา ต่างสภาพอากาศ แถมบางมุมมีภาพคนไปยืนคู่ด้วย !
กระเถิบใกล้ตัวเข้ามาหน่อย โปรเจ็กต์ศิลปะในบ้านเราที่ใช้กระบวนการ Crowdsourcing ก็มีไม่น้อย ที่ทุกคนน่าจะเคยผ่านตาคงเป็น นิทรรศการ Second Hand Dialogue โดยผู้กำกับ เต๋อ – นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ที่เปลี่ยนให้ Bangkok Citycity Gallery กลายเป็น ‘ศูนย์รับบริจาคบทสนทนา’ ผู้คนที่แวะเวียนเข้ามาสามารถโทรหาใครก็ได้ในนิทรรศการ โดยบทสนทนาของตัวและคู่สายจะถูกบันทึก และถูกนำไปจัดแสดงภายในแกลอรี่ ทั้งในรูปแบบเสียงและข้อความที่ถูกถอดเทป รวมถึงบทสนทนาทั้งหมดยังถูกรวบรวมไว้ในรูปแบบหนังสือ หลังนิทรรศการจบลงอีกด้วย
แทนที่จะเข้ามาแกลอรี่เพื่อชมงานศิลปะที่ศิลปินเป็นผู้สร้าง กลับกลายเป็นว่าผู้ชมเป็นฝ่ายมอบเรื่องราวของตัวเองให้ศิลปินสร้างกลายเป็นนิทรรศการศิลปะ นี่แหละ คือ Crowdsourced Art
จะว่าไปกระบวนการศิลปะรูปแบบนี้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบัน – ยุคสมัยที่เราสามารถแชร์ โต้ตอบความรู้สึก แสดงความคิดเห็นกันผ่านแพลตฟอร์มใหญ่ที่ชื่อ social media ที่เอื้อให้เกิดกระบวนการเจ๋งๆ อีกมากมาย เราจะเห็นว่าเพจฮาๆ บางเพจเปิดให้คนแต่งเรื่อง แปลงเนื้อเพลงต่อกันผ่านช่องคอมเมนต์ บางเพจเปิดให้คนหยิบภาพไปตัดต่อตามไอเดียของตัวเองแล้วส่งกลับมาประชันกัน ฯลฯ แม้จะดูเป็นแค่ไอเดียขำๆ แต่หากศิลปินและนักออกแบบจับไปต่อยอดกลายเป็นงาน เราคงได้เห็นงานศิลปะที่น่าสนใจอีกเต็มไปหมด
Crowdsourced art คือรูปแบบศิลปะที่ท้าทายศิลปินนักออกแบบและท้าทายในมุมของผู้ชมงานศิลปะ สำหรับศิลปิน เราอาจเคยชินกับการฟังแต่เพียง ‘เสียง’ ของตัวเอง และเปล่งเสียงของเราผ่านงานศิลปะ กระบวนการนี้ท้าทายให้เราได้ลองหรี่เสียงของตัวเองลง และกางหูให้กว้างขึ้นเพื่อรับฟังเสียงอื่นๆ ที่เราอาจไม่เคยฟัง
สำหรับผู้ชม เราอาจคุ้นเคยกับการชมงานศิลปะด้วยการยืนเงียบๆ เพื่อฟังเสียงที่ศิลปินส่งมา เมื่อถูกกระบวนการ Crowdsourcing ท้าทายให้เราต้องมีส่วนร่วมเป็น ‘ผู้สร้างสรรค์’ จึงเป็นโอกาสให้เราได้ย้อนกลับไปฟัง ‘เสียง’ ข้างในตัว
และในวินาทีนั้น เราอาจพบเสียงแห่งความคิดสร้างสรรค์ชั้นดีจากข้างใน ที่ไม่เคยถูกค้นพบมาก่อนก็เป็นได้