ถ้ามีใครถามว่าตอนนี้เป้าหมายในเชิงยุทธศาสตร์ภายในที่สำคัญที่สุดของจีนคืออะไร ต้องตอบว่าไม่ใช่ตัวเลขจีดีพีอีกต่อไปแล้วครับ แต่เป็นเป้าหมายว่า ในปี 2060 จีนจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จนบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ให้สำเร็จให้ได้
เป้าหมายนี้เป็นวาระแห่งชาติ ส่งผลให้ดัชนีเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดของจีนในแผนพัฒนาฉบับใหม่กลายมาเป็น ‘เป้าหมายแข็ง’ คือทุกภาคส่วนต้องทำให้ได้ตามที่ตั้งไว้ ห้ามพลาดเป้าเด็ดขาด
นี่เป็นเรื่องระดับยุทธศาสตร์ เพราะมองจากมุมของจีน การพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดเป็นเสมือนยิงนัดเดียวได้นกหลายตัวพร้อมกัน เพราะกำหนดทั้งอนาคตเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และความมั่นคงของชาติ
ลองมามองภาพระยะยาวกันดูครับว่า หากรัฐบาลจีนสามารถบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ได้ในปี 2060 ตามที่ประกาศ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับมหึมาอะไรบ้าง
หนึ่ง การขยายตัวของอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดจากเดิมหลายสิบเท่าตัว มีการประเมินว่า เพื่อบรรลุเป้าหมายในปี 2060 ภายในช่วง 40 ปี ต่อจากนี้ กำลังการผลิตจากพลังงานนิวเคลียร์ของจีนจะเพิ่มขึ้น 5 เท่า จากพลังงานลมจะเพิ่มขึ้น 12 เท่า จากพลังงานแสงอาทิตย์จะเพิ่มขึ้น 70 เท่า ดังนั้น ศักยภาพในการเติบโตของอุตสาหกรรมเหล่านี้ของจีนจึงมีมหาศาล
สอง จะทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่านยุคสมัยของอุตสาหกรรมรถยนต์ รถยนต์น้ำมันจะกลายเป็นเหมือนรถม้าในอดีต ยุคสมัยของรถยนต์พลังงานไฟฟ้ากำลังจะมาถึงอย่างรวดเร็ว จีนตั้งเป้าในระยะสั้นว่าภายในปี 2030 ยอดขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าต้องคิดเป็นร้อยละ 40 ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในจีน อุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานไฟฟ้าจะทำให้เกิดห่วงโซ่การผลิตใหม่ทั้งหมดในอุตสาหกรรมรถยนต์โลก
สาม สิ่งแวดล้อมของจีนจะได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น ทั้งจากการปลูกป่าเพื่อดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งจีนตั้งเป้าหมายว่าพื้นที่ป่าต้องคิดเป็นร้อยละ 26 จากพื้นที่ทั้งประเทศ การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดยังจะช่วยเรื่องคุณภาพอากาศในเมืองใหญ่ของจีนด้วย
สี่ ภูมิศาสตร์เศรษฐกิจภายในของจีนจะมีการเปลี่ยนแปลง ภาคกลางและภาคตะวันตกซึ่งเป็นพื้นที่ตอนในของจีนจะเป็นแหล่งผลิตพลังงานสะอาดที่สำคัญ และจะเพิ่มความสำคัญขึ้นในทางเศรษฐกิจ เปลี่ยนแปลงจากเดิมที่ความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจมักกระจุกอยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกและพื้นที่ติดชายฝั่งทะเล การพัฒนาอุตสาหกรรมพลังสะอาดจึงมีผลช่วยลดความเหลื่อมล้ำระหว่างภูมิภาค
ห้า จีนจะมีความมั่นคงด้านพลังงาน สามารถลดการพึ่งพาพลังงานจากภายนอก ลดความเสี่ยงในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ไม่ต้องกลัวว่าถ้าหากสหรัฐฯ เอาเรือรบมาปิดช่องแคบมะละกา จีนจะเกิดวิกฤตพลังงานทันที เพราะไม่สามารถขนส่งพลังงานจากภายนอกเข้าจีนได้
ในยุคพลังงานถ่านหินและน้ำมัน พลังงานเป็นเรื่องของทรัพยากร แต่ในยุคพลังงานสะอาด พลังงานกลายมาเป็นเรื่องความสามารถของอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีการผลิต กล่าวคือ ศักยภาพด้านพลังงานสะอาดไม่ได้อยู่ที่ปริมาณลมหรือแสงอาทิตย์ เพราะที่ไหนก็มี แต่อยู่ที่ความสามารถทางอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีในการแปลงลมและแสงอาทิตย์เป็นพลังงาน
ความสามารถในการผลิตและเรื่องต้นทุนนับเป็นจุดแข็งของจีน ในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดก็เช่นเดียวกัน ตัวอย่างเช่น มีหลากหลายวิธีที่จะลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มอายุการใช้งานของแบตเตอรีพลังงานแสงอาทิตย์ ลดต้นทุนการผลิตแบตเตอรี เพิ่มศักยภาพความจุของแบตเตอรี ไปจนถึงการทำระบบการใช้พลังงานแบบสมาร์ต ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อช่วยประหยัดการใช้พลังงาน จะเห็นว่าหัวใจอยู่ที่การปรับปรุงเทคนิคในกระบวนการผลิตในแต่ละขั้นตอน
เทคนิคในการผลิตเหล่านี้ รวมทั้งผลิตภัณฑ์เช่นแผงโซลาเซลล์และแบตเตอรี จีนสามารถส่งออกไปขายทั่วโลก ยิ่งรัฐบาลจีนสามารถขยายขนาดของอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด พร้อมยกระดับเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ต้นทุนการผลิตก็จะยิ่งถูกลง เมื่อต้นทุนถูก ก็จะยิ่งสามารถเข้ายึดครองส่วนแบ่งการตลาดโลกได้มากขึ้น ซึ่งก็จะทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economy of Scale) ส่งผลให้ต้นทุนยิ่งถูกลงอีก เป็นวงจรต่อเนื่องไป ดังจะเห็นตัวอย่างจากอุตสาหกรรมโซลาเซลล์ในปัจจุบันที่ในบรรดาบริษัทใหญ่ 20 อันดับแรก ถึงร้อยละ 80 เป็นบริษัทจีน
ยุคถ่านหินทำให้เกิดมหาอำนาจอย่างอังกฤษ ยุคน้ำมันทำให้เกิดมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ยุคพลังงานสะอาดจะเป็นโอกาสของมหาอำนาจจีนหรือไม่ บัดนี้ จีนได้เปิดไพ่ใบใหม่ออกเล่นอย่างเต็มตัวในเกมเดิมพันเจ้าพลังงานแห่งอนาคต