ติดตามข่าวสงครามรัสเซียรุกรานยูเครนแล้วอดไม่ได้ที่จะชื่นชมเลือดรักชาติ ความกล้าหาญ เสียสละของผู้คนชาวยูเครนที่พร้อมพลีชีพเพื่อบ้านเมือง นับตั้งแต่ผู้นำประเทศซึ่งประชาชนเลือกตั้งมาทำหน้าที่ประธานาธิบดี ซึ่งยืนหยัดอยู่สู้ข้าศึกศัตรูเคียงข้างกองทัพและประชาชน
ไม่หดหัว หลบลี้หนีหน้าไปเสวยสุขอยู่ที่ไหน ไม่เผ่นไปต่างประเทศก่อนใคร
ภาพหนุ่มสาวเข้าพิธีสมรสเสร็จสามีต้องอำลาภรรยาไปปกป้องปฐพี, พ่อส่งลูกน้อยลี้ภัยพ้นเขตแดนได้ก็กลับคืนสนามรบ, เซเลบฯ ดารา นักกีฬา ฯลฯ อาสาสมัครเข้าจับอาวุธต่อสู้กับข้าศึกศัตรูทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าสรรพกำลังเป็นรองรัสเซียมากมายมหาศาล ฯลฯ สร้างความสะเทือนใจไปทั่วโลก
นอกเหนือไปจากเหตุผลทางเชื้อชาติและประวัติศาสตร์อันเป็นเรื่องราวแต่อดีตกาลโบราณนานมาแล้ว ยังมีประเด็นเกี่ยวด้วยอธิปไตย เจตจำนงของประชาชนที่ได้แสดงให้ปรากฏผ่านการเลือกตั้งประธานาธิบดีกับนโยบายที่จะนำพาประเทศหลุดพ้นไปจากอิทธิพลของรัสเซีย ทำให้ทุกคนพร้อมใจกันต่อสู้เพื่อปกป้องประเทศชาติจากการรุกราน
ต่อสู้เพื่อปกป้องประเทศชาติ ไม่ได้ต่อสู้เพื่อปกป้องประธานาธิบดี
คำว่า ‘ชาติ’ ของชาวยูเครนมีความชัดเจน จับต้อง สัมผัสและรู้สึกได้ว่า หมายถึงผืนแผ่นดินซึ่งประชาชนทุกคนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย มิใช่ดินแดนส่วนตัวของประธานาธิบดีหรือใครคนใดคนหนึ่ง โดยประชากรพลเมืองทั้งหมดมีผลประโยชน์ได้เสียร่วมกันกับคำว่าชาติ ไม่ใช่ผูกขาดเกาะกินกันแต่เพียงในหมู่ผู้ปกครอง ชนชั้นนำและบริวารว่านเครือ
ทุกคนจึงพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อยูเครนทั้งมวล ไม่ใช่เพื่อใครคนใดคนหนึ่ง ไม่มีข้อสงสัยว่ารบเพื่อใคร ตายเพื่อผู้ใด
แตกต่างไปจากบางบ้านบางเมืองที่ประเทศเป็นของใครก็ไม่รู้ แต่ไม่ใช่ประชาชนคนส่วนใหญ่อย่างแน่นอน
ชาติหมายถึงอะไรก็ไม่ทราบที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ มองไม่เห็น จับต้องสัมผัสไม่ได้และประชาชนคนส่วนใหญ่ไม่ได้ประโยชน์โพดผลอะไรขึ้นมาจากคำว่าชาติ ซึ่งผูกขาดความมั่งคั่งและความมั่นคงให้กับผู้ปกครองเผด็จการอำนาจนิยม ชนชั้นนำและบริวารว่านเครือเท่านั้น
ประเทศเป็นของใครก็ไม่ทราบ แต่ไม่ใช่ประชาชนคนส่วนใหญ่อย่างแน่นอน เพราะไม่เช่นนั้นบ้านเมืองคงไม่ตกอยู่ในสภาพอย่างที่เห็น อยากมีสถานะที่เหนือกว่าก็เขียนกฎหมายขึ้นมาคุ้มครอง ต้องการอำนาจรัฐก็แย่งชิงเขามาด้วยการทำรัฐประหาร
ประชาชนไม่ใช่เจ้าของประเทศ ไม่ได้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยแท้จริง แต่กลับเรียกร้องกันจัง ต้องการให้ผู้คนรักชาติ เสียสละเพื่อประเทศ ไม่ถูกใจขึ้นมาก็กล่าวหาว่าเขาชังชาติ
เพียงแค่มีความคิดเสรีนิยม ต้องการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมประชาธิปไตยก็ถูกชี้หน้าด่าประณามว่าไม่รักชาติบ้านเมือง
เพราะบ้านเมืองเป็นเสียอย่างนี้ เกิดศึกเสือเหนือใต้ สงครามภายในประเทศหรือความไม่สงบเรียบร้อยขึ้นมาคราใด ไม่แปลกอะไรเลยที่ใครจะตั้งข้อสงสัย มีคำถามว่า “รบเพื่อใคร ตายเพื่อผู้ใด”
โดยเฉพาะลูกหลาน หนุ่มสาว คนรุ่นใหม่ที่ต้องเข้าไปสู่ระบบเกณฑ์ทหาร
ตอกย้ำให้เห็นว่าปัญหาของประเทศชาติรวมศูนย์อยู่ที่ระบอบปกครองอำนาจนิยม มีปีกขวาจัด อนุรักษ์สุดติ่ง-นิยมเจ้าสุดโต่ง เป็นเครื่องมือกลไกต่อต้าน ขัดขวาง ถ่วงรั้งการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมประชาธิปไตย โดยคนเหล่านั้นทำได้กระทั่งหลอกตัวเองและผู้อื่นเพื่อสร้างอุปาทานหมู่ขึ้นมาสนับสนุนระบอบเก่าที่ทั่วโลกค่อยๆ ทยอยพังทลายจนแทบไม่หลงเหลือให้เห็นแล้ว
ฉวยโอกาส ลามปามไปไม่เว้นสงครามรัสเซีย-ยูเครน
หลายคนอาจจะประหลาดใจกับข่าว พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ พ้นตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 จากปมนำคณะผู้บริหาร ททบ.5 เข้าพบเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำประเทศไทยเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร นัยว่าต้องการถ่วงดุลสื่อตะวันตกในท่ามกลางสถานการณ์สงครามรัสเซียรุกรานยูเครน สานต่อความสำเร็จที่ได้มีการลงนามความร่วมมือด้านข่าวสารกับจีนและอิหร่านไปก่อนหน้านี้
ดูชื่อแต่ละชาติแล้วเพลีย หัวจะปวดเอา
ไล่เลี่ยตามมาด้วยข่าวท็อปนิวส์ กระบอกเสียงขวาจัด อนุรักษ์สุดติ่ง-นิยมเจ้าสุดโต่ง ซึ่งเสนอข่าวโปรรัสเซียออกนอกหน้า ประกาศถอนตัว ยุติผลิตรายการข่าวป้อนช่อง 5 หลังจากถูกตัดสัญญาณเบรกไม่ให้รายงานข่าวสงครามรัสเซีย-ยูเครนออกอากาศ
ซึ่งจะว่าไปก็สมควรอยู่หรอก เพราะมีอย่างที่ไหนในสายตาวิญญูชนคนทั่วไปซึ่งรวมทั้งชาวรัสเซียเองก็ตามที สงครามมีแต่ความเลวร้าย นำมาซึ่งความสูญเสียไม่เฉพาะเพียงแค่ทหารหรือไพร่พลของทั้งสองฝ่ายเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงชีวิตและทรัพย์สินของพลเรือนผู้บริสุทธิ์ ไม่เว้นแม้กระทั่งลูกเด็กเล็กแดง ทารกวัยแบเบาะซึ่งมิได้รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วยแม้แต่น้อย
สงครามไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไรก็ตาม หนีไม่พ้นความโหดร้าย น่าสลดหดหู่ที่เพื่อนมนุษย์ด้วยกันต้องมาบาดเจ็บล้มตาย เผชิญกับการพลัดพราก พ่อแม่หอบลูกจูงหลานอพยพหลบลี้หนีภัยจากการสู้รบ ผู้คนหน้าตาเศร้าหมองดำรงชีวิตอยู่ด้วยความยากลำบากท่ามกลางซากปลักหักพัง ห่ากระสุนและลูกระเบิด ฯลฯ
การสู้รบระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ดำเนินอยู่ในขณะนี้ ไม่อาจแลเห็นเป็นอื่นไปได้เลย นอกจากเป็นการรุกรานอธิปไตยของยูเครนโดยรัสเซีย
ขึ้นชื่อว่าเป็นการรุกราน ละเมิดบูรณภาพแห่งดินแดนเสียแล้วมิพักพูดถึงความชอบธรรม
คำกล่าวอ้าง ข้ออธิบายถึงความจำเป็นใดๆ ของรัสเซียในการกรีฑาทัพเข้าไปรุกราน ระดมไพร่พล ศาตราวุธโจมตียูเครนไม่ได้ต่างไปจากนิทานอีสปเรื่องหมาป่ากับลูกแกะ หรือกล่าวโทษเหยื่อข่มขืนกระทำชำเราด้วยการหยิบยกเอาการแต่งกายนุ่งสั้น โป๊เปลือยมาเป็นเหตุผลในการก่ออาชญากรรม
ทั้งๆ ที่พึงยอมรับว่า คนเรามีสิทธิในเนื้อตัวตนเอง การใช้กำลังบังคับขืนใจทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเรื่องที่ไม่อาจจะยอมรับได้ในสังคมศิวิไลซ์ ถึงเขาจะแก้ผ้าเดินถนนอย่างไรก็ไม่มีใครมีสิทธิไปข่มขืนกระทำชำเราเป็นอันขาด
ไม่เช่นนั้นมนุษย์เราก็คงไม่ต่างไปจากเดรัจฉาน
แต่ก็แปลกที่แลเห็นเป็นเหมือนเช่นมนุษย์ปุถุชนคนทั่วไป เดินเหินด้วยสองขา มีทักษะการใช้มือ หน้าตาเหมือนเราท่านทั้งหลาย แต่ไปเห็นดีเห็นงามกับการรุกรานยูเครนของรัสเซีย โดยอ้างถึงเหตุผลความจำเป็นต่างๆ มากมาย ทั้งๆ ที่ยูเครนเป็นชาติอิสระ มีเอกราชโดยสมบูรณ์
ประหลาดที่ขวาตกขอบ อนุรักษ์สุดโต่ง นิยมเจ้าสุดติ่งกลับหันไปชื่นชมประเทศคอมมิวนิสต์เก่าเสียอย่างนั้น
ก่อนเกิดสงครามก็เย้ยหยันถากถางว่า หน่วยข่าวกรองสหรัฐอเมริกาและนาโต้กุข่าว โกหกยกเมฆที่ออกมาแฉโพยเปิดโปงว่า รัสเซียเตรียมบุกยูเครนล่วงหน้ามาเป็นเดือน
พอเกิดสงครามขึ้นมาก็วิเคราะห์วิจารณ์เป็นคุ้งเป็นแควถึงเหตุผลความจำเป็นของรัสเซีย โดยแลเห็นยูเครนเป็นเช่นสมันน้อย ดูแคลนประธานาธิบดีเซเลนสกีว่ามาจากนักแสดงตลก โทษการเลือกตั้งโดยเสียงส่วนใหญ่เป็นต้นเหตุนำพาประเทศชาติไปสู่หายนะ
ถูกแซงก์ชันคว่ำบาตรขึ้นมาก็บอกรัสเซียไม่ประหวั่นพรั่นพรึงเพราะวลาดิมีร์ ปูติน ได้นำเอาหลักเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ ยกเมฆแหกตาถึงขนาดประดิดประดอยถ้อยคำขึ้นมากล่าวอ้างเป็นคำพูดสรรเสริญเยินยอ สยบยอมจอมราชันย์ของประธานาธิบดีรัสเซีย
ทำเหมือนวลาดิมีร์ ปูติน เป็นพวกหมอบกราบกับเขาด้วย
เชียร์รัสเซีย เทิดทูนปูตินกันราวกับเมาวอดก้าเข้ากระแสเลือด
เสกสรรปั้นเฟกนิวส์หลอกลวงผู้คนให้หันมานิยมผู้ปกครองเผด็จการอำนาจนิยมรัสเซีย ทำได้ถึงขนาดเอาภาพปูตินถือรูปบิดาตัวเองแต่งเป็นภาพปูตินถือรูปรัชกาลที่ 9 ซึ่งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม มหาวิทยาลัยฮ่องกงพิสูจน์แล้วว่า ลวงโลก
ริยำตำบอนอย่างนี้ ‘ศรีขี้ฟ้อง’ ไม่เคยสนใจที่จะร้องเรียนให้มีการสืบสาวราวเรื่อง
ปรากฏการณ์ซึ่งเกิดขึ้นที่ช่อง 5 จึงมีแต่เสียงโมทนาสาธุจากผู้คนโดยทั่วไปที่ไม่ต้องการเห็นสื่อของรัฐสร้างความแตกแยกให้กับประชาชนคนในชาติไม่พอ ยังลามปามไปเป็นปัญหาให้กับประชาคมชาวโลกอีกด้วย
ทว่า ไม่ทันไร เพียงชั่วข้ามคืน ก่อนจะถึงกำหนดเวลาท็อปนิวส์หยุดผลิตข่าวป้อน กองทัพบกได้เผยแพร่เอกสารข่าว “ทบ.ขออภัยประชาชนประเด็นข่าวช่อง 5 ย้ำสถานียังคงเป็นสื่อสาธารณะเพื่อสังคม” ซึ่งพิจารณาเนื้อหาสาระแล้วน่าจะเป็นการแสดงความขอโทษกระบอกเสียงขวาจัด อนุรักษ์สุดติ่ง นิยมเจ้าสุดโต่งเสียมากกว่า
ขณะที่ท็อปนิวส์ก็ไม่รอช้า โพสต์แสดงความขอบคุณ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ที่ให้โอกาสท็อปนิวส์ทำงานร่วมกับช่อง 5 ต่อไปทันที ปล่อยให้ผู้คนงุนงงสงสัยว่าเขาเล่นอะไรกันที่ช่อง 5
ถามว่าแปลกไหม ก็คงไม่
ไม่มีปีกขวาจัด อนุรักษ์สุดติ่ง นิยมเจ้าสุดโต่งแล้วใครเล่าจะค้ำบรรลังก์ผู้ปกครองเผด็จการอำนาจนิยม
อย่างไรก็ตาม จะกล่าวหาว่าเผด็จการอำนาจนิยม ขวาตกขอบ อนุรักษ์สุดโต่ง นิยมเจ้าสุดติ่งว่าเป็นตัวถ่วง ฉุดรั้งพัฒนาการ ความเปลี่ยนแปลงโดยลำพังแต่เพียงฝ่ายเดียวคงไม่ถูกต้องมากนัก เนื่องจากพวกที่นิยมเรียกขานตัวเองว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยบ้าง ก้าวหน้าบ้าง ฯลฯ นี่ก็ตัวดีเช่นกัน
ทำให้พัฒนาการ ความเปลี่ยนแปลงเวียนวน ขับเคลื่อนไปได้ไม่ไกลกว่าการแก่งแย่งอำนาจทางการเมืองเพื่อจัดตั้งรัฐบาลเป็นนายกรัฐมนตรีกับเขาบ้าง
ด่าตู่ ท้าตีท้าต่อยประยุทธ์ไปวันๆ
หมกมุ่นอยู่กับการหาบหามคนตระกูลชินวัตรขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แบกพรรคเพื่อไทยซึ่งไม่ได้แตกต่างไปจากสังคมคลั่งหมอบกราบสักกี่มากน้อย
ภาพหัวหงอกหัวดำนอบน้อมค้อมกายโค้งหัวหน้าครอบครัววัยสามสิบหก เห็นแล้วได้แต่สมเพชเวทนา
สงสารประเทศชาติ ประชาชนคนไทย
ยิ่งได้ฟัง โทนี บริภาษอดีตบริวาร คนซึ่งเคยใกล้ชิดโดยตอนหนึ่งได้กล่าวว่า การเมืองสกปรก อย่าบังอาจเอาเรื่องในวังมายุ่งการเมือง
สลิ่มคือใครไม่รู้ แต่ว่า ‘เสลี่ยง’ แน่ พวกนิยมหมอบกราบหาบหามนี่ละที่มีส่วนทำให้ระบอบปกครองเผด็จการอำนาจนิยมอยู่ยั่งยืนยง