ขวัญข้าว คงเดชา เรื่อง
‘Touchdown confirmed’
ต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา (2021) เสียงประกาศในห้องควบคุมบ่งบอกถึงความสำเร็จของภารกิจ Mars 2020 หรือภารกิจวางรากฐานเพื่อพัฒนาความเป็นไปได้ในการย้ายถิ่นของมนุษย์โลกไปยังดาวอังคาร
การลงจอดบนพื้นที่นอกโลกอีกครั้งนำไปสู่คำถามและภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก (dilemma) ในทุกมิติ ไม่ว่าจะทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม หรือแม้แต่ภูมิศาสตร์ เพราะมันคือการขยับขยายขอบเขตพื้นที่ของมนุษย์ไปสู่นอกโลก (extra-terrestrial) ฉะนั้น ปฏิบัติการหรือภารกิจที่ออกไปสำรวจนอกโลกจะไม่จบเพียงแค่ความสำเร็จในการนำยานลงจอดหรือนำตัวอย่างจากนอกโลกกลับมาทดสอบอีกต่อไป แต่ยังเป็นการสร้างการเมืองการอวกาศ หรือที่เรียกกันว่าอวกาศรัฐศาสตร์ (astropolitics) อีกด้วย
ต่างจากภาพจำที่หลายคนมี อวกาศคือประเด็นล้ำสมัย ก้าวหน้า เต็มไปด้วยนวัตกรรม และเป็นภาพจำของศาสตร์บริสุทธิ์หรือศาสตร์แข็ง (Pure Science/Hard Science) แต่นอกจากจะเป็นเรื่องลึกลับที่เต็มไปด้วยคำถามแล้ว อวกาศยังเป็นเรื่องของคนกลุ่มน้อยที่มีศักยภาพพอจะเข้าใจศาสตร์แขนงที่เกี่ยวข้องอีกด้วย ฉะนั้นแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจเท่าไรหากพบว่าประชาชนส่วนมากมองว่าอวกาศเป็นเรื่องไกลตัว หรือเป็นเรื่องที่ไม่อาจทำความเข้าใจได้อย่างง่ายดายนัก
ทว่าความสนใจเรื่องอวกาศไม่ได้จำกัดไว้เพียงแค่ในสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่ในแวดวงสังคมศาสตร์ โดยเฉพาะแวดวงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศก็ให้ความสนใจต่อพื้นที่นอกโลกเช่นเดียวกัน กล่าวได้ว่า ศาสตร์สายอ่อน (Soft Science) กำลังกลับเข้ามามีอิทธิพลสำคัญต่อประเด็นอวกาศจนไม่อาจเพิกเฉยได้ เพราะหากเมื่อย้อนกลับไป จุดเริ่มต้นของโครงการอวกาศในโลกก็เกิดขึ้นได้จากเหตุผลทางการเมืองและการช่วงชิงอำนาจในเวทีโลก
Space Race: สมรภูมิรบแห่งใหม่
ย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปี ในใจความของคำว่า ‘อวกาศ’ มีความหมายของการแข่งขันทางการเมืองซ่อนอยู่
การแข่งขันทางอวกาศ (Space Race) เกิดขึ้นอย่างไม่เป็นทางการเท่าไรนักในช่วงสงครามเย็น ในช่วงเวลาดังกล่าว โลกถูกแบ่งออกเป็นสองขั้วด้วยอุดมการณ์ทางการเมือง ทั้งค่ายเสรีและค่ายคอมมิวนิสต์ต่างแย่งชิงพื้นที่ความเป็นที่หนึ่งในหลายๆ มิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง ความเชื่อ การทหาร หรือแม้แต่นวัตกรรมในการพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์และเทคโนโลยีจนก่อให้เกิดการแข่งขันขับเขี้ยวกันระหว่าง 2 มหาอำนาจสหรัฐฯ และสหภาพโซเวียต อย่างการสะสมอาวุธนิวเคลียร์และการแข่งขันทางอวกาศ
ในห้วงแรกของการแข่งขัน สหภาพโซเวียตก้าวนำสหรัฐฯ ในประวัติศาสตร์การแข่งขันทางอวกาศไปก่อนก้าวหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการส่งดาวเทียม Sputnik 1 หรือยาน Luna 2 ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่มนุษย์ประสบความสำเร็จในการส่งวัตถุออกไปนอกโลก และที่สำคัญวัตถุดังกล่าวคือดาวเทียมโคจรรอบโลกที่มีความสามารถในการยิงขีปนาวุธใส่สหรัฐฯ
การออกไปสู่ห้วงอวกาศครั้งดังกล่าวมีแรงผลักดันสำคัญจากความได้เปรียบทางการทหารเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการทำลายหรือการหาข่าวด้วยการดักจับสัญญาณ สหรัฐฯ จึงไม่อาจจะนิ่งนอนใจได้ เร่งพัฒนาโครงการและนวัตกรรมของตนเองสู้เพื่อส่งดาวเทียมออกไปนอกโลกบ้าง พร้อมกับขยายขอบเขตการแข่งขันไปถึงดวงจันทร์ ท้ายที่สุด สหรัฐฯ ประสบความสำเร็จในการส่งมนุษย์ไปยังดวงจันทร์ได้ก่อนสหภาพโซเวียต ดังที่คุ้นเคยกันในภารกิจ Apollo 11 และแล้วภารกิจดังกล่าวก็คว้าชัยชนะมาให้แก่สหรัฐฯ ในการแข่งขันทางอวกาศยุคสงครามเย็น
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อวกาศจึงกลายมาเป็นทั้งพื้นที่และจุดมุ่งหมายของสมรภูมิรบใหม่
แต่หลังสงครามเย็นสิ้นสุด พลวัตการแข่งขันทางอวกาศเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ในขณะที่จุดประสงค์ของการแข่งขันทางอวกาศในช่วงสงครามเย็นคือ (1) เพื่อแสดงศักยภาพทางกำลัง ความเจริญ และความพัฒนาของสองประเทศมหาอำนาจ และ (2) เพื่อความได้เปรียบทางการทหารอันมีปัจจัยสำคัญมาจากความขัดแย้ง แต่ในปัจจุบัน จุดประสงค์ของการแข่งขันทางอวกาศขยายเพิ่มอีก 1 อย่าง อันได้แก่ เศรษฐกิจ ธุรกิจและผลประโยชน์ที่ได้มาจากประเด็นที่เกี่ยวข้องกับอวกาศด้วยเช่นกัน
พลวัตการเมืองอวกาศในปัจจุบัน
ความเปลี่ยนแปลงจากหลังสงครามเย็นสิ้นสุดไม่ได้ทำให้จุดประสงค์เดิมของการแข่งขันทางอวกาศถูกแทนที่ด้วยจุดประสงค์ใหม่ ทว่ามันถูกแปลงโฉมให้มีรูปแบบที่อ่อนลง (subtle) หรือกระทำโดยมีเหตุผลบังหน้าว่าเป็นไปเพื่อการพัฒนาทางนวัตกรรมและวิทยาศาสตร์อันจะเป็นประโยชน์สาธารณะของมนุษย์ทุกคน
การแข่งขันที่คล้ายสมัยสงครามเย็นยังคงดำเนินต่อไปและดูเหมือนจะดุเดือดกว่าที่ผ่านมา ตัวผู้เล่นก็มีการเปลี่ยนหน้า บทบาทของรัสเซียถูกแทนที่ด้วยสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นประเทศที่สองในโลกที่ประสบความสำเร็จในการนำธงชาติของตนเองขึ้นไปปักบนดวงจันทร์ และประเทศที่สามที่สามารถนำหินดวงจันทร์กลับมายังโลก ยิ่งไปกว่านั้น การแข่งขันทางอวกาศถูกแบ่งขั้วอีกครั้ง โดยในครั้งนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่สองมหาอำนาจขับเขี้ยวช่วงชิงความเป็นหนึ่งทางอวกาศเท่านั้น แต่รัฐชาติอื่นๆ ยังสามารถเลือกที่จะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในโครงการสำรวจอวกาศของสหรัฐฯ ผ่านโครงการ Artemis ของ NASA หรือเลือกที่จะสานสัมพันธ์กับประเทศจีนก็ได้
ณ ขณะนี้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอวกาศกลายเป็นประเด็นการเมืองระหว่างประเทศและสัญลักษณ์ของการถ่วงดุลอำนาจในเวทีโลกมากยิ่งขึ้น ความเจริญทางวิทยาศาสตร์ที่มากพอจะก้าวไปสู่พื้นที่อวกาศกลายเป็นเครื่องชี้วัดถึงความเป็นประเทศพัฒนา หรือแม้กระทั่งการก้าวสู่ความเป็นมหาอำนาจ สำหรับจีน การที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดดจนสามารถไปปักธงชาติบนดวงจันทร์ได้สำเร็จอย่างที่สหรัฐฯ เคยทำได้นั้น นับได้ว่าเป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์สำคัญทางการเมืองระหว่างประเทศบนฐานของแนวคิดทฤษฏีเสถียรภาพของอำนาจนำ (Hegemony stability theory)
ในขณะเดียวกัน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีก็กลายเป็นประเด็นการเมืองภายในได้เช่นกัน อย่างกรณีจีน รัฐบาลคอมมิวนิสต์ใช้ความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์และอวกาศเพื่อสร้างความรักชาติ โดยบอกกับประชาชนว่า บาดแผลเก่าจากสมัยที่ยังเป็นประเทศกำลังพัฒนาได้รับการรักษาแล้ว และตอนนี้ประเทศของพวกเขามีหน้ามีตาเทียบเท่าโลกตะวันตก ทั้งหมดนี้ เป็นไปเพื่อประสิทธิภาพในการปกครองของรัฐบาลคอมมิวนิสต์จีน
เช่นเดียวกัน สหรัฐฯ ก็ใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางอวกาศเพื่อหวังผลการเมืองในประเทศ อย่างการที่ประธานาธิบดีไบเดนทวิตแสดงความยินดีต่อความสำเร็จของโครงการ Mars 2020 ว่า “เป็นการพิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งถึงพลังของวิทยาศาสตร์และสหรัฐฯ ว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้” นั้น ยิ่งตอกย้ำทั้งภาพลักษณ์ แนวนโยบาย และสถานภาพของสหรัฐฯ ในเวทีโลกของไบเดนที่ต่างไปจากสมัยทรัมป์
Congratulations to NASA and everyone whose hard work made Perseverance’s historic landing possible. Today proved once again that with the power of science and American ingenuity, nothing is beyond the realm of possibility. pic.twitter.com/NzSxW6nw4k
— President Biden (@POTUS) February 18, 2021
ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าสหรัฐฯ ภายใต้การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ถูกโจมตีจากท่าทีที่ถอยออกห่างจากวิทยาศาสตร์ ตั้งแต่การปฏิเสธภาวะโลกร้อนไปจนถึงข่าวตัดงบประมาณสนับสนุน NASA ในขณะที่ไบเดนให้ความสำคัญต่อวิทยาศาสตร์อวกาศอย่างเห็นได้ชัดถึงขั้นขอยืมก้อนหินดวงจันทร์จากภารกิจ Apollo 17 ของ NASA ไปตกแต่งห้องทำงานรูปไข่ในทำเนียบขาว
ทวิตดังกล่าวยังสะท้อนความต้องการของรัฐบาลไบเดนที่จะผลักดันให้สหรัฐฯ กลับมารับบทบาทสำคัญในเวทีโลกหรือเป็นผู้นำทางด้านนวัตกรรมวิทยาศาสตร์ดังเดิม อีกทั้งยังวางท่าทีที่พร้อมต่อกรและถ่วงดุลอำนาจกับจีนที่กำลังเร่งพัฒนาศักยภาพด้านอวกาศของตนเอง ฉะนั้น ภารกิจการลงจอดของ Mars 2020 หลังการเข้ารับตำแหน่งของโจ ไบเดน จึงไม่ใช่เพียงแค่ความก้าวหน้าทางอวกาศ แต่มียังความสำคัญทางการเมืองแอบแฝงอยู่ด้วย
จากภูมิรัฐศาสตร์สู่การเมืองอวกาศ
หากมองจากมุมทฤษฎี การศึกษาอวกาศรัฐศาสตร์มีลักษณะคล้ายคลึงกับการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กล่าวโดยย่อ หัวใจสำคัญและความเป็นไปได้ของความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยต่างๆ บนพื้นที่อวกาศมีอยู่สองประการคือ การร่วมมือและการบีบบังคับ (cooperation or coercion)
คล้ายคลึงกับการเมืองโลก การเมืองอวกาศก็มีหลากหลายมิติและหลายลำดับชั้นเช่นกัน โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ระดับ คือระดับนอกโลกและระดับในโลก
หากกล่าวถึงการเมืองอวกาศระดับนอกโลก เราอาจอนุมานสภาวะไร้รัฐได้ว่าเป็นความสัมพันธ์ระหว่างดวงดาว (Planetary Relations) ระหว่างดาวโลกและดาวอื่นที่ไม่ใช่โลก และหากอนุมานว่านอกโลกมีสิ่งมีชีวิตอื่นที่มีระบบการดำรงอยู่และการปกครองคล้ายโลก อีกโจทย์สำคัญที่ต้องตอบคือ มนุษย์โลกจะมีความสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตอื่นอย่างไร
ส่วนการเมืองอวกาศระดับในโลกนั้นหมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐในประเด็นที่เกี่ยวพันอวกาศ อาทิเช่น Space Race ระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพโซเวียตสมัยสงครามเย็น หรือการเมืองเรื่องสถานีอวกาศนานาชาติ ฯลฯ โดยการเมืองอวกาศระดับในโลกมองได้ทั้งจากมุมภูมิศาสตร์การเมือง (political geography) ที่ว่าด้วยการแบ่งดินแดนอาณาเขตด้วยกระบวนการทางการเมือง และภูมิรัฐศาสตร์ (geopolitics) ที่ว่าด้วยอำนาจและอิทธิพลทางการเมืองที่ถูกขับเคลื่อนโดยพื้นที่ทางภูมิศาสตร์
แม้ว่าในปัจจุบันความขัดแย้งทางเขตแดนจะลดลงมากจากในอดีตเพราะความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการแบ่งเขตแดนและการยอมรับเส้นแบ่งเขตแดนและอาณาเขตของรัฐในโลก แต่ในอีกมุมหนึ่ง เมื่อพื้นที่บนโลกมีจำกัดและไม่เหลือดินแดนใดให้ขยายอำนาจต่อ ก็อาจกล่าวได้ว่าพลังของภูมิรัฐศาสตร์ถูกกำจัดด้วยพื้นที่ในโลก การขยับขยายการเมืองไปสู่พื้นที่อวกาศจึงนำไปสู่ทั้งการซ้อนทับและการก้าวข้ามจากภูมิรัฐศาสตร์ไปสู่อวกาศรัฐศาสตร์
ฉะนั้นแล้ว การเมืองอวกาศอาจแบ่งแยกย่อยออกมาได้เช่นเดียวกัน คือ (1) อวกาศรัฐศาสตร์ (astropolitics) ที่มุ่งทำการศึกษาเรื่องกฎหมายอวกาศ องค์กร ขอบเขตการดำเนินกิจกรรม การแบ่งพื้นที่ ทรัพยากร หรือโครงสร้างอื่นๆ ในขณะที่ (2) อวกาศการเมือง (political astronomy) ศึกษาอิทธิพลจากปัจจัยเกี่ยวกับอวกาศที่ส่งผลต่อการต่อสู้ทางการเมืองหรือทิศทางนโยบายอวกาศของแต่ละรัฐบนโลก
หากสามารถส่งมนุษย์ขึ้นไปอาศัยในอวกาศได้จริงในอนาคต แน่นอนว่าคำถามพื้นฐานที่สุดของอวกาศรัฐศาสตร์ต้องตอบคือ ใครหรือรัฐไหนจะเป็นเจ้าของพื้นที่ใหม่? ใครจะเป็นเจ้าผู้รับผิดชอบอาณาเขต? หรือว่าจะตั้งรัฐชาติใหม่บนดาวดวงอื่น? ท่ามกลางข้อถกเถียง บางฝ่ายก็ว่าให้หันไปใช้กฎเก่า ใครปักธงได้คนแรกย่อมมีสิทธิเหนือพื้นที่นั้น ในขณะที่อีกฝ่ายแย้งว่าอวกาศควรเป็นพื้นที่เหมือนน่านน้ำเสรีที่ให้แก่ประชาชนชาวโลกทุกคน
หากเป็นอย่างหลัง ก็มีคำถามตามมาอีกว่า ประชากรทุกคนย่อมมีสิทธิในทรัพยากรนั้นหรือไม่? แล้วจะจัดการแบ่งสรรอย่างไร ประเทศโลกที่หนึ่งจะเข้าถึงได้ก่อนหรือจะเป็นประเทศโลกที่สาม? บุคคลประเภทไหนจะได้เข้าถึงพื้นที่อวกาศหรือได้ไปอยู่อาศัยบนอวกาศก่อน? นำมาซึ่งปัญหาอีกประการคือ อะไรที่จะมาเป็นมาตรฐานกฎระเบียบ และใครจะมาเป็นผู้กำหนดกฎเกฑณ์ดังกล่าวพวกนั้น เพียงแค่คำถามสองข้อก็นำมาซึ่งความขัดแย้งบนโลกที่โต้เถียงกันได้ไม่สิ้นสุด
ทั้งนี้ ทั้งหมดตั้งอยู่บนพื้นฐานที่เรากำลังอนุมานว่าจะมีการปกครองอวกาศด้วยระบบรัฐชาติเหมือนกับโลก หากไม่ แล้วจะต้องทำอย่างไรต่อ ต้องสร้างการปกครองแบบใหม่จากพื้นฐานที่มีอยู่ในโลกหรือไม่? เช่นอาจการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของ UN เพื่อให้มีอำนาจเหมือนรัฐบาลโลกซึ่งต้องได้รับการยินยอมจาก 195 ประเทศทั่วโลก หรืออวกาศจะต้องมีการปกครองแบบใด? สมควรจะมีหรือไม่? หรือแม้กระทั่งมนุษย์โลกอย่างเราอาจต้องถามว่า เรามีสิทธิในการปกครองหรือครอบครองพื้นที่อวกาศหรือไม่?
โลกพยายามถกเถียงและตกผลึกคำตอบต่อคำถามดังกล่าวมาตั้งแต่ยุคสมัยแรกที่มีความพยายามเดินทางไปยันอวกาศ ในปี 1967 ความพยายามของนานาชาติได้นำไปสู่การออก Outer Space Treaty ร่วมกันภายใต้ UNOOSA ใจความหลักของสนธิสัญญาคือ ทุกประเทศมีสิทธิในการสำรวจและศึกษาเพื่อพลประโยชน์ของมวลมนุษย์โลก นักอวกาศทุกคนถือเป็นทูตหรือตัวแทนจากโลก และที่สำคัญที่สุก อวกาศต้องไม่ตกเป็นของใคร อวกาศไม่ใช่สถานทีที่รัฐชาติไหนจะสามารถถือครอบครองเป็นของตนเองหรือภายใต้อธิปไตยของตนเองได้ จะกล่าวว่า Outer Space Treaty เป็นกฎหมายอวกาศนานาชาติ (International Space law) ฉบับแรกๆ ของโลกก็ว่าได้
จะเห็นได้ว่าการจัดการการเมืองบนอวกาศอวกาศอาศัยการจัดตั้งกฎหมายจากโลกครอบคลุมไปถึงอวกาศที่มนุษย์ยังไม่สามารถครอบครองหรือแม้แต่ศึกษาได้อย่างครบถ้วน แม้แต่การแบ่งเขตพื้นที่ระหว่างโลกและอวกาศยังจัดทำขึ้นผ่านเส้น Karman Line ซึ่งเป็นการนำระบบความคิด การปกครอง และดำรงอยู่ของมนุษย์ไปใช้กับพื้นที่ใหม่นอกโลก
ทั้งนี้ ไม่มีทางที่สภาวะดังกล่าวจะไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นภายในโลก แม้จะมีข้อตกลงและองค์การระหว่างประเทศอย่าง UNOOSA ควบคุมอยู่ แต่หลายเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็แสดงให้เห็นอย่างแจ่มชัดว่าว่าองค์การระหว่างประเทศไม่ได้หลุดพ้นจากอิทธิพลทางการเมืองและการถ่วงดุลระหว่างเหล่ามหาอำนาจทั้งหลายเลย
นอกจากนี้ บทเรียนจากโลกยังนำไปสู่ข้อสงสัยในการวางกฎเกณฑ์บนอวกาศ ในการเมืองระหว่างประเทศบนพื้นโลก กรณีที่รัฐตัดสินใจไม่ลงนามในสนธิสัญญานั้นจะทำให้รัฐไม่มีพันธกรณีผูกมัดต่อสนธิสัญญา อย่างกรณีเมียนมาร์ที่ไม่ได้มีการลงนามในธรรมนูญกรุงโรม (Rome Statute) ที่นำไปสู่การจัดตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) นั้น ก็ไม่ต้องมีพันธกรณีผูกพันในการขึ้นศาล แม้ว่าจะมีอีกวิธีที่จะสามารถนำพม่าขึ้นศาลได้ผ่านมติ UNSC ทว่าการเมืองภายใน UNSC เองก็ทำให้การลงมติเอกฉันท์เป็นไปไม่ได้ พอเป็นกรณีการเมืองอวกาศ Outer Space Treaty ที่มีเพียง 110 ประเทศที่ลงนาม และมีเพียงแค่ 89 ประเทศที่ให้สัตยาบัน จากบทเรียนดังกล่าว เราเห็นได้ถึงข้อจำกัดทางกฎหมายและองค์กรระหว่างประเทศ ฉะนั้น คำถามที่ตามมาคือ ประเทศที่เหลือยังไม่มีพันธะหรือต้องรับผลตามกฎหมายเหมือนอย่างสนธิสัญญาอื่นๆ หรือไม่?
การเปิดพื้นที่ใหม่ในอวกาศจึงนำมาซึ่งคำถามมากมาย ช่องโหว่ที่ต้องการการศึกษาต่อเพื่อเติมเต็ม และสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่จบสิ้น
อวกาศกับความเป็นมนุษย์
ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการออกสำรวจอวกาศ จนมาถึง ณ วันนี้ การเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับประเด็นอวกาศไม่มากก็น้อย และเพราะความเป็นการเมืองนี้เอง ประเด็นต่างๆ ว่าด้วยอวกาศจึงมีความย้อนแย้งสูง
ในปัจจุบัน เราเห็นความพยายามที่จะตัดภาพจำว่าอวกาศเท่ากับการเมืองและแทนที่ด้วยการผูกอวกาศไว้กับความเป็นวิทยาศาสตร์และความก้าวหน้าเพื่อสาธารณสุขของนานาชาติ สร้างความเข้าใจว่าอวกาศคือพื้นที่ส่วนรวม รวมทั้งการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอวกาศย่อมเป็นไปเพื่อสาธารณะและผลประโยชน์ของมวลมนุษย์ชาติโดยรวม
หากแต่เมื่อมองลึกลงไป หลายรัฐ โดยเฉพาะรัฐที่มีอำนาจและศักยภาพมากพอต้องเผชิญกับสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะบอกทำเพื่อมวลมนุษย์ชนทุกประเทศของโลกก็กล่าวได้ไม่เต็มปากนัก ยามเมื่อกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับอวกาศ นับตั้งแต่การจัดจ้างเครื่องมืออะไหล่ ไปจนถึงการเดินทางออกไปปักธงบนดวงดาวอื่น แท้จริงแล้วก็คือเรื่องของอำนาจและผลประโยชน์แห่งชาติ
ทั้งนี้ การเมืองอวกาศเป็นเรื่องที่ผูกติดกับโลกเป็นสำคัญจนอาจเรียกได้ว่ามีโลกเป็นศูนย์กลาง เพราะไม่ใช่เพียงแค่เราพยายามจะส่งออกความเป็นมนุษย์ออกไปยังอวกาศ แต่ยังเป็นการดึงเรื่องอวกาศให้กลับมาสู่โลก คล้ายกับการแพร่ขยายทั้งอาณานิคมของมนุษย์และขอบเขตความเป็นมนุษย์ไปยังพื้นที่อื่น ไม่ใช่เพียงแค่การออกไปสำรวจอย่างเดียว
ท้ายที่สุด อวกาศอันเป็นสถานที่นอกโลกที่เต็มไปด้วยความลับและความไม่รู้มากมายที่รอให้ไปค้นหา ฤาจะกลายเป็นว่าไม่มีที่ไหนทั้งในโลกนี้และนอกโลกที่หนีพ้นการเมือง ตราบใดที่มนุษย์ย่างกายเข้าไป แม้แต่ในความเวิ้งว้างอันไกลโพ้นนั้น การเมืองก็จะตามไปเฉกเช่นเดียวกัน